% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_painbottom_hip.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %>
ท่านที่ไม่ได้วิ่งอยู่เป็นประจำ
ถ้าลองไปวิ่งแข่งกับเพื่อนๆ
ระยะทางแค่ 400 เมตร
จะพบว่าเมื่อหยุดวิ่งหรือวิ่งถึงเส้นชัยแล้ว
จะมีอาการปวดที่ก้นมาก
ขนาดนักวิ่งที่ฝึกซ้อมเพื่อการแข่งขันอยู่เป็นประจำยังมีอาการเลย
นักวิ่งระดับชาติคนหนึ่งมาพบข้าพเจ้าแล้วพูดว่า
" คุณหมอขา หนูปวดตูด " (
ขอประทานโทษที่ไม่สุภาพ
แต่เด็กนักวิ่งผู้นั้นกล่าวตามความรู้สึกเช่นนั้นจริง
)
ซึ่งเป็นอาการของการบาดเจ็บที่เกิดที่เกิดขึ้นกับปุ่มกระดูกใกล้ง่ามก้นซึ่งเป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อแฮมสะตริง
ถูกกระตุกหรือดึงจากเร่งความเร็ว
โดยที่กล้ามเนื้อนั้นไม่แข็งแรงพอ
และไม่สามารถทนได้
จึงเกิดการอักเสบขึ้น
นอกจากนี้บาดเจ็บที่เกิดขึ้นบริเวณก้น
ตะโพก และต้นขา
ยังมีอีกมาก
ดังจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไปดังนี้
1. บาดเจ็บบริเวณปุ่มกระดูกด้านนอกของตะโพก ( Greater trochanteric bursitie )
มีอาการเจ็บหรือกอกเจ็บบริเวณปุ่มกระดูกด้านนอกของตะโพก สาเหตุเกิดได้ จากการอักเสบ ของถุงน้ำบริเวณกระดูกนี้ เนื่องจากการเสียดสีกับแผ่นพังผืดที่ปกคลุมอยู่ ทำให้มีอาการเจ็บปวด บวมแดง หรือกดเจ็บ บริเวณปุ่มกระดูกนี้ พบในนักวิ่งที่วิ่งกระโดดหลบหลุมบ่อ หรือวิ่งตามพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ ที่บริเวณของถนนหรือชายฝั่งแม่น้ำ พวกนักวิ่งที่โครงสร้างของร่างกายไม่ปรกติ เช่น กระดูกเชิงกรานกว้าง ขายาวไม่เท่ากัน ทำให้ตะโพกเอียง พวกที่เดินไม่ปรกติ และพวกที่ขาหนีบเข้าใน กางขาไม่ได้เต็มที่ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณนี้ได้ง่าย
การปฐมพยาบาลและรักษา
เมื่อวิ่งแล้วมีอาการนี้ ให้หยุดพักทันที ประคบด้วยน้ำแข็ง ให้ยาแก้ปวด ถ้าอการมากหรืออาการไม่หายภายใน 3 วัน ให้ยาต้านการอักเสบนาน 3 สัปดาห์ และให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย คือประคบร้อน หรือใช้คลื่นเหนือเสียง ( อุลตราซาวด์ ) ถ้ายังไม่ดีขึ้นหรือไม่หาย ให้ฉีดยาต้านการอักเสบหรือสเตียรอยด์เฉพาะที่ได้ 3 เข็ม ห่างกัน 1 สัปดาห์ ถ้ายังไม่หายอีก จำเป็นต้องทำการผ่าตัดรักษา โดยเอาถุงน้ำนั้นออก นอกจากนั้นยังต้องปรับปรุงเรื่องโครงสร้างของร่างกายให้เป็นปรกติด้วย เช่นถ้าขาสั้นยาว กว่ากันไม่มาก ก็ให้เสริมรองเท้า ถ้าสั้นยาวกว่ากันมากเกิน 2-3 เซนติเมตร ก็ให้ทำการผ่าตัดยืดกระดูกให้ยาวเท่ากัน หรือในรายที่ที่ขาหนีบเข้าหากันมากๆ ต้องแก้ไขให้กว้างออก โดยการบริหารหรือถ้าเป็นมากก็ต้องผ่าตัดยืดเอ็นบริเวณนั้น หลังจากอาการต่างๆ หายไปแล้ว ให้บริหารเพื่อผ่าตัดยืดเอ็นบริเวณนั้น หลังจากอาการต่างๆ หายไปแล้ว ให้บริหารเพื่อยืดกล้ามเนื้อด้านนอกของตะโพกให้มีความยืดหยุ่นและแข็งแรง
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการวิ่งที่จะต้องกระโดด กระโจนหลบหลุมบ่อ หรือวิ่งเบี่ยงเบนไปมาบนพื้นวิ่งที่ไม่เรียบ เช่นการวิ่งริมถนนที่พื้นไม่เรียบ หรือวิ่งริมฝั่งแม่น้ำ
2. ปรับปรุงโครงสร้างร่างกายให้เป็นปรกติ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมแต่ง เช่น การเสริมรรองเท้าในกรณีที่ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน หรือแก้ไขโดยการผ่าตัด
3. บริหารให้กล้ามเนื้อที่ด้านข้างของตะโพกและต้นขาให้แข็งแรงและยืดหยุ่นอยู่เสมอ
2.การบาดเจ็บที่บริเวณด้านข้างของตะโพก ( Abductor strain)
เกิดจากการฉีกขาดของกล้ามเนื้อบริเวณด้านนอกของตะโพกที่ใช้ในการกางขา ทำให้มีอาการเจ็บปวดที่บริเวณด้านข้าง และด้านหลังของตะโพก ซึ่งอาจจะมีอาการบาดเจ็บเป็นแห่ง ๆ บริเวณนั้น หรือมีอาการเจ็บปวดลอดแนวเลยก็ได้ จะบวมมีเลือดออกบ้างตามความรุนแรงของการบาดเจ็บ เดินไม่ได้เต็มที่ หนีบขาแล้วจะปวดมากเพราะไปยืดกล้ามเนื้อมัดนี้ หรือกางขาแล้วจะปวด เดินไม่ได้เต็มที่ หนีบขาแล้วจะปวดมากมากเพราะไปยืดกล้ามเนื้อมัดนี้ หรือกางขาแล้วจะปวด เพราะไปเกร็งกล้ามเนื้อนี้
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อเกิดอาการขณะวิ่ง เช่น วิ่ง กระโดดหลบหลุมแล้วมีการเจ็บปวดที่ด้านนอกของตะโพกทันที ให้หยุดวิ่งทันที พัก ประคบด้วยน้ำแข็งนาน 15-20 นาที พัก 5 นาที สลับกันไปจนกระทั่งการบวมไม่เพิ่มขึ้น ถ้าสามารถทำได้ให้พันหรือรัดด้วยผ้ายืด แล้วให้ยาแก้ปวด ให้พักจริงๆ นาน 3 สัปดาห์ให้ยาต้านการอักเสบด้วย จะทำให้หายเร็วขึ้น อาจให้การรักษาทางกสยภาพบำบัดร่วมด้วย ก็จะทำให้การหาาายเร็วขึ้นเช่นกัน คือ เร็วขึ้นประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นต้องบริหารให้กล้ามเนื้อต้นขา และด้านนอกของตะโพกแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นดี จึงจะกลับไปวิ่งได้อย่างปรกติ เหมือนเดิม
การป้องกัน
1.บริหารกล้ามเนื้อต้นขาบริเวณด้านนอก และกล้ามเนื้อด้านนอกตะโพกให้แข็งแรงและยืดหยุ่นอยู่เสมอ
2. ปรับปรุงโครงสร้างของร่างกายให้เป็นปรกติมากที่สุด อาจโดยการเสริมบางส่วนที่ขาดหาายไป เช่น เสริมรองเท้าในรายที่ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน ในรายที่โครงสร้างของร่างกายผิดปรกติแต่ไม่มากนัก การที่มีกล้ามเนื้อกลุ่มนี้แข็งแรงมากๆ จะสามารถทนได้ไม่เกิดอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด
3. ควรวิ่งบนพื้นที่เรียบสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงพื้นที่ไม่เรียบ ขรุขระเป็นหลุ่มบ่อ เพื่อจะไม่ต้องกระโดดหลบ ไม่มีการเกร็งการกระตุกของกล้ามเนื้อ ก็จะไม่เกิดโรคนี้
3.การเจ็บปวดบริเวณปุ่มกระดูกก้น ( Ischial bursitis, fracture of ischial apophysis,tendinitis of ischail tuberosity )
มีอาการเจ็บปวดบริเวณปุ่มกระดูกใกล้ง่ามก้น สาเหตุที่เกิดมีได้หลายอย่างคือ จากการอักเสบของถุงน้ำบริเวณกระดูกนี้ หรือเกิดจากการอักเสบของเอ็นที่เกาะบริเวณปุ่มกระดูกนี้ ที่ร้ายแรงกว่านั้น ( มักพบในเด็ก ) คือ มีการแตกหรือหักของส่วนปลายของปุ่มกระดูกที่มีเอ็นของกล้ามเนื้อแฮมสะตริงมาเกาะ จะพบในนักวิ่งที่เร่งความเร็วเมื่อเข้าใกล้เส้นชัย หรือวิ่งด้วยความเร็วตลอดเวลานานเกินไป ทำให้มีการอักเสบของถุงน้ำนี้เกิดขึ้น หรือในเด็กที่วิ่งด้วยความเร็วอย่างกระทันหัน ทำให้มีการกระตุกของกล้ามเนื้อแฮมสะตริงทันที มีการกระชากทำให้กระดูกร้าวหลุดออกมาตามแรงดึงของกล้ามเนื้อแฮมสะตริงนี้ จะมีอาการเจ็บปวดมากวิ่งต่อไปอีกไม่ได้
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการเกิดขึ้น ให้หยุดวิ่งทันที พัก แล้วประคบด้วยน้ำแข็งนาน 15-20 นาที หยุด 5 นาที จนอาการบวมไม่เพิ่มขึ้น ในรายที่เป็นมากถึงกับมีการแตกร้าวของกระดูก ( ในเด็ก ) จะบวมมาก อาจมีเลือดออกใต้ผิวหนัง เห็นลักษณะเป็นจ้ำเลือดดวง ๆ สีม่วงคล้ำ พวกนี้ต้องรีบส่งพบแพทย์ทันที เพื่อเอกซเรย์ ถ้าพบว่ามีกระดูกหักและเคลื่อนที่ออกมามาก ต้องรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อเอากระดูกเข้าที่ ถ้ามีกระดูกหักแต่ไม่เคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่น้อย ให้นอนพักบนเตียงในท่านอนตรงไม่มีการงอตะโพกเลยเป็นระยะเวลานาน 3-6 สัปดาห์ ในรายที่มีอาการแต่ไม่ถึงกับกระดูกร้าวหรือแตก เมื่อไม่มีอาการบวมเพิ่มมากขึ้นแล้ว ให้ยาแก้ปวด ถ้ายังไม่หายไปใน 3 วัน แสดงว่า มีอาการค่อนข้างมาก ให้ยาต้านอักเสบ 3 สัปดาห์ พร้อมกันนี ให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย เช่น ประคบร้อนหรือคลื่นเหนือเสียง ( อุลตราซาวด์ ) ทำให้ระยะเวลาการหายเร็วขึ้น ในรายที่อาการเป็นไม่มาก หรืออาการไม่ได้เกิดขึ้นในทันที เราจะสังเกตุได้ว่า ถ้าเรานั่งนานๆ เป็นชั่วโมงๆ หรือวิ่งขึ้นที่สูง จะมีอาการเจ็บปวดบริเวณนี้ ในรายให้ยาต้านการอักเสบและให้การรักษาทางกายภาพบำบัดแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น การให้ยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ประเภทเสเตียรอยด์ ชนิดฉีดทำให้หายได้ หลังจากอาการหายไปแล้ว ต้องบริหารให้กล้ามเนื้อแฮมสะตริงที่มาเกาะบริเวณปุ่มกระดูกนี้แข็งแรงเสียก่อน จึงจะกลับไปวิ่งใหม่อีกได้ บริหารโดยใช้ถุงทราย 1-2 กก.ถ่วงข้อเท้า บริหารเที่ยวละ 10 ครั้ง เช้า , เย็น
การป้องกัน
1.ตรวจดูสภาพร่างกายว่า มีขาสั้นและยาวไม่เท่ากันหรือไม่ ซึ่งมักเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคนี้ ถ้ามีขาสั้นกว่าอีกข้างก็ควรเสริมรองเท้าให้สูงเท่ากันเสียก่อนจะใส่
2. บริหารกล้ามเนื้อแฮมสะตริงให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อให้ทนต่อการเกิดการกระชากหรือกระตุกบริเวณปุ่มกระดูกนี้ เพื่อให้ทนต่อการเกิดการกระชากหรือกระตุกบริเวณปุ่มกระดูกนี้ นอกจากนี้กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะทำให้มีเลือดมาก และดูดซับการอักเสบทำให้ไม่มีอาการหรือหายได้เร็วขึ้น และแข็งแรงทนทาน วิ่งเร่งความเร็วได้อย่างปลอดภัย
3. ก่อนหรือหลังวิ่งทุกครั้งต้องให้มีการยืดกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นก่อน
4. หลีกเลี่ยงพื้นวิ่งที่ไม่สม่ำเสมอหรือเป็นหลุมบ่อ เพราะการวิ่งหลบทันทีทำให้เกิดการกระตุกกระชากของกล้ามเนื้อ ทำให้ปุ่มกระดูกที่กล้ามเนื้อเกาะเกิดการบาดเจ็บได้
4. กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ( กล้ามเนื้อแฮมสะตริง) ฉีกขาด
มีอาการเจ็บปวดหรือกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง อาจในบริเวณหรือตำแหน่งใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นกล้ามเนื้อต้นขาตอนบน จะเจ็บมากขึ้นเมื่อยืดกล้ามเนื้อต้นขาตอนบน จะเจ็บมากขึ้นเมื่อยืดกล้ามเนื้อโดยก้มตวไปทางด้านหน้า หรือนั่งนานๆ จะรู้สึกเจ็บบริเวณดังกล่าว บางครั้งจะพบว่ามีอาการค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีการฉีกขาดครั้งแรกเล็กน้อย และไม่ได้พักรักษาตัวให้หาย ต่อมาไปวิ่งอีกอาการก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุที่เกิดมักพบในพวกที่วิ่งด้วยความเร็วแล้วเปลี่ยนทิศทางทันที เช่น วิ่งเร็ว หลบหลุมบ่อ ทำให้มีการกระตุกกระชาก บริเวณกล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาดขึ้นด้วย จะพบในนักวิ่งที่กล้ามเนื้อแฮมสะตริงไม่แข็งแรงและไม่ได้บริหารให้กล้ามเนื้อมัดนี้ยืดหรือบริหารน้อยไป ทั้งก่อนและหลังการวิ่ง ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ เกิดการฉีกขาดได้ง่าย
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีการเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังให้หยุดวิ่งทันที แล้วประคบด้วยน้ำแข็งนาน 15-20 นาที พัก 5 นาที จนกระทั่งการบวมไม่เพิ่มขึ้น จากนั้นให้ยาแก้ปวด พันผ้ายืดรัดไว้เพื่อไม่ให้เลือดออกมากขึ้นในรายที่เป็นไม่มากอาการก็จะหายไปภายใน 3 วัน ถ้า 3 วันยังไม่หาย ให้ยึดตรึงกล้ามเนื้อมีดนี้ด้วยเฝือกอ่อน ( โดยใช้ปลาสเตอร์พันทับกัน ) นาน 3 สัปดาห์ พร้อมทั้งกินยาต้านการอักเสบด้วย ในรายที่อาการไม่มากนักอาาจไม่ต้องเข้าเฝือกอ่อน แต่ให้การรักษาทางกายภาพบำบัด เช่นใช้ความร้อน อุลตราซาวด์ ช่วยด้วย จะทำให้การหายเร็วขึ้น ในรายที่เป็นบาดเจ็บเรื้อรัง ให้ทำการรักษาโดยการกายภาพบบำบัด เช่นดังกล่าวแล้ว ให้ยาต้านการอักเสบ ใช้ครีมนวดต้านการอักเสบนาน 3 สัปดาห์หมายถึงรวมการพักใช้ขาข้างนั้น เช่นเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยานเป็นต้น จะทำให้อาการหายไปได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อจาการหายก่อนกลับไปวิ่งต่อ ต้องบริหารกล้ามเนื้อแฮมสะตริงนี้ให้แข็งแรงเป็นปรกติเสียก่อน
การป้องกัน
ปฏิบัติเหมือนกับการป้องกัน การบาดเจ็บที่ปุ่มก้นกระดูกที่กล้ามเนื้อแฮมสะตริงและที่ขอย้ำเป็นพิเศษคือ การยืดกล้ามเนื้อมัดนี้ก่อนหรือหลังการวิ่ง เพื่อให้เกิดการยืดหยุ่นก่อน โดยเฉพาะการวิ่งเร่งความเร็ว
5. บาดเจ็บบริเวณตะโพกด้านล่าง
มีอาการปวดบริเวณตะโพกด้านข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ระหว่างปุ่มกระดูกใกล้ง่ามก้นและปุ่มกระดูกด้านนอกของต้นขาตอนบน สาเหตุเกิดจากการวิ่งการกระแทกกระทั้นหรือวิ่งหลบหลุมเกิดการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณตะโพก ทำให้กล้ามเนื้อพิริฟอร์มมิส (เม็ดเล็ด ๆ มัดหนึ่ง) ไปเกร็งทับเส้นประสาท ทำให้เกิดการปวดขึ้นมาทันทีขณะวิ่ง
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการปวดบริเวณนี้ขณะวิ่ง ให้หยุดพักทันที ประคบน้ำแข็งประมาณ 15 20 นาที เมื่ออาการปวดทุเลาลงแล้ว ยืดกล้ามเนื้อพิรพิฟอร์มมิสมัดนี้ โดยให้ยืนไขว้ขาแล้วก้มตัวไปข้างหน้าให้มากที่สุด จะทำให้อาการปวดหายไป ไม่มีการกดทับเส้นประสาท ถ้ามีอาการมาต้องให้ยาคลายกล้ามเนื้อประมาณ 3 5 วัน พร้อม ๆ กัน บริหารท่าดังกล่าวประมาณ 10 ครั้ง เช้าและเย็น
การป้องกัน
1. ก่อนการวิ่งทุกครั้งต้องมีการบริหารยืดกล้ามเนื้อมัดนี้ด้วยโดยท่าไขว้ขาและโน้มตัวไปทางด้านหน้า ทำประมาณ 10 ครั้ง
2. บริหารกล้ามเนื้อมัดนี้ให้แข็งแรง โดยการนอนตะแคงเอาข้างที่จะบริหารขึ้น เหยียดท่าตรงยกขาขึ้นทางด้านข้างและด้านหลัง ทำประมาณ 10 ครั้งต่อวัน ในรายที่เคยมีอาการแล้ว กล้ามเนื้อมัดนี้ต้องแข็งแรงเป็นพิเศษ การบริหารต้องเพิ่มน้ำหนักถ่วงที่ข้อเท้า โดยเริ่มจากน้ำหนัก 1 กิโลกรัมจนยกได้ประมาณ 5 6 กิโลกรัม กล้ามเนื้อจะแข็งแรงทนต่อการเกิดโรคนี้ได้
3. หลีกเลี่ยงการวิ่งกระแทกกระทั้นหรือวิ่งหลบหลุ่มบ่อที่จะทำให้เกิดการกระตุกของกล้ามเนื้อพิริฟอร์มมิสมัดนี้ 6.ปวดบริเวณกลางตะโพกมีอาการปวดบริเวณตรงกลางตะโพกด้านใดด้านหนึ่งหรือบริเวณรอบ ๆ บางครั้งมีอาการปวดร้าวมาที่ต้นขาด้านหลังและไล่มาถึงขาและเท้า อาจพบมีอาการชาร่วมด้วย ในรายที่เป็นมาก ๆ จะมีกำลังขาข้างนั้นลดลง อ่อนแรง สาเหตุไม่ได้เกิดที่ตะโพก แต่เกิดจากบริเวณหลังนั่นเองต่อกับตะโพก (ซึ่งบางครั้งมีอาการปวดหลังร่วมด้วย) โดยหมอนรองกระดูกสันหลัง ปลิ้นออกไปทับเส้นประสาทที่มาเลี้ยงต้นขาด้านหลังขาและเท้า ทำให้มีความปวดเสียวมาโดยตลอด สาเหตุเกิดจากการมีการกระแทกตัวของกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอวที่ต่อกับสะโพก บีบกดหมอนรองกระดูกสันหลังที่อยู่ระหว่างให้ปลิ้นออกมาทางด้านหลังกดทับเส้นประสาทด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้าน ทำให้ปวดเสียวร้าวหรือชามาที่สะโพก ต้นขา ด้านหลัง ขา และเท้า ตามทางเดินของเส้นประสาทนั้น (จะพบในพวกที่วิ่งหรือกระโดดจากที่สูงแล้วลงน้ำหนักกระแทกทันที และพบในพวกที่กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรงด้วย ทำให้ไม่สามารถรั้งหรือประคองกระดูกสันหลังไว้ได้ อาจพบในทารกที่ไอจามรุนแรงด้วย
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการนี้ให้หยุดพักทันที นอนพัก ประคบน้ำแข็งบริเวณหลังส่วนบั้นเอวประมาณ 15 20 นาที ในรายที่อาการไม่มากเมื่อได้นอนพักและได้รับยาแก้ปวดอาการจะหายไปก่อน 3 วัน หลังจากอาการหายแล้วต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข้งแรงอยู่เสมอ เพื่อประคับประคองหลังไว้ให้ได้ไม่ไห้เกิดอาการเช่นนี้อีก ในรายที่อาการเป็นมาก ถึงกับมีอาการก้มหลังไม่ได้ หรือนอนหงายและยกขาข้างนั้นในท่าเข่าเหยียดตรงให้ตั้งฉากกับพื้นไม่ได้ เพราะเมื่อยกขาระดับหนึ่งจะปวดเสียวร้าวไปที่ขาและบางครั้งมีกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงในรายที่มีอาการมากเช่นนี้ ต้องให้นอนพักมากที่สุดทั้งกลางวันและกลางคืน ให้ยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาบำรุงประสาท (วิตามิน B1) นาน 2 6 สัปดาห์ พร้อม ๆ กันให้การรักษาทางกายภาพบำบัดโดยการใช้เครื่องดึงเอวและให้ความร้อนหรือคลื่นเหนือเสียง (อุลตร้าซาวด์) นาน 2 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น หลังจากนั้นให้บริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข้งแรงอยู่เสมอเพื่อป้องกันการเป้นซ้ำอีก ในบางรายระหว่างที่ให้การรักษาอยู่นั้นอาการไม่ดีขึ้น ปวด ชา อยู่ตลอดเวลา หรือมีกล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้น พวกนี้มักต้องลงเอยด้วยการผ่าตัด หลังรักษาโดยเอาหมอนรองกระดูกสันหลังที่กดทับเส้นประสาทนั้นออก หรือในรายที่ได้รับการรักษาแล้วดีขึ้น แต่ 3 เดือนแล้วอาการยังไม่หายไป พวกนี้ต้องพิจารราผ่าตัดเช่นกัน หลังอาการหายแล้วไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม ต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงอยู่เสมอ หลังจากนั้นจึงกลับไปวิ่งได้อีก
การป้องกัน
1. วิ่งบนพื้นที่ราบ หลีกเลี่ยงการวิ่งแบบกระแทกหรือกระโดดหรือระวังหกล้มก้นกระแทก เพื่อป้องกันแรงกระแทกที่จะเกิดที่กระดูกสันหลัง
2. บริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงอยู่เสมอ
3. ก่อนการวิ่งทุกครั้งต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้ยืด มีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลังเมื่อมีการวิ่งที่จะทำโรคนี้ขึ้น กล้ามเนื้อหลังจะได้ประคับประคองไปได้
(จากหนังสือบาดเจ็บจากการวิ่ง รศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ )
ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.44<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>
โอปร้า วินฟรีย์ นักวิ่งเพื่อชีวิต