ด้วยความเข้าใจ ทุกสิ่งจึงสดชื่น...และหอมหวานอยู่เสมอ


......โดย กฤตย์ ทองคง
g-running@thaimail.com

เพื่อนนักวิ่งรายหนึ่ง เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงความรู้สึกเซ็งและเบื่อหน่ายอย่างกะทันหันกลางดึก เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า หลังจากขี้เกียจทนนอนกระสับกระส่ายเป็นเวลานานพักใหญ่ จึงตัดสินใจลุกขึ้น หาทางละลายความเซ็งโดยการขับรถไปหาเบียร์ดื่มแกล้มด้วยไก่คั่วพริกเพียงลำพัง ณ โมงยามต้นๆ ของวันใหม่

โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัดถึงที่มาของความหน่าย นั้นว่าเป็นเพราะความเหงาจากชีวิตที่เปล่าเปลี่ยว หรือความตึงเครียดจากการที่ต้องทนอยู่กับแผนฝึกมานาน หรือความวุ่นวายจุกจิกในอาชีพการงานกันแน่

คำแรกที่ผู้เขียนถามไปก็คือ “แล้วได้ผลเป็นไง หายจากความรู้สึก ลบๆ อย่างนั้นๆ หรือไม่” ปรากฎว่าหายดี ซึ่งมันอันตรธานทันทีตั้งแต่สตาร์ทรถออกจากบ้าน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ดูเหมือนจะไม่เป็นประเด็นปัญหา เพราะมันลุล่วงไปได้

อนึ่ง..เพื่อนเราก็มีอายุอานามเข้าวัยต้นเลขสี่แล้ว ที่ไม่ใช่เลขสองหรือเลขหนึ่งที่จะได้ให้ผู้เขียนเป็นห่วง เชื่อว่าของอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเซ็งกันทุกวัน นานปีทีหน แม้เพื่อนเขาจะเคยเป็นนักดื่มนักเที่ยวมาก่อนในอดีต แต่การตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตต่อมาละเลิกความสำราญประเภทนั้นและออกวิ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดและผลักดันจากสำนึกภายในของเขาเอง มิใช่การกะเกณฑ์จากภายนอกแต่อย่างใด

อย่างนี้กระมังที่เขาเรียกว่า “โฟร์ตี้ คไลซีส” เลือดจะไปลมจะมา เป็นระยะผันผวนอีกรอยต่อหนึ่งของชีวิตถัดจากยี่สิบห้า แต่อาจจะไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ก็ได้ ด้วยว่าต้องดูปัจจัยประกอบอีกนับไม่ถ้วน

ส่วนผู้เขียนก็รู้สึกพึงใจที่เขาสามารถลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเองจนสำเร็จ คนเราจะต้องพึ่งตนเองเป็นประการแรกที่จะประคับประคองประคบประหงมตนเองกับการวิ่งให้สามารถบรรสานสอดคล้องรับใช้ชีวิตให้มีสุขภาพที่ดีและจิตใจที่ได้สมดุลมีสันติสุขพร้อมกันไปในระยะยาว

ต่อกรณีเช่นนี้ นักวิ่งทั่วไป ก็ยังอาจจะบังเกิดเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันได้เสมอและไม่จำเป็นต้องมีอายุขึ้นด้วยเลขสี่เสมอไปเสียด้วย ถ้าใครเกิดเซ็งและเบื่อหน่ายเหงาเศร้าสร้อย น่าจะลองพิจารณาคำแนะนำเหล่านี้

ประการแรก

ลองอยู่คนเดียว ปลีกตัวออกจากภารกิจ รีบจัดการงานที่คั่งค้างอยู่ให้แล้วเสร็จและงดซ้อมประจำวัน แม้จะตรงกับวันฝึกใดก็ตาม อาบน้ำอาบท่าทำตัวให้สบาย แล้วไตร่ตรองดูทีละประเด็นว่า ความรู้สึกแย่ๆนี้ เป็นผลมาจากอะไรกันแน่ ซึ่งผู้เขียนตระหนักดีว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะตอบได้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยที่สุด คุณก็น่าจะตัดประเด็นใดออกไปได้บ้างว่า เรื่องใดไม่ใช่สาเหตุ ออก ทำอย่างนี้ทีละเรื่องๆ แล้วจะพบว่า การตัดออกทีละเรื่อง แล้ว ก็จะมีผลเหลือเรื่องที่คงอยู่ 1-2 เรื่องนี่แหละคือ เค้าลางของประเด็นทั้งหมด

 ประการที่สอง

แล้วตรงนั้น เราไม่ยอมรับมันใช่ไหม ถึงต้องมานั่งตัดออกไปทีละประเด็นอย่างนี้ เราละอายที่จะยอมรับมันอย่างตรงไปตรงมาใช่หรือไม่ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม โจทย์ที่น่าสนใจก็คือ เราจะจัดการมันอย่างไรต่อไป

ประการที่สาม

หรือ เราทราบว่าปัญหามันเป็นเรื่องอะไร แต่เราจัดการมันไม่ได้ มันขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมอื่นที่มิใช่ตัวเรา และการที่เรารู้สึกว่าเราปราศจากอำนาจในการต่อรองหรือกำหนดและบังคับทิศทางเรื่องดังกล่าวนี้เองที่ทำให้เราหงุดหงิดไม่สบายใจใช่หรือไม่

ประการที่สี่

และผลจากประการที่สามนี่เองที่ประจวบกับแผนการฝึกวิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่ารถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากแนวราง แล้วกว่าจะรู้ตัวอีกที ก็มานั่งดื่มเบียร์กับไก่คั่วพริกคนเดียวกลางดึกอย่างนี้ไง ลำพังแผนการฝึกวิ่งโดยธรรมชาติที่ไม่ใช่สักแต่วิ่งไปวันๆ แต่เป็นแผนที่มีโปรแกรมพัฒนาเพื่อไปสู่เป้าหมายที่จำเพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายที่สูงส่งหรือเป้าหมายธรรมดาใดๆก็ตาม ย่อมเรียกร้องต้องการพลังผลักดันจากทั้งร่างกายและจิตใจทั้งสิ้น แต่ถ้าอาการมันหนัก แค่เบียร์แกล้มไก่คืนเดียวมิสามารถละลายมันลงได้ ก็ควรเบาแผนฝึกลง จนกว่าจะจัดการอะไรๆให้มันดีขึ้น แล้วค่อยว่ากันใหม่ ระยะนี้มิสมควรเป็นระยะที่จะลงแส้ตัวเอง เราควรจะเปิดศึกทีละด้าน มันไม่เป็นการดีกับแผนฝึกหรอก ถ้าจะฝืนไป

ประการที่ห้า

ถ้ามันเป็นเรื่องที่เราจัดการกับมันไม่ได้ เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา ดังประการที่สามได้กล่าวเอาไว้ ก็ควรลองของอื่นใหม่ๆอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะลองฝึกรำกระบอง , ว่ายน้ำ , เป็นอาสาสมัครงานกุศลต่างๆ ทั้งนี้มีจุดหมายเพื่อให้กิจกรรมอื่นๆเหล่านี้มีอะไรใหม่ๆมาให้เราโฟกัสดึงดูดความหมกมุ่นออกจากเรื่องที่เรารู้สึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ประการที่หก

การเบาแผนฝึกลง มีความหมายได้หลายอย่าง  แล้วแต่ดีกรีความหนักหนาของปัญหาและความตื้นลึกหนาบางของผู้ประสบ ตัวของตัวเองต้องวินิจฉัยตัวเองได้ แม้การวิ่งอย่างง่ายๆเบาๆสบายๆ ปราศจากหลักการใดๆทั้งสิ้นก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม ควรเป็นวันที่วิ่งช้าตามความรู้สึก แม้ว่าวันนั้นจะถูกกำหนดให้เป็นคอร์ทหรือวิ่งยาวก็ตาม การวิ่งในเส้นทางใหม่ๆที่วิวสวยๆเรียบริมน้ำ เพื่อเอื้อให้ตัวเองได้โอกาสพบเห็นและสูดกลิ่นไอของความสดชื่นแปลกใหม่ โดยถอดนาฬิกาเอาไว้ที่บ้าน ผู้เขียนอยากจะกล่าวว่า นี่มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นความเฉลียวฉลาดของแชมป์ที่นักวิ่งทุกคนควรรู้จักมีบ้างในตัวเอง มิใช่สักแต่วิ่งดันทุรังปุเลงๆ เอาแต่วินัยฝึกๆๆ

ประการที่เจ็ด

Positive thinking ให้รู้จักฉลาดที่จะเลือกมองในมุมที่ให้กำลังใจกับชีวิต ผู้เขียนมีตัวอย่างจากเพื่อนนักวิ่งอีกรายหนึ่งที่มาปรารภกับผู้เขียนในทำนอง โทษตัวเองว่าอ่อนวินัย ไม่พอเพียงที่จะประคับประคองตัวเองให้พ้นจากความเย้ายวนทางโลกย์ที่กลีบกลิ่นของบุหงาลาวัณย์ล่อให้ไหลหลง มนต์เสน่ห์พิศวาสต้องใจได้ดูดพลังที่เขาเตรียมแรงเอาไว้ลงแข่งไปจนเกือบหมดกระเปาะ กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว ใจแทบขาดกับการแข่งทั้งๆที่ฝึกปรือเอาไว้เสียดิบดี แม้ผลการทดสอบเวลาซ้อมก็ให้ความมั่นใจเสมอมา แต่..เพราะเธอคนเดียว หัวใจฉันจึงแทบหลุดร่วง ไม่อยากพูดว่าเข็ดแล้ว เพราะนี่มิใช่ครั้งแรก

แล้วดอกไม้ดอกต่อไปเล่า ผมจะทำอย่างไรดี ?

แทนที่ผู้เขียนจะแสดงมาดโค้ชเผด็จการ ถมึงตา ควงสายนกหวีด และชี้นิ้วให้กลับเข้าค่ายเก็บตัวฝึกซ้อม แต่กลับชี้ชวนให้เขาเปลี่ยนจุดมองเป็นมุมใหม่แม้จะในเรื่องเดิม แต่อาจเกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

ทำไมเราไม่มองว่า เพราะการที่เรามาวิ่งแท้ๆทีเดียว ที่ทำให้ชีวิตทางเพศกลับกระเตื้องเฟื่องฟูกว่าแต่ก่อนทั้งปริมาณและคุณภาพ ที่นอกจากจะช่วยให้เราสุขสนุกสมบูรณ์ขึ้นแล้ว การวิ่งกลับช่วยชุบชีวิตชูจิตใจให้กับคู่ของคุณอย่างที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน แม้ว่าการชื่นเชยกลีบสายหยุดลำดวนจะต้องแลกเปลี่ยนกับถ้วยรางวัลที่ต้องน้อยลงบ้างกว่าที่ควรจะเป็น ก็เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่น่าจะคุ้มกันมิใช่หรือ ที่มิได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยกับศักดิ์ศรีและความน่าภาคภูมิใจในสายเลือดนักวิ่งแม้แต่น้อย

ในเรื่องเดียวกันนี้ เราจะมองให้ขมขื่นก็ได้ และจะมองอะไรอย่างปิติก็ย่อมได้อีกเช่นกัน ที่แม้เราจะเลือกมองอย่างปิติแล้ว ก็มิได้หมายความว่าจะต้องไปปฏิเสธความทรงจำของความผิดพลาดรันทด หากจงกลับไปมองมันอย่างเป็นบทเรียน ที่ทรงคุณค่าสามารถเสกสรรปั้นแต่ง นักวิ่งกระดูกอ่อนให้เป็นสุภาพบุรุษฝ่าเท้าลอยลม เนรมิตเสี่ยวเอ้อให้เป็นเซียนวรยุทธเจ้ามงกุฎหลายสำนัก ขอเพียงอย่าใช้เท้าและขาวิ่งเท่านั้น แต่จงใช้สมองและหัวใจวิ่งด้วยก็แล้วกัน

18 พ.ย. 2547...22:24 น.