<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_tri_crazyman.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> ไตรกีฬา

 

 

ไตรกีฬา…กีฬาของคนบ้า

 

โดย...โลมา

 

                               ใครๆเขาก็ว่า ผมบ้า….บ้ากีฬา….บ้าไตรกีฬา          

ตอนเป็นเด็ก ในจำนวนพี่น้อง 8 คน ผมเป็นคนเดียวที่ถูกแม่หวดด้วยไม้เรียวเป็นประจำ วันธรรมดาโรงเรียนเลิกตั้งนานแล้ว “ป่านนี้ไอ้อู๊ด  มันหายหัวไปไหน” แม่พิกุลเดินบ่นไปมา บนบ้านด้วยความหงุดหงิด พอตะวันตกดิน ค่อยโผล่เข้าบ้าน ไม่โดนหวดได้ไง บางวันเนื้อตัวมอมแมม ชุดนักเรียนเลอะไปด้วยโคลน เพราะไปเล่นมวยปล้ำกับเพื่อนๆในแอ่งโคลนมา ผลคือ…โดนไป 10 ที

“เข็ดหรือยังไอ้อู๊ด”  เพื่อนๆข้างบ้านมันตะโกนถามแกมเยาะเย้ย

บางวันก็เดินกระเผลกๆกลับบ้าน เพราะฝึกเล่นยิมนาสติด แล้วตกจากราวเดี่ยว หัวเข่าฟาดพื้น ผลคือ…แค่โดนดุ (คราวนี้ไม่โดนไม้เรียว…คงสงสาร) พอหัวเข่าหาย ต่อมาหน้าแข้งแทบหัก จากการเล่นขว้างจักร์กับเพื่อน ยืนกันคนละด้านในสนามฟุตบอล ผลัดกันขว้าง ผลัดกันเก็บ อีกคนขว้างอีกคนเก็บ แล้วขว้างต่อ ไอ้เพื่อนรักของผมมันดันขว้างอย่างแม่นยำและไกลเกินคาด หน้าแข้งผมโดนเข้าไปเต็มๆ กลับถึงบ้าน แม่ได้แต่มองค้อนตาเขียว….(คงไม่อยากซ้ำเติม) เมื่อหน้าแข้งหาย ฟันหน้าก็หายต่อ   

 เนื่องจากครูพละคงชอบความบ้ากีฬาของผม เลิกเรียนจึงชวนให้ฝึกหัดชกมวย ชกไปชกมาฟันน้ำนมหักไปหนึ่งซี่ กลายเป็นไอ้หรอไปพักหนึ่ง บางวันเตะตะกร้อกับเพื่อนๆจนตะวันตกดิน แม่ต้องให้น้องไปตามหา กลัวผมจะแบนเป็นกล้วยปิ้งเพราะรถเหยียบเอา(เนื่องจากสงสัยว่าจะไปปั่นจักรยานกับพวกเพื่อนๆ) บางวันน้องไปเจอผมกำลังกระโดดน้ำ ว่ายน้ำในคลอง(ลำคลองสมัยผมเป็นเด็กน้ำใสสะอาดมากครับ)

แม่ยื่นคำขาด…ต่อไปนี้ต้องขยันอ่านหนังสือห้ามเล่นกีฬาทุกชนิด มิฉะนั้น จะโดน(ไม่เรียว)ชุดใหญ่

ห้าเดือนหลังจากคำขาด ผมกลับบ้านพร้อมด้วยเลือดเต็มหัว เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลรอยหนามไผ่ ก็ไปฝึกปั่นจักรยานเสือหมอบกับเพื่อนๆ ปั่นลงเนินเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า สนุกเขาล่ะ เที่ยวสุดท้าย สายเบรคเจ้ากรรมดันหลุด จึงต้องเอากอไผ่เป็นคำตอบสุดท้าย เนื่องจากต้องหลบรถบรรทุกมิฉะนั้นมันจะเป็นคำตอบแรก ผลคือ หัวแตก หนามไผ่ทิ่มทั่วตัว กลับถึงบ้าน ยังไม่ถูกหวดตอนนั้น เพียงแต่แม่ชี้ให้ดูไม้เรียวซึ่งบรรจงเหลาด้วยไม้ไผ่ที่เรียวงาม 3 อัน มัดซ้อนวางไว้บนโต๊ะ ที่ชี้ให้ดูน่ะใช่ว่าจะไม่โดนนะครับ

 สิบห้าวันต่อมาจึงถูกเรียกมายืนฟังเทศน์มหาชาติชุดใหญ่พร้อมไม้เรียวชุดใหญ่เป็นของแถม ไม้ละ 6 รวม 18 ครับ

แม่บอกว่า ไม่อยากจะหวดตอนนั้น เพราะผมจะไม่รู้สึกเจ็บแบบแตกต่าง เนื่องจากตอนนั้นผมกำลังเจ็บเพราะจักรยาน 15 วันต่อมาจึงได้เจ็บเพราะไม่เรียว

แม่บอกกับพ่อและญาติๆว่ไอ้ลูกคนนี้มันบ้ากีฬา

แม่เคยถามผมว่า ถ้วยรางวัล(ที่ได้จากกีฬา)ใส่น้ำพริกกินได้หรือเปล่า แม่เป็นห่วงผม อยากให้เรียนหนังสือ ...“ถ้าบ้าเรียนหนังสือจะได้ดี กว่าบ้ากีฬา ลูกจะได้เป็นเจ้าคนเป็นนายคน” แม่ว่าอย่างนั้น

สิบปีต่อมา ผมก็เลยเอาปริญญาจากจุฬาฯและเนติบัณฑิต      ไปให้แม่ได้ชื่นใจรวมถึง 2 ใบ ภายในเวลาเพียง 4 ปีที่เรียน หลังจากนั้นไม่นานก็เอาอีกปริญญา  แถมไปให้แม่ได้ดีใจ แม่คงคิดว่า ผมเลิกบ้ากีฬาไปแล้วมั๊ง เพราะผมจากบ้านมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯนานมาก

 แม่ไม่รู้หรอกว่า วันๆที่เรียนอยู่กรุงเทพฯ ผมบ้าอะไรบ้าง

ช่วงที่ผมเป็นหนุ่ม เรียนจบแล้วเริ่มทำงานใหม่ๆ (เนื่องเพราะตอนเป็นนิสิตจุฬาฯ การเรียนของผมมันไม่ธรรมดา อาจารย์ชอบใจมากจึงเอาไปทำงานด้วย) เงินเดือนจึงสูงมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันถึง 3 เท่าจนเป็นที่เล่าลือ เมื่อยังหนุ่มและมีเงินรายได้มาก ทำให้ผมหลงระเริง หลงไปเดินในเส้นทางสายอบายมุข  ขับรถเก๋งสปอร์ตสีเหลืองโชว์สาวไปมา เที่ยวดึก ดื่มเหล้า สูบบุหรี่

 สภาพความแข็งแกร่งทนทานของนักกีฬาเริ่มลดน้อยถอยลง เพราะไปบ้าอบายมุข

 อยู่มาวันหนึ่ง

ผมได้รับอุบัติเหตุบาดเจ็บถึงขั้นสาหัส ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล         และที่บ้านนานหลายเดือน

 ช่วงนั้นทำให้ผมมีเวลานึกทบทวนถึงอดีต ผมได้บทสรุปว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่า การกลับไปบ้ากีฬาอีก กีฬาเท่านั้นที่เป็นเพื่อนแท้ มันยังรอการกลับไปของผมอีกครั้ง

 แล้วผมก็เปลี่ยนทางเดินของชีวิตใหม่…ไม่กินเหล้า…ไม่สูบบุหรี่…ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่เที่ยวเตร่ใดๆทั้งสิ้น เพื่อนๆโทร.มาชวนเข้าคลับเข้าบาร์ ไม่เอาทั้งนั้น ..

 “กูเลิกแล้ว”..ผมบอกเพื่อน

จากนั้นก็เริ่มฟื้นฟูสุขภาพด้วยการว่ายน้ำจักรยาน วิ่ง รวมทั้งเวทเทรนนิ่ง จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสิบๆปี

 ผมรู้สำนึกว่า…แท้ที่จริงผมเป็นนักกีฬา…เป็นคนบ้ากีฬา….การไปบ้าอย่างอื่นมันไม่ใช่ทางเดินที่แท้จริงของผมเลย

ช่วงที่กลับมาบ้าไตรกีฬานั้น วันเสาร์มักจะวิ่งบ้าง ปั่นจักรยานบ้างสลับกันไม่ให้เกิดอาการเบื่อหน่าย บางทีวันอาทิตย์ผมซ้อมวิ่งที่สวนจตุจักร คนแรกและกลับเป็นคนสุดท้ายเสมอ พรรคพวกที่ไปวิ่งด้วยเขาจะเห็นรถยนต์ผมจอดเป็นคันแรก พอสายๆลานจอดรถจะเต็ม หลังจากนั้นรถที่จอดอยู่จะทะยอยออกไปและจะเหลือรถผมเป็นคันสุดท้ายประจำ

การฝึกวิ่งของผมลือลั่นไปทั่ว คนอะไร วิ่งอึดเป็นบ้าเลย เขาพูดกันว่า เขากลับบ้านไปอาบน้ำกินข้าวแล้ว ขับรถพาลูกออกไปเที่ยว ช่วงใกล้เที่ยง ผ่านมาทางสวนจตุจักร  เขามองเข้าไปยังเห็นผมวิ่งอยู่เลย พรรคพวกจึงยกนิ้วให้ในความบ้าวิ่งของผม ยิ่งการว่ายน้ำไม่ต้องห่วง ประเภทจากฝั่งสู่เกาะ ไม่ไล่ไม่เลิกเลยล่ะ

ผมมีเรื่องเล่าเยอะ….ันหนึ่ง ตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์ของเดือนธันวา ผมได้ฝึกปั่นจักรยานเสือหมอบคันเก่งไปตามถนนรามอินทรา(สมัยก่อนถนนเส้นนี้รถวิ่งน้อยมาก) พอมาถึงสี่แยกสัญญานไฟ ผมก็ปั่นมาจอดรอสัญญานอยู่ช่องทางเลนซ้ายสุด ตาก็มองไปข้างหน้า รอสัญญาน ข้างๆกันนั้น ตรงช่องเลนกลาง สังเกตว่า มีรถเบนซ์คันงามจอดอยู่ แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะคอยจ้องมองแต่สัญญานว่า เมื่อไหร่จะเขียว จะได้ปั่นไปซะทีเพราะเครื่องกำลังติด

ช่วงนั้นหูผมพลันได้ยินเสียงผู้หญิง พูดว่า…..”พี่ดูซิ ดูสิ….” ผมจึงหันหน้าไปตามต้นเสียง ก็เห็นหน้าผู้หญิง(ลักษณะการแต่งตัวแต่งหน้าและทรงผม….เป็นคุณนายแน่นอน) ชายที่นั่งด้านคนขับหันหน้ามองมาตามเสียง……พอจ๊ะเอ๋เจอหน้ากันกับผม…..

 “เฮ้ย…ไอ้บ้า…..มึงบ้าไปแล้วเหรอ…ไอ้จิต” ชายอ้วนหน้าอูมร้องทักเสียงดังลั่นออกมาจากรถ

 ที่แท้มันเป็นเพื่อนซี้ปึ๊กร่วมรุ่น ร่วมชั้นเรียนของผม เคยหยอกล้อเตะถีบกันมาตอนเรียนอยู่ที่จุฬาฯนั่นเอง

 ปัจจุบันนี้ท่านเป็นอัยการใหญ่อยู่แถวๆรัชดาภิเษกนั่นแหละ เมื่อเจอเพื่อนโดยบังเอิญ แล้วเพื่อนร้องทักว่า ไอ้บ้า (เพราะผม ดันปั่นจักรยานเสือหมอบ อีกทั้งยังแต่งตัวประหลาด ด้วยการสวมชุดจักรยานสีฉุดฉาด เต็มไปด้วยโลโก้ต่างๆ         ใส่หมวกกันน๊อค แถมยังสวมแว่นกันแดดทรงวัยรุ่นอีกต่างหาก )

 ผมเองก็ไม่รู้จะตอบมันว่ายังไงดี…เลยร้องถามมันไปว่า…”แล้วมึงจะไปไหนวะ แต่เช้าเชียว..” …. “กูจะไปวัดว่ะ….” มันตอบ พร้อมกับแนะนำภรรยาว่า ….“นี่..ไอ้จิตมันเป็นเพื่อนเรียนจุฬาฯมาด้วยกันกับพี่”……แทนที่ผู้หญิงเจ้าของเสียง “พี่ดูซิ ดูสิ” คนนั้น จะยกมือไหว้ผมตามประเพณีของชาวไทยพึงกระทำ ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับสามีของตน เธอกลับมองผมตั้งแต่หัว(หมวกกันน๊อค)ไปจนถึง(รอง)เท้า พร้อมกับทำหน้ายิ้มๆ

 เธอคงคิดว่าผมเป็นคนบ้าตามที่สามีเธอร้องทักตอนแรกจริงๆ เมื่อเธอเข้าใจว่าผมเป็นคนบ้า เธอก็คงไม่อยากจะยกมือไหว้คนบ้า…… มีใครบ้างครับที่อยากจะไหว้คนบ้า ผมเองก็ยังไม่อยากจะไหว้คนบ้าเหมือนกัน

พอดีไฟเขียว เพื่อนมันร้องว่า… “เฮ้ย..ไปนะโว้ย…เข้าวัดเข้าวาซะบ้าง…แก่แล้วโว้ย”

ผมยังไม่ทันจะตอบ รถเบนซ์คันงามก็เคลื่อนตัวออกไปแล้ว ขณะปั่นจักรยานไปผมบอกมัน(ในใจ)ว่า… “มึงเข้าไปก่อนเถอะ…” ครับ…หากมันได้ยินมันคงขับรถกลับมา แล้วลงมาเตะผมแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาน้องๆของผม ซึ่งล้วนประกอบอาชีพเป็นนายแพทย์ เป็นครู เป็นเภสัชกร เป็นนักบัญชี ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า… “พี่อู๊ดเป็นคนบ้ากีฬา”

ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม…..ผมก็ยังเป็นเช่นเดิม…ในความคิดของผม….กีฬามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผมขาดมันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ได้บ้าคนเดียว ในประเทศไทยก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่เป็นเหมือนกับผม บางคนบ้าฟุตบอล บางคนบ้ามวย บางคนบ้าสนุ๊กเกอร์ บางคนบ้าตะกร้อ ส่วนผมมันบ้าไตรกีฬา ช่วงเวลาหลายปีมานี้ ใครที่มาติดต่อสัมพันธ์กับผมล้วนแต่ติดเชื้อบ้าไตรกีฬาไปจากผมแล้วทั้งนั้น

 เชื้อนี้มันเริ่มต้นมาจากพวกญี่ปุ่น เขาพากันนำมันเข้ามาแพร่ที่พัทยาเมื่อปี 2529 ผมก็เลยติดเชื้อมาตั้งแต่คราวนั้น ก็มันมีเชื้อเดิมอยู่บ้างแล้วนี่ครับ พอได้เชื้อเพิ่ม……บ้าใหญ่เลยทีนี้ แล้วก็หนักขึ้นหนักขึ้นมาจนทุกวันนี้ คาดว่าคงจะไม่มีวันหาย มีแต่จะเพิ่ม

ท่านทั้งหลายที่กำลังเปิดอ่านอยู่ตอนนี้ หากไม่รีบปิด ระวังจะติดเชื้อบ้าจากผมนะครับ เชื้อนี้มันติดง่ายซะด้วย ติดแล้วหายยากอีกต่างหาก ถ้าอ่านบทความนี้จนจบ รับรองต้องติดแน่นอน ไม่มากก็น้อย

นอกจากนี้ คนบ้าไตรกีฬาก็มีอยู่มากมายทั่วโลก ผมและเพื่อนๆในประเทศไทย ไม่ได้บ้าโดดเดี่ยวหรอกนะ หากมีเวลาท่านลอง Click ไปที่ http://www.triathlon.org หรือไม่ก็ไปที่ http://www.insidetriathlon.com หรือไม่ก็ไปที่ ยุโรปคือ http://www.etu.org หรือ ออสเตรเลียก็ต้องไปที่ http://www.triathlon.org.au หากนิวซีแลนด์ก็ให้ไปที่ http://www.triathlon.org.nz หรือ จะแวะไปที่ อเมริกา ก็ที่ http://www.usatriathlon.org หรือ จะขึ้นเหนือเข้าสู่แคนาดาก็ ไปที่ http://www.triathloncanada.org หรือหากเป็นอังกฤษก็ให้ไปที่ http://www.britishtriathlon.org หรืออยากแวะไปชมประเภทโหดๆก็ไปที่ http://www.ironmanlive.com แล้วท่านจะได้รู้ว่า ผมไม่ได้บ้าคนเดียวจริงๆ ทั่วโลกเขาพูดกันว่า พวกนักไตรกีฬานี่มันเป็น CRAZYMAN กันทั้งนั้น วิ่งกันทั้งวัน ปั่นจักรยานกันข้ามจังหวัด ว่ายน้ำก็หายห่วงจากฝั่งไปเกาะไม่ต้องพึงเรือข้ามไปเลยเชียว พวกนี้ฝึกผิดกับคนทั่วไปเขาทำ เขาก็เลยเรียกว่า CRAZYMAN

ถ้าจะพูดว่า ฝึกหนักเกินไปไม่ดีนะ ผมว่านี่เป็นหลักการที่ถูกต้อง เอาไว้มีโอกาสผมจะเขียนบทความกึ่งวิชาการมาให้พิจารณาว่า ฝึกหนักเกินไปไม่ดีอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง และอะไรคือหนัก อะไรคือเบา คราวนี้ อยากจะบอกแต่เพียงว่า ว่า กีฬาทุกชนิดมันมีอันตรายอยู่ในตัวของมันเอง ทุกคนที่เข้ามาเล่น เข้ามาฝึกจะต้องกระทำอย่างมีสติและมีปัญญา หากจะบ้าก็ต้องบ้าอย่างมีสติและมีปัญญาครับ อย่าทำแบบบ้าๆบอๆสติแตก สะเปะสะปะหลับหูหลับตา ไม่นำพาต่อหลักการทางวิทยาศาสตร์

 โดยเฉพาะกับกีฬาสุดยอดอย่าง….ไตรกีฬา อะไรคือหนักเกินไปสำหรับเรา อะไรคือเบาเกินไปสำหรับเรา ทุกคนจะต้องรู้ ทุกคนจะต้องเข้าใจ คำว่า หนักเกินไป สำหรับอีกคนหนึ่ง อาจจะเบาเกินไป สำหรับอีกคนหนึ่งก็ได้ หรือ เบาเกินไป สำหรับคนหนึ่ง ก็อาจจะเป็นหนักสำหรับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ การพัฒนาสมรรถภาพของร่างกายจะต้องเป็นขั้นๆไป อย่ารีบร้อน ไตรกีฬาไม่มีคำว่า บันไดสามขั้น คุณจะต้องใช้เวลาและต้องเริ่มนับหนึ่งเสมอ ก่อนที่คุณจะวิ่งได้ 4 ชั่วโมง 6 ชั่วโมงอย่างผม คุณต้องฝึกมาทีละขั้น ก้าวขึ้นทีละตอน ในที่สุดคุณก็จะบ้าเหมือนผม เอ๊ย…ทำได้เหมือนผม(บางคนอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะหนุ่มกว่า เก่งกว่า)

หลายคนสงสัยว่า ฝึกมันไปทำไม ไตรกีฬา เหนื่อยแทบตาย ฝึกกันอยู่ได้ ขอเรียนว่า ไตรกีฬา(TRIATHLON) มันเป็นกีฬาประเภท Multi sport ที่ทั่วโลกเขายอมรับ ยกย่องกันว่า ใครก็ตามที่ฝึกกีฬานี้ มันจะทำให้ เจ๋งทั้งตัว (TOTAL FITNESS) ก็อย่างที่บอกในบทความเดือน ส.ค.ว่า กีฬานี้มันทำให้คุณอึดอย่าบอกใครเชียว ถ้าไม่เชื่อ หากเมื่อฝึกไประยะหนึ่ง ลองถามแฟนหรือภรรยาของคุณดูก็ได้ เธอจะเป็นคนยืนยันกับคุณเอง

“คนอะไร อึดเป็นบ้าเลย”……………(ที่บ่นน่ะ ชอบนะไม่ใช่ไม่ชอบ…ใครๆเขาก็ชอบ “ความอึด” กันทั้งนั้น หรือคุณไม่ชอบ)

“รู้ยังงี้ ให้ไปฝึกไตรกีฬาตั้งนานแล้ว” ว่าแล้วเธอก็อาจจะยุให้คุณรีบๆไปสมัครฝึกไตรกีฬากับผมก็เป็นได้นะ

 

 การฝึกฝนไตรกีฬามันดีกว่าการไปนั่งจ่อมในผับหลับในบาร์ กินเหล้าเมาควันบุหรี่กับเพื่อนๆเป็นไหนๆ เหตุผลข้อนี้สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ครับ

 

 

 

สำหรับไตรกีฬานั้น มันก็มีให้บ้ากันหลายระดับ ตั้งแต่เบาๆไปจนถึงหนักสุดๆ และที่หลายท่านรู้กันว่า ระดับ IRONMAN นั้น มันเป็นระดับโหดสุดๆของไตรกีฬานั้น ขอบอกว่า ยังมีบ้ากว่านั้นอีก นั่นก็คือ ระดับ ULTRAMAN (ชื่อเดียวกันกับภาพยนต์นั้นแหละ ไม่รู้ใครเลียนแบบใคร)

 

 

 โดยผมจะจัดการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียด้วย แต่ที่อเมริกาและฝรั่งเศสนั้น เขาจัดกันมานานหลายครั้งแล้ว โดยผมจะให้ชื่อเป็นภาษาไทยว่า……

 

ยอดคนเหล็กไทย หรือ THAI ULTRAMAN

ซึ่งนักไตรกีฬาจะต้องว่ายน้ำ 7.9 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 369 กิโลเมตร วิ่งเข้าเส้นชัยอีก 89 กิโลเมตร

เริ่มต้นกันที่จังหวัดหนึ่ง ผ่านทะลุจังหวัดหนึ่งแล้วไปเข้าเส้นชัยอีกจังหวัดหนึ่ง รวมสามจังหวัด

การแข่งขันระดับนี้ จะต้องมีคนอุทานว่า…โครตบ้า..แน่ๆเลย แล้วจะมีคนเชื่อมั้ยว่า เราจะทำได้ หรือเป็นเรื่องของคนบ้าที่เพ้อเจ้อคุยโม้โอ้อวด นอกจากผมแล้วจะมีคนบ้าอื่นๆมาร่วมด้วยสักกี่คน มีถึงสิบมั๊ย

ครับ…….การแข่งขันนั้น จะแข่งกัน 3 วันติดต่อกัน นักไตรกีฬาที่เข้ามาแข่งขันจะต้องมีประสบการณ์ เคยผ่านการแข่งขันระดับ IRONMAN มาก่อน วันแรก ทุกคนจะต้องว่ายน้ำในทะเล 7.9 กิโลเมตร ตามด้วยปั่นจักรยานไปจนตะวันตกดิน หรือ เวลา 18.00 น.จากนั้นให้เข้านอนพักยังโรงแรมที่กำหนด ตื่นเช้าปั่นจักรยานต่อจากจุดที่ทำเครื่องหมายไว้เมื่อวันวาน จากนั้นก็ให้ปั่นต่อไปจนถึงจุดที่กำหนด

(ครบระยะทาง 369 กิโลเมตร) หากถึงเวลา 18.00 น.แล้วยังไม่ถึงจะต้องหยุดปั่น กรรมการจะทำเครื่องหมายไว้อีก แล้วให้นักไตรกีฬาคนนั้นไปนอนพักที่โรงแรมที่กำหนด ตื่นเช้าขึ้นมาปั่นต่อให้ครบ แล้วจึงวิ่ง 89 กิโลเมตรต่อจนเข้าสู่เส้นชัย ถ้าใครถึงจุดที่กำหนดตั้งแต่วันที่สอง ในวันสุดท้ายคนนั้นก็วิ่งต่อได้เลยตั้งแต่เช้า อย่างไรก็ตามทุกคนจะต้องเข้าถึงเส้นชัยอย่างช้าภายใน 24.00 น.ของวันที่สาม(อันเป็นวันสุดท้าย) รายละเอียดจะนำมาประกาศให้ท่านทราบต่อไป เมื่อแผนงานทุกอย่างลงตัวแล้ว

การแข่งขันครั้งนี้ นอกจากผมจะเป็นผู้จัดการแข่งขันเองแล้ว ผมยังจะลงแข่งขันร่วมด้วยและมั่นใจว่า จะต้องเข้าถึงเส้นชัยให้ได้ตามกำหนด

 นอกจากพวกเรานักไตรกีฬาไทยแล้วผมยังจะชักชวนพรรคพวกนักไตรกีฬาชาวต่างประเทศที่บ้าเหมือนกันมาร่วมด้วย ที่ผมทำเช่นนี้ก็เพื่ออยากจะทำให้เป็นตัวอย่างสำหรับคนไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนหนุ่มๆสาวๆ หรือวัยกลางคน ได้รู้ได้เห็นว่า พวกเราคนไทย หากบ้าไตรกีฬา มันจะทำให้ ร่างกายจะแข็งแกร่งทนทานปานเหล็ก แต่ถ้ากินเหล้า มัวเมาอบายมุขทั้งหลายแล้ว มันจะทำให้อ่อนปวกเปียกเป็น…มะเขือเผา

ส่วนเด็กๆเยาวชนนั้นเล่า หากเขาอยากโตเป็น “คนเหล็ก” เช่นผม เขาต้องเริ่มต้นฝึกขึ้นบันไดขั้นที่หนึ่งตั้งแต่บัดนี้ อีกไม่เกินสิบปีข้างหน้าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งและทนทานปานเหล็ก

และจะได้สมญาว่า…..ยอดคนเหล็กไทย(ULTRAMAN) ซึ่งเป็นของจริงไม่ใช่ในภาพยนต์

การจัดครั้งนี้ มันอาจจะช่วยประชาสัมพันธ์สถานที่จังหวัดต่างๆที่ผ่านไป ให้กลุ่มคนบ้าทั่วโลกได้รู้ได้เห็นก็ได้นะ ว่า….ประเทศไทยมี ธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะทะเลและสองข้างทางที่ผ่านไป โรงแรมดี อาหารอร่อย ผู้คนล้วนมีน้ำใจ

เหตุผลส่วนตัวของผมที่สำคัญที่สุด ก็คือ ไหนๆผมก็บ้าไตรกีฬาแล้ว จึงต้องบ้ากันให้สุดๆ เอาให้ลือลั่นไปทั่วโลกเลย

 

คุณอยากบ้าอย่างผมมั้ย

 

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.44<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>