<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_taper_before_10k.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> การเรียวแผนฝึกลงก่อนไปแข่งขันระย

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.49<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

 

การเรียวแผนฝึกลงก่อนไปแข่งขันระยะสิบกิโล

 

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               ความคิดที่ลดความเข้มข้นและความหนักหน่วงของการฝึกวิ่งลงก่อนไปแข่งขันเพื่อคืนความสด  มักมีข้อพิจารณากันอยู่ที่  เราจะ  Taper  กันขนาดไหน  และสมควรจะเริ่มเมื่อไร  จะได้เอื้อให้นักวิ่งมีผลการแข่งขันที่ดีที่สุด

                จากการศึกษาที่  Malaspina College  รัฐบริติชโคลัมเบีย  ประเทศแคนาดา  ร่วมกับมหาวิทยาลัย  Alberta  ที่ศึกษาจากนักกรีฑาวิ่งจำนวน 25 รายที่ฝึกในระดับ  75-85% ของความหนักสูงสุด  มีการฝึกแต่ละครั้งราว 1 ชั่วโมง  5 วันต่อสัปดาห์  ต่อเนื่องกัน 6 สัปดาห์  ก่อนไปทดสอบและวัดระดับกลัยโคเจนสะสม และทดสอบวัดระดับ  Lactate threshold  (L.T.) 

                มีรายละเอียดที่ผู้วิจัยแบ่ง  Subjects  ลงเป็น 4 กลุ่ม  มีรายละเอียดดังนี้

 

กลุ่มที่ 1                ใช้การ  Taper  3 วัน ก่อนไปแข่งทดสอบ  โดยการลดความร้อนแรงของปริมาณแผนฝึกลงแต่

                             ให้ทรงระดับความเข้มเท่าเดิมไว้

กลุ่มที่ 2                ใช้การ  Taper  6 วัน  ก่อนไปแข่งทดสอบ

กลุ่มที่ 3                ใช้  Taper  ด้วยการหยุดสนิทเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกัน 4 วันเต็ม

กลุ่มที่ 4             ไม่ใช้  Taper  เลย  โดยให้ออกกำลังทั้งปริมาณความเข้มเท่าเดิมไปจนวันแข่ง

 

ผลการวิจัยพบว่า

 

กลุ่มที่ 1  และกลุ่มที่  2    มีระดับของ  Lactic-acid-threshold  หรือ  Lactate threshold  (L.T.)  เพิ่มขึ้น        

                                        12%       (ค่า  L.T.  นี้เป็นค่าที่เราวัดความสามารถที่ร่างกายจัดตั้งความต่อเนื่องของ

                                        การออกแรงทางร่างกายอย่างหนักไปได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ)

กลุ่มที่ 3   (ไม่มีการออกกำลังกายเลย)  ในช่วงของ  Taper  ไม่พบว่ามีระดับ  L.T. เปลี่ยนแปลง  คือเท่าเดิม

กลุ่มที่ 4   (ฝึกต่อไปจนแข่ง)  พบว่าระดับ  L.T.  ลดลง

 

ส่วนการศึกษาที่ว่าจำเพาะเรื่องปริมาณกลัยโคเจนสะสมมีเท่าไร  พบว่า

 

กลุ่มที่ 2          (ที่ใช้เวลา  Taper 6 วัน) มีระดับกลัยโคเจนถูกยกระดับขึ้นไป  25%

กลุ่มที่ 1          (3 วัน)  และ กลุ่มที่ 3 (ไม่ออกกำลังกายเลย)  กลัยโคเจนสูงขึ้น  12%

กลุ่มที่ 4         (ฝึกตลอด)  กลัยโคเจน  12%  เหมือนกันครับ  แต่  -12%  คือตกลง 12%

 

หัวหน้าคณะวิจัย  J.P.Neary , Ph.d.  กล่าวผลสรุปให้พวกเราเห็นภาพว่า  การพัก  Taper  จะช่วยให้เซลล์กล้ามเนื้อทำงานได้หนักอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                Dr.Neary  กล่าวเน้นย้ำว่า  แม้เราจะพอมองเห็นความสำคัญของการ  Taper  ที่มีต่อการวิ่งแข่งขันแล้วก็จริง  แต่ระดับของแต่ละคนที่จะได้ผลของ  Taper  สูงสุด  ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะระบุกันได้อย่างชัดเจน  แต่ละคนมีความผันแปรไม่เหมือนกัน  แล้วยังขึ้นกับแต่ละสนามอีกด้วย  เช่นสนามที่แข่งระยะยาว  และ  นักกีฬาสูงวัย  ย่อมต้องใช้เวลา Taper  ที่นานออกไป เป็นต้น  ควรใช้สามัญสำนึกนำหลักเกณฑ์ไปปรับทดลอง  และให้ผู้วิ่งสังเกตดูผลที่ออกมาดีกับตัวเองมากที่สุด  เพื่อจะได้เป็นแนวทางของตัวเองต่อไป

 

 

 

รายละเอียดของการ  Taper  ของ  Dr.Neary  ใช้กับ  Subjects  กลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ของเธอ

ในระยะ  10  ก.ม.

Taper  6  วัน

Taper  3  วัน

วันที่ 1               40     นาที

วันที่ 1             40  นาที

วันที่ 2               พัก

วันที่ 2             20  นาที

วันที่ 3               40     นาที

วันที่ 3             พัก

วันที่ 4               20     นาที

วันที่ 4             แข่ง

วันที่ 5               20     นาที

 

วันที่ 6               พัก

 

วันที่ 7               แข่ง

 

  

22:20  น.29  พฤศจิกายน  2548

 จาก          Tapering Tips

โดย           John  M. Mora

Edited by  Bob  Cooper

R.T. April  193   P.19