โดย...เมฆ ( วิจิตร
ศรีแก้วณวรรณ )
ผมลงวิ่งมาราธอนครั้งแรกตอนอายุ 22 ปี ในงานวิ่งกรุงเทพมาราธอนครั้งที่ 11 เมื่อปี 2541 โดยถูกพวกพี่ๆ ในชมรมช่วยกันอำว่า
" ทุกคนในชมรมได้ผ่านการวิ่งมาราธอนกันมาแล้วนะ เหลือแต่ เมฆ คนเดียวที่ยังไม่ได้วิ่งมาราธอน "
และก็พูดโน้มน้าวใจผมอีกว่า
" เมฆวิ่งได้อยู่แล้ว เพราะ เมฆวิ่งมินิ และฮาล์ฟมาหลายงานแล้ว ซ้อมอีกนิดก็วิ่งได้แล้ว "
ผมวิ่งมินิ มาประมาณ 10 กว่าสนาม ทำเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 34-36 นาที
และวิ่งฮาล์ฟ ก็ 10 กว่าสนามเหมือนกันครับเวลาโดยเฉลี่ยก็ประมาณ 1.18- 1.22 ชม. ครับ
ผมฟังแล้วก็คิดว่า น่าลองวิ่งดูบ้างก็ดีเหมือนกัน แต่ใจก็กลัวนิด ๆ ไม่รู้จะใช้กำลังขนาดไหนของความเร็วที่วิ่ง หรือจะเกิดอาการอะไรขึ้นบ้างในขณะที่วิ่ง แต่ผมก็พอรู้วิธีการรักษาตัวเองอยู่บ้าง เมื่อมีอาการบาดเจ็บและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่ 1 อาทิตย์ ก็ตัดสินใจได้ว่า
" เอาก็เอาวะ มันจะโหดขนาดไหนเชียวที่ว่ามาราธอน มาราธอน " แม้แต่คุณลุง วัย 50 - 60 ปี ก็ยังวิ่งมาราธอนได้ เรายังหนุ่มแน่น ทำไมเราจะวิ่งไม่ได้
หลังจากนั้นผมก็เริ่มซ้อมกับกลุ่มพี่ๆ ที่เขาเคยลงแข่ง และก็ถามเทคนิคการวิ่งจากพวกพี่ ๆ ก็ซ้อมจริงจัง 2 เดือน ก่อนการแข่งขัน อาทิตย์หนึ่ง ๆ พวกผมวิ่งระยะไกล 35 กม. 2 วันเพื่อให้ชินกับสภาพวิ่งได้นาน ๆ และก็วิ่ง 400 เมตร ประมาณ 10-20 เที่ยว ใช้เวลาต่อรอบ 80 นาที และก็ลดเวลาลง 60 นาที บ้าง เพื่อที่จะให้ปอดขยายและเพื่อความแข่งแกร่งของกล้ามเนื้อ อาทิตย์หนึ่งลง 2 วัน และวิ่งเบา ๆ 2 วัน หยุดพัก 1 วัน จนถึง 1 อาทิตย์ ก่อนแข่ง ก็ซ้อมเบา ๆ
เมื่อใกล้วันแข่งขันก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาของคนที่ไม่เคยลงมาราธอนมาก่อน ทางชมรมได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า ซึ่งไม่ไกลจากจุด Start นัก เราจองไว้ทั้งหมด 5 ห้อง ต่อ 13 คน พวกเรามารวมกันในวันเสาร์ พูดคุยกระเซ้าเหย้าแหย่กัน ต่าง ๆ นา นา เกี่ยวกับเวลาในการวิ่งแข่งของแต่ละคน ที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ก็ชอบ วกมาลงที่ผม เนื่องจากอายุน้อยที่สุด ขู่ผมกันใหญ่ ว่าอย่าวิ่งให้เห็นหลังนะ ไม่นั้นโดนเก็บแน่
และ พี่คนหนึ่งก็บอกว่า " เมฆ น่าจะทำเวลาได้ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง แน่ ๆ "
ผมก็ตอบแหย่ๆ ไปว่า " โอ! มันน่าจะมากกว่านั้นนะพี่ นี่วิ่งมาราธอนนะ ไม่ใช่ 21 "
พี่อีกคนก็ขู่ว่า " ถ้าเมฆวิ่งเกิน 3 ชั่วโมง โดนพี่เก็บแน่ ๆ "
ระหว่างคุยกัน ผมก็กินเกาลัด กับพวกพี่ๆ ที่ซื้อเกาลัดมา 2 กิโล ไปด้วย และคืนนั้นผมยังกินบัวลอยงาดำน้ำขิง แถวเยาวราช ถ้วยหนึ่งตั้ง 40 บาท แพงจนจำได้ดี เคยกินขนมหวานถ้วยละแค่ 5บาท เท่านั้น เราคุยกันจนถึง 3 ทุ่มก็แยกย้ายกันไปนอน
ผมตื่นตี 3 อาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ดื่มน้ำ 1 ขวด พอตี 3 ครึ่ง ก็ออกจากที่พัก วิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ ยกเข่าสูง เข่าต่ำ แกว่งแขน หมุนคอ ในขณะจ๊อกกิ้ง ไปเรื่อยๆ สัก 10 นาที ก็ถึงสนามแข่ง
ตอนนั้นอากาศเริ่มชักจะหนาว และมีหมอกลงเล็กน้อย ได้ยินเสียงเครื่องขยายเสียง มีเพลงเร้าใจพวกนักวิ่ง ทำให้บริเวณงานคึกคัก จิตใจผมก็คึกคัก ตื่นเต้นเร้าใจตามไปด้วย เกิดความฮึกเหิมที่จะวิ่งในเวลาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว แต่บางครั้งใจก็ฟ่อ เดี๋ยวก็ตื่นเต้นคึกคัก สลับกันอยู่อย่างนี้ จนผมต้องเข้าห้องน้ำหลายครั้ง
ในวันนั้นผมก็มองหานักวิ่งชาวเคนย่า ซึ่งเป็นนักวิ่งที่เด่นที่สุดในงาน พอเวลาใกล้ ๆ ตี 4 กรรมการก็เรียกนักวิ่งให้ไปรวมตัวกันที่หน้าวังสราญรมย์ เพื่อจะได้ไปที่จุดปล่อยตัว ถึงเวลาก็มารวมตัวกันที่จุดปล่อยตัวข้าง ๆ วัดพระแก้ว
ตี4.30 ก็เริ่มปล่อยตัว ผมกับเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ กะว่าเราจะวิ่งไปด้วยกัน และก็พากันวิ่งติดๆ กับนักวิ่งชาวเคนย่า เพราะเราจะคอยดูว่าเขาวิ่งอย่างไร เราวิ่งตามสัก 500 เมตร ก็พากันวิ่งไปตามปกติ ขณะที่วิ่งผ่านสนามหลวง ผู้คนยืนมองดูกันเป็นแถว และส่งเสียงเชียร์ หรือว่าเสียงด่าก็ไม่รู้ วิ่งไปสักพักใจที่เคยฟ่อ และวิตกกังวลต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป คงมาจากเสียงเชียร์แน่ๆ เลย ผมคิดว่าเราต้องวิ่งให้ต่ำกว่า 3 ชั่วโมงให้จงได้
พอวิ่งไปได้สักระยะหนึ่งก็วิ่งขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ผมรู้สึกปวดท้องนิด ๆ ก็ไม่คิดเอะใจ อะไร และอากาศตอนนั้นก็เย็นสบายดี เหมาะกับร่างกายที่เครื่องกำลังเพิ่งจะร้อน พวกพี่ๆ ในชมรมที่ไม่มาวิ่งแข่งก็มาให้กำลังใจกันที่ตีนสะพานพระปิ่นเกล้า
และก็ตะโกนว่า " เมฆ ไล่เคนย่าเลย "
ไม่ไหวหรอกครับ ตอนนั้น เคนย่านำเป็นกิโลแล้ว ขณะวิ่งผมใช้กำลังเพียง 60 % ในการวิ่ง ซึ่งการที่พวกพี่ๆ มาดูก็ทำให้ผมมีกำลังใจในการวิ่งเป็นอย่างมาก ช่วงวิ่งอยู่บนสะพานพระปิ่นเกล้า พี่ในชมรมแซงผมไป 2 คน ผมก็ไล่ตาม และก็วิ่งขึ้นไปบนทางด่วน ตอนวิ่งขึ้นทำให้ผมต้องใช้กำลังพอสมควร และขณะนั้นผมก็ยังวิ่งไล่พี่ที่ซ้อมมาด้วยกัน จนผมเริ่มมีอาการปวดท้อง
และแล้วความหวังก็มาพังทะลายลง วิ่งอยู่บนทางด่วนได้สัก 2 กิโล ท้องก็เริ่มปั่นป่วน น้ำในท้องดังครึ่กๆ เริ่มหนักท้องน้อย ผมก็หวังว่าอาการต่าง ๆ คงจะดีขึ้น แต่มันก็ไม่ดีขึ้น ผมวิ่งแผ่วลง พี่ที่ซ้อมมาด้วยกันก็วิ่งฉีกตัวห่างออกไปเรื่ย ๆ จนผมตามไม่ทัน แต่ในขณะนั้นผมก็ยังติดอันดับในกลุ่มแถวหน้า ๆ อยู่ คิดว่าถ้าวิ่งได้อย่างนี้ ก็คงจะไม่เกิน 3 ชั่วโมงแน่ๆ ผมจึงพยายามวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยในตอนนั้นไม่คิดที่จะหันตัวกลับมาเข้าห้องน้ำก่อนเลย เพราะกลัวเลยเวลา และก็คิดว่า น่าจะมีรถสุขาสักคันแน่ๆ บนทางด่วน หรือไม่ก็ต้องมีทางลง ผมจึงวิ่งไปเรื่อย ๆ จนทันพวกพี่ ๆ ก็เลยวิ่งไปด้วยกัน เพื่อนเห็นผมก็วิ่งอัดหนี ผมก็วิ่งตามไปติด ๆ จนในที่สุดก็แผ่วลงทั้งคู่ ก็เลยวิ่งไปด้วยกัน คุยกันไปเรื่อย ๆ
วิ่งไปได้อีกสักพัก ก็เริ่มปวดท้องอีก ก็ไม่ได้บอกเพื่อน และก็คิดปลอบใจตัวเองว่าคงมีรถสุขาสักคันแน่ๆ บนทางด่วน ผู้จัดการแข่งขันคงจัดไว้ให้สักคันแน่ ๆ สงสัยคงจะอยู่ข้างหน้ามั่ง
จนในที่สุดผมทนไม่ไหว
ต้องบอกเพื่อนว่า " ปวดท้องจังเลย "
เพื่อนก็ตอบทันทีว่า " วิ่งกระโดดไปอีกฟากหนึ่ง แล้วก็เยี่ยวเลย ไม่ต้องอายหรอก ถ้าเป็นกูเยี่ยวตรงนั้นเลย"
ผมตอบไปว่า " ไม่ได้ปวดเยี่ยว ปวดถ่าย "
ตอนที่ปวดมากครั้งที่ 2 ก็อยู่ระหว่างขนส่งสายใต้ เมื่อมองลงไปข้างล่าง ก็รู้ว่ามีส้วมอยู่ข้างล่างแน่นอน ก็ได้แต่มองลงไปให้ช้ำใจเล่น ที่ไม่สามารถลงไปได้ และก็ทรมานสุดๆ ของการกลั้นไว้ ไม่สามารถถ่ายได้ ตอนนั้นผมคิดที่อยากจะเป็นนก จะได้บินให้เร็วสุดๆ เพื่อจะได้เข้าห้องส้วม ในหัวสมองตอนนั้น คิดถึงแต่ ส้วม ส้วม ส้วม อยู่ไหน ๆ ไม่ได้คิดถึงเวลาจะได้ดีหรือไม่ อีกแล้ว คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึงส้วมซะทีนะ วิ่งไปมองหารถสุขาไป ก็ไม่เห็นมีสักคัน มองหาทางลง ก็ไม่มีเสียอีก แต่ดันมองไปเห็นปั๊มน้ำมันข้างล่างอีก ยิ่งแค้นใจ ทุกครั้งที่ไม่สามารถลงไปข้างล่างได้ โอ! เวร ของตู นอนอยู่บ้านดีๆ ไม่ชอบ
และขณะนั้นถ้าวิ่งแรงมากเกินไปจะเกร็งหน้าท้องมาก ก็จะทำให้ปวดท้องมากขึ้น ถ้าวิ่งช้าไป จะทำให้มีการกระแทกของเท้ามาก จะทำให้อุจจาระไหลแน่ๆ เลย ผมจึงเริ่มทำสมาธิ ให้ใจนิ่งมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เพื่อที่จะได้ควบคุมไม่ให้มันไหลออกมา ซึ่งวิธีนี้ ก็ทำให้ทุเลาลงบ้าง และยังเหลือระยะทางอีกตั้ง 4 กิโลเมตร ถึงจะวิ่งลงจากบนทางด่วนมหาภัยนี้ได้ อาการของผมก็เดี๋ยวหาย เดี๋ยวปวดอย่างรุนแรง สลับกันไป ขณะนั้นถึงแม้มีรถพยาบาล วิ่งอยู่เรื่อย ๆ ในช่องวิ่งหนึ่ง วิ่งมาพอดี ผมก็อายหมอ ไม่กล้าบอกรถพยาบาลให้ไปส่งส้วมหน่อย
ผมยังคงทนวิ่งต่อไป โดยหวังอยู่ว่า ต้องมีรถสุขา บนทางด่วนแน่ๆ จนในที่สุดผมก็วิ่งลงมาจากทางด่วนซึ่งเป็นกิโลเมตรที่ 8 แล้ว พอวิ่งลงมา เห็นปั๊มอยู่ใกล้ ๆ ตีนสะพาน ก็อุทานในใจว่า " รอดตายแล้ว โอ้! สวรรค์ " พวกตำรวจที่คอยโบกรถอยู่แถวนั้น พวกเด็กปั๊ม พนักงาน และพวกลูกค้าที่มาเติมน้ำมัน ต่างมองมาที่ผมกันใหญ่ คงนึกว่า นักวิ่งคนนี้วิ่งผิดเส้นทาง ผมก็เขินเหมือนกัน แต่เป้าหมายของผมก็คือ " ส้วม " เด็กปั๊มคนหนึ่งพูดแซวผมดัง ๆ ว่า " พี่ๆ น้ำมันหมดหรือ เติมน้ำก่อน " ผมรีบเดินตรงเข้าไปหาเด็กปั๊มคนนั้นทันที เขาตกใจมาก แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก " ห้องน้ำอยู่ไหน "
ซึ่งใน ก.ม.ที่ 8 ผมทำเวลาอยู่ที่ 48 นาที ผมก็กด stop เวลาเอาไว้ก่อน ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำไป ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำ 10 นาที ขณะนั่งอยู่ในส้วม ก็นึกในใจว่า " โอ ! กว่าจะเข้าส้วมได้ เกือบเดี้ยงเสียแล้วเรา ไม่น่ากลั้นเอาไว้เลย และเกิดมาไม่เคยนึกฝันเลยว่า กว่าจะเข้าส้วมได้ ต้องวิ่งไกล ขนาดนี้เลยกู " สงสัยคงมีเราคนเดียวแน่ๆ ที่เข้าห้องน้ำขณะนี้ น่าอายเสียจริง ๆ แต่กำลังคิดโน่นคิดนี่ ก็ได้ยินเสียง แฮก !! ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หายใจแรงขึ้น ๆ ๆ และก็มีเสียงเล็ดลอดเข้ามา " ไว ๆ หน่อย ครับ ผมจะแย่อยู่แล้ว "
พอผมเปิดประตูส้วมออกมา ก็ถามเขาว่า " เป็นไงครับเฮีย " " ก็เหมือนกับน้องนั่นแหละ " เขาตอบพร้อมหายเข้าไปในส้วม อย่างรวดเร็ว
พอผมเดินออกมานอกห้องส้วม ก็เห็นนักวิ่งหลายคนที่ทะยอยวิ่งเข้าห้องส้วมกันเป็นแถว ผมเจอคุณตาคนหนึ่ง แกบอกว่า
" ตาทนไม่ไหว เลยให้รถพยาบาลมาส่งหน้าปั๊มเลย "
ผมยืนมองพวกนักวิ่งอีกหลายคนที่ต่างทะยอยวิ่งลงมาจากทางด่วน ด้วยหน้าตาเหย่ เก บิดเบี้ยว ต่างวิ่งเข้าส้วมกันเป็นทิวแถว ขณะกำลังยืนมองดูสัก 1 นาที ผมก็ตกใจ ที่เห็นพี่ในชมรมคนหนึ่ง ว่า ทำไมเขาวิ่งมาเร็วจัง แปลกใจที่พี่เขาวิ่งไล่ทันแล้ว ถ้าแพ้ ก็โดนล้อแน่ๆ ผมก็รีบสปิดหนี อีกอย่างผมต้องรีบวิ่งตามเพื่อนอีกคนที่เราวิ่งคู่กันมา ตอนนี้เขาวิ่งนำไปก่อนแล้ว
ขณะนั้นอากาศก็ชักจะเริ่มมีหมอกบาง ๆ และก็หนาวลงเรื่อย ๆ แต่ก็นับว่าอากาศดีมาก รถราก็น้อย ผมวิ่งชนิดที่ วิ่งแซง ๆๆๆ คุณลุงที่รู้จักกันพูดแซวตะโกนถามว่า " วิ่งกี่กิโลไอ้หนุ่ม " ลุงคงแปลกใจว่าทำไมผมวิ่งเร็วจัง แต่จริงๆ แล้วผมจะวิ่งไล่ให้ทันเพื่อนที่วิ่งด้วยกันบนทางด่วนต่างหาก ซึ่งถ้าผมวิ่งกับเขาจะทำให้ผมวิ่งได้เวลาดี ๆ วิ่งไปถึง กิโลที่ 13 ก็เจอเขา แต่พอเขาเห็นผม ก็รีบ Speed หนีผมใหญ่เลย ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาไล่จนทันเพื่อน เราไล่กันไปไล่กันมา
จนเพื่อนบอกว่า "ไม่ไหวแล้ว นายไปก่อนเถอะ "
ส่วนผมก็หมดแรงเหมือนกัน เมื่อถึงจุดให้น้ำผมรับน้ำมาดื่มทุกจุด
พอวิ่งไปถึงกิโลเมตรที่ 16 ผมรู้สึกว่า ร่างกาย มันแห้งอย่างกระทันหัน และก็เริ่มหนาว หนาวขึ้นเรื่อย ๆ ตาก็เริ่มเบลอมีอาการสะลึมสะลือ ผมรู้สึกหนาวมาก แต่แข้งขาผมยังวิ่งไปได้
พอถึงจุดให้น้ำ ผมก็เอาน้ำมาลูบหน้า ขณะที่มือสัมผัสกับน้ำรู้สึกเย็นถึงกระดูกเลย แต่ก็ต้องฝืนดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว และผมก็เริ่มสปีดเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่ไม่ได้ผล ผมกลับหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อวิ่งมาถึงกิโลที่ 18 ซึ่งเป็นทางแยกที่เลี้ยวซ้ายไปเมอรี่คิงส์ และเส้นทางไปสะพานกรุงธน ผมวิ่งเลี้ยวซ้ายไป 50 เมตร ก็มีจุดให้น้ำ และ รถพยาบาล เวลาขณะนั้นประมาณ 6 โมงเช้ากว่า ๆ มีหมอกลงจัด
เป็นอากาศที่เลวร้ายสำหรับผม แกล้งผมชัด ๆ มันทำให้ผมหนาวยิ่งขึ้น คล้ายกับคนมีไข้ขึ้นสูง พอผมเห็นรถพยาบาลก็วิ่งเข้าไปรับแอมโมเนีย และก็รับน้ำ เมื่อมือสัมผัสกับแก้วน้ำ ทำให้ร่างกายผมยิ่งหนาวขึ้นอีก แต่ผมก็พยายามจับแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เพื่อทดแทนน้ำที่เสียไป และรู้สึกว่าร่างกายก็จะแห้งลง ผมก้าวขาแทบไม่ค่อยได้ ขาก็สั่น ตาก็สะลึมสะลือ อยากจะหลับ อยากจะนอนห่มผ้าหนาๆ คิดว่า ไม่รู้จะมาวิ่งทำไม ทั้งอดหลับอดนอน แถมยังมาเป็นอย่างนี้อีก ไม่น่ามาวิ่งเลย
เพราะขณะที่คิดอยู่นั้นมันหนาวมาก ขนาดที่ไม่กล้าเอามือแก่วงออกนอกลำตัว และต้องเกร็งตัวด้วยความหนาวสั่น หนาวเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว
คุณหมอ ในรถพยาบาลก็ถามผมว่า " วิ่งไหวมั๊ย "
และก็เข้ามาจับตัวผม พร้อมทั้งพูดว่า " ตัวคุณเย็นจังเลย คุณวิ่งไปไม่ได้หรอกนะ
คุณควรหยุดที่รถพยาบาลเถอะ "
ทำให้ใจผมเริ่มโลเลไม่อยากจะวิ่งแล้ว แต่ก็คิดว่า เอ๊ะ! เรามาวิ่งครั้งแรก เป็นอย่างนี้แล้วจะถอนตัวกลางคันหรือ ไม่ได้ เป็นไงก็เป็นกัน ก็ตัดสินใจว่าเดินไป นั่งพักไป คงค่อย ๆ ดีขึ้น
ก็เลยปฏิเสธคุณหมอ ตอบไปว่า " ผมวิ่งไหวครับ ขอบคุณครับ "
ผมพยายามกัดฟันกรอดๆๆ ร่างกายตอนนั้นไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องไหว เพราะวิ่งครั้งแรกต้องไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ ผมวิ่งห่างไปจากรถพยาบาลประมาณ 300 เมตร ก็มีพยาบาลวิ่งตามมา ชวนให้ไปพักที่รถพยาบาลดีกว่า ผมก็ปฏิเสธไปอีก " ไม่เป็นไรครับผมวิ่งได้ ขอบคุณครับ "
คุณพยาบาลหันมามองแล้วก็ยิ้ม ผมเห็นคุณหมออีกหลายคนที่รถพยาบาลต่างเฝ้ามองดูว่าผมจะกลับไปที่รถพยาบาลหรือไม่
อาการหนาวของผมก็ยังไม่ทุเลาเลย ผมตัดสินใจนั่งบนเกาะกลางถนนพักหนึ่ง แต่ตอนนั้นใจผมยังเป็นห่วงกับเวลาอยู่
มีเพื่อนนักวิ่งที่วิ่งผ่านไป ก็ต่างถามว่า " น้องเป็นไรหรือเปล่า ทำไมถึงสั่นขนาดนี้
และหน้าซีดจังเลย "
ผมก็ไม่กล้าบอกว่าเกิดจากอาการท้องร่วงหรอก
ตอนนั้นคิดว่าถ้าได้ดื่มน้ำอุ่น ๆ ก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ สักชาม หรือ โจ๊กร้อน ๆ น่าจะทำให้ดีขึ้น เพรามองเห็นร้านโจ๊กอยู่ห่างทางด้านหน้าสัก 500 เมตร ได้ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับถนนสายที่วิ่ง แต่ผมก็ไม่ได้พกเงินติดตัวไว้เลย หิวก็หิว หนาวก็หนาว เหมื่อยก็เหมื่อย
ขณะที่นั่งมันก็ยิ่งหนาวขึ้นเลย นั่งทำสมาธิแป๊บหนึ่ง
และก็วิ่งสปีด 100 เมตร แต่สปีดได้สัก 50 เมตร โดนลมปะทะยิ่งหนาวใหญ่ ก็จ๊อกช้า ๆ และก็นั่ง
และก็คิดว่า เอ! จะทำยังไงดี ถึงจะวิ่งได้ คิดไปคิดมา ก็ใช้วิธีเดิมอีก เพราะเมื่อตะกี้นี้ไม่ได้แกว่งแขน ทำให้ใช้แรงเยอะ ทีนี้ลองแกว่งแขนดู ก็เลยลุกขึ้นวิ่ง ซึ่งขณะนั้นกลุ่มนักวิ่งก็เริ่มทะยอยวิ่งกันมา ผมก็วิ่งวิธีเดิมอีก 100 เมตร จ๊อก 20-30 เมตร แล้ววิ่งอีก ทำได้ 5 ครั้ง อาการหนาวก็เริ่มที่จะลดลง อาการเพลียป้อแป้ ก็ชักจะเริ่มเข้ามาแทน แล้วก็จ๊อกช้า ๆ กัน ผ่านกลุ่มเพื่อนนักวิ่ง ก็คอยถามไถ่ ทักทาย คอยถามว่า เป็นไร ไหวมั๊ย
ขณะที่ผมกำลังจะหยุดเดิน
ก็มีเพื่อนนักวิ่งคนหนึ่งบอกผมว่า " น้อง ๆ ด้านหน้ามีซุ้มอาหารอยู่ มาวิ่งไปพร้อมกันกับพี่ไปด้วยกัน"
( ผมเห็นความแตกต่างได้ระหว่างช่วงที่ผมวิ่งอยู่แนวหน้า ไม่อบอุ่นเหมือนกับวิ่งช่วงกลาง หรือท้าย ๆ จะมีการถามไถ่ทักทายกันตลอด เมื่อวิ่งอยู่หน้าๆ แค่มอง แล้วก็วิ่งเลยผ่านไป )
ผมก็วิ่งไปกับพี่เขา เพื่อที่จะให้ถึงซุ้มอาหาร ผมต้องใช้แรงก๊อกสุดท้ายที่เหลืออยู่ในการวิ่งทีเดียว พอถึงซุ้มผมก็ดื่มน้ำแดงเฮบลูบอยก่อนเพื่อนเลย กินน้ำหวานไปสัก 2 แก้ว พวกพี่ๆ แถวนั้นต่างมองหน้าผมกันใหญ่ ผมก็งง! ทำไมจ้องมองกัน
จนพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า " ทำไมหน้าซีดจัง "
ผมก็เล่าอาการให้เขาฟัง พี่เขาก็ตกใจ และบอกให้ผมเข้ามานั่งกินข้างในก่อน
ผมก็เลยขออนุญาตกินน้ำหวานไปอีก3-4 แก้ว รู้สึกอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นก็กินแตงโม อีกเยอะมาก ( กลัวพี่ๆ เขาว่าตะกละเหมือนกัน )
ขณะที่กำลังนั่งกินอยู่ นักวิ่งอันดับ 1 ของฮาล์ฟ ก็วิ่งผ่านมาพอดี และมีรถจับเวลาซึ่งนำหน้ามาด้วย ดูแล้วมันเท่ห์ดี ท่าวิ่งก็สวย ดีใจมากเลยครับที่ได้เห็นในครั้งนั้น อันดับ 1 วิ่งผ่านไป ไม่กี่นาที อันดับ 2-3-4 ก็ตามมาเรื่อยๆ
ส่วนผมก็นั่งกินแตงโม จนรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมาก ผมยังจำชื่อชมรม ที่ตั้งซุ้มอาหารไว้บริการตอนนั้น ได้ดี และจำไว้ตลอดเลยครับ คือ ชมรมพุทธมณฑล ถือว่าเขาช่วยผมจากอาการที่ทรมานที่สุดที่เคยวิ่งมา
จากนั้นผมก็ลาพี่ ๆเพื่อที่วิ่งต่อไป ซึ่งอีกตั้ง 21 กม. ผมก็เดินไปช้า ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ วิ่ง ส่วนอาการหนาว ตอนนั้นมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่รู้ตัวเลย
ผมวิ่งมาถึงตีนสะพานกรุงธน ฯ ผมต้องใช้กำลังเยอะในการวิ่งขึ้นสะพาน เพราะผมเพิ่งฟื้นไข้ ขณะที่วิ่งอยู่บนสะพานกรุงธนฯ บรรยายกาศตอนนั้นสวยงามมากจริง ๆ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ กระทบกับสายหมอก กระทบสายน้ำเจ้าพระยา และก็มีนักวิ่งอยู่บนสะพานเต็มไปหมด งดงามไม่แพ้กับที่โฆษณาในโบร์ชัวร์ของบอสตันมาราธอนเลยทีเดียว
ผมดูเวลาขณะที่วิ่งอยู่บนสะพาน ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง 20 นาที ของกิโลเมตรที่ 22 พอวิ่งลงสะพาน ผมวิ่งลงเท้ากระแทกพื้นสะพานแรงไปหน่อย เลยทำให้เกิดอาการของตะคริวนิดๆ และก็ค่อย ๆ กระตุกที่ใต้น่อง เป็นก้อนแข็ง
ผมพยายามที่จะฝืนวิ่งแต่ไม่ไหว เลยออกมานั่งข้างตีนสะพาน แล้วก็นวด เพื่อนนักวิ่งที่ผ่านมาก็เอาน้ำมันมวยมาให้ เอาเคาเตอร์เพน มาให้ บางคนก็เข้ามาช่วยนวดให้ผม ที่เป็นก้อนแข็งก็ค่อยคลายลง ผมก็กลัวว่าพี่ที่ช่วยนวดให้ผมจะเสียเวลา ผมก็รีบขอบคุณพี่เขา เพื่อที่เขาจะได้รีบวิ่งต่อไป ผมก็นั่งนวด สบัดขา ยืดกล้ามเนื้อแล้วทำให้ดีขึ้น ผมก็วิ่งจ๊อกไปเรื่อย ๆ บนถนนสุโขทัย ซึ่งผมเห็นกลุ่มคุณลุง คุณตา ที่วิ่ง 42 กม. วิ่งแซงผมไป อย่างสบาย ๆ ผมคิดว่า น่าอายจริง ๆ หมดฟอร์มเลยเรา เรายังหนุ่มกว่าตั้งเยอะ
ส่วนอาการตะคริว เมื่อวิ่งเกร็งกล้ามเนื้อที่ใด มันก็เกิดอาการทุกทีในขณะที่จ๊อก
ผมก็หาวิธีที่จะทำอย่างไรให้วิ่งได้ให้ถึงเส้นชัย และจะเอาชนะกับตะคริวให้ได้ และผมก็คิดได้ว่า ควรวิ่ง สปีด 100-300 เมตร โดยที่ไม่เกร็งกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าวิ่งช้า ๆ อยู่อีกจะทำให้ถึงช้า และแดดจะร้อนขึ้นทุกทีๆ เมื่อเกิดอาการตะคริวนิด ๆ ที่ใด ก็หยุดนวด โดยที่ไม่ให้เป็นมาก แล้วค่อยหยุด ปรากฏว่าได้ผลมากกว่าที่คิดเอาไว้
เมื่อถึงจุดให้น้ำก็เอาน้ำเย็นราดที่ขาก็ทำให้อาการทุเลาลงบ้าง และวิ่งผ่าน ถนนสุโขทัย เข้ามาถนนด้านข้างวังสวนจิตรลดา ผมหยุดนวดเกือบตลอด บางทีก็ช่วยนวดให้คนอื่น ๆ บ้าง เพื่อนนักวิ่งที่วิ่งผ่านมาก็ช่วยเหลือกันดีมาก บางคนก็เอายานวดที่พกมาด้วยบีปให้คนละครึ่ง และถามไถ่กัน แทบทุกคนที่วิ่งผ่านจะต้องคอยถาม ขณะที่เขาวิ่งผ่านไป ทั้ง ๆ ที่ทุกคนไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่ก็ห่วงใยกัน
ผมพยายามวิ่งไปทั้ง ๆ ที่มีอาการของตะคริว เป็นๆ หาย ๆ พอเริ่มกระตุกนิดๆ ผมก็หยุดนวด เป๊บเดียวก็จะทุเลาลง ซึ่งทำอย่างนี้ดีกว่าเป็นหนักแล้วค่อยนวด
ขณะที่ผมวิ่งมาถึงแถวๆ ม.ธรรมศาสตร์ ผมก็เห็นนักวิ่งบางคนเป็นยืนกอดต้นมะขาม เพราะปวดตะคริวอย่างมาก ซึ่งบางครั้งที่ผมหยุดนวดให้เพื่อนนักวิ่ง ผมก็เป็นตะคริวทั้งๆ ที่ผมหยุดอยู่ ผมก็ยังงงๆ เมื่อผมไปช่วยนวด จนเขาหายดีแล้วผมก็วิ่งต่อไป
และก็คิดว่า เมื่อไหร่จะถึงสักทีนะ มันล้าไปหมดแล้ว ส่วนอาการเหนื่อยมันไม่เหนื่อยเท่าไร แต่อากาศเริ่มร้อน ขณะที่วิ่งอยู่ด้านข้างธรรมศาสตร์ผมเจอพี่ที่เขาลงแข่งด้วย ก็วิ่งไล่กัน กว่า 1 กม. อาการตะคริวของผมหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สงสัยตอนวิ่งไล่กันเป็นแน่
พอเลี้ยวซ้าย ด้านข้างวัดพระแก้ว ก็เห็น เส้นชัยอยู่ตรงหน้า ผมดีใจมากเลยครับ ว่าผมวิ่งได้ และทำสำเร็จแล้ว ของการลงแข่งขัน 42 กม. ครั้งแรก
เมื่อวิ่งเข้าเส้นชัย มีพวกพี่ๆ ที่ชมรม ยืนรอ อยู่ข้างหน้าเส้นชัย ส่วนเวลาที่ทำไว้ในครั้งนั้นไม่ดีเท่าไรนัก อยู่ที่ เวลา 4 ชั่วโมง 18 นาที แต่ผมก็ภูมิใจ ที่ผมทำได้ครับ และสามารถวิ่งได้ถึงเส้นชัย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจยิ่งนัก
ส่วนอาการเหนื่อยต่าง ๆ มันก็หายไป เหมือนกับว่าไม่ได้วิ่งมาเลย
มัวดีใจในความสำเร็จว่า " ยังไง ยังไง เราก็ทำได้ "
อ่านจบช่วยตอบผมหน่อยนะครับ ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคุณ คุณจะทำอย่างไร ?