ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.50
แข็งแรงแต่ผ่อนคลาย
โดย กฤตย์ ทองคง
ความผิดพลาดอมตะที่แพร่หลายอย่างหนึ่งของนักวิ่ง(บางคน) คือการไม่ยอมยืดเส้น และไม่วอร์ม-อัพ หรือไม่ก็สักทำไปนิดหน่อยเป็นกิริยาบุญ ไม่พอเพียง สันนิษฐานว่าเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะพวกเรามองไม่เห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่าง ผลของการกระทำเหล่านี้กับการปกป้องภาวะบาดเจ็บ หรือเอื้ออำนวยต่อการฝึกให้ร่างกายซึมซับได้ประโยชน์อย่างเต็มที่
สัจจธรรมบอกว่า ทุกอย่างย่อมมีทั้งประโยชน์และโทษ การที่จะปฏิเสธใดๆหมดทั้งบริบทเพื่อหลีกเลี่ยงข้อเสียหรือโทษภัยย่อมเป็นเรื่องเขลา มิเช่นนั้นเราคงต้องปฏิเสธทุกเรื่องในโลกนี้ แต่อยู่ที่การรู้จักเลือก รู้จักคัดสรร นำพาอันใดที่เป็นประโยชน์มาใช้ , มาทำ และหลีกเลี่ยงอันใดที่สุ่มเสี่ยงอันตรายต่างหากที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จทุกอย่าง
การที่นักวิ่งลงมือวิ่งเลยอย่างไม่ยอมยืดเส้นและวอร์ม-อัพก่อน จึงเท่ากับเป็นการหมุนเอาด้านร้ายของการออกกำลังกาย และเผชิญหน้ากับความบีบเค้นต่อสรีระอันเป็นโทษที่มีอยู่จริงจากการวิ่ง มาบังเกิดกับตัวเอง
ผู้เขียนไม่เคยปฏิเสธถ้อยคำที่ให้ร้ายการออกกำลังกายด้วยการวิ่งว่ามีอันตราย มีจริง ครับ.........อันตรายมีจริง แต่เราป้องกันง่ายมาก เพียงแค่ลงมือทำ(ยืดเส้น)เท่านั้น (Just do it) ต่างจากผู้คนที่ปฏิเสธวิ่งทั้งหมด จึงทำให้พลาดสิ่งดีๆที่เป็นคุณของการวิ่งไปอย่างน่าเสียดาย
นั่น..ช่างเขาเถอะ เขาเลือกแบบนั้น แต่พวกเรานี่ซิ เอาตัวรอดให้ได้ ตอนนี้เรามาวิ่งกันแล้ว ไม่ว่าคุณจะเคยยืดเส้นเหยาะแหยะหรือไม่เคยยืดเลยก็ตาม นับตั้งแต่อ่านบทความนี้จบ คุณต้องเลือกที่จะยืดเส้นจนเป็นนิสัยก่อนการฝึกใดๆ(และหลังฝึกเสร็จอีกครั้ง) เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไม่ว่าคุณจะเคยบาดเจ็บมาหรือไม่ นับตั้งแต่คุณมีความเข้าใจใหม่ต่อเรื่องนี้แล้ว คุณต้องเริ่มอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพื่อชีวิตวิ่งของคุณเองจะต่อเนื่องได้อย่างยาวนาน
ปัจจัยสำคัญสองส่วนที่มีผลต่อการปกป้องร่างกายจากความบาดเจ็บจากการวิ่งคือ Get loose and strong เราต้องแข็งแรงและผ่อนคลายไปพร้อมๆกัน
เรื่องของความแข็งแรงก็คือ เราต้องมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง , เราควรมีกระดูกที่แข็งแกร่ง , เราควรมีเส้นเอ็นที่เหนียวแน่น , เราควรมีหัวใจที่อดทน , เราควรมีหลอดเลือดที่ทำหน้าที่ส่งเลือดได้ดี ทั้งหมดจะปกป้องคุณจากความบาดเจ็บจากการวิ่งเป็นประการแรก
ลองสังเกตดูในการเผชิญความบีบเค้นหนักจากการวิ่ง นักวิ่งที่ฟิตกว่า ทำไมจึงไม่บาดเจ็บอะไร ขณะที่อีกคน (ที่อ่อนฟิตกว่า) เรียบร้อยไปแล้ว จากความหนักของเนื้องานเท่าๆกัน อันนี้ใครๆก็เห็นได้ชัดเจน
ในเรื่องของความอ่อนคลาย (Loose) คือความสามารถปรับตัวให้ร่างกายเผชิญกับความหนักหน่วงจากแรงภายนอกที่กระทำเข้ามาต่อร่างกาย ด้วยความอ่อนคลายเป็นโช้คอัพซึมซับอันตรายต่างๆไม่ให้มาตกกระทบแรงนัก ซึ่งนักวิ่งทุกคนสามารถรับความอ่อนคลายนี้จากการยืดเส้น ต่างจากความแข็งแรงที่ได้มาจากประสบการณ์วิ่งนาน วิ่งจนเก่ง มันจึงทยอยแข็งแรงขึ้นมา ดังนั้น สำหรับนักวิ่งคนหนึ่ง จึงเลือกไม่ได้นักว่า จะแข็งแรงหรือไม่ในปัจจุบัน เขาเพียงเลือกได้แต่วิ่งมันให้นานๆหลายปี มันก็แข็งแรงเอง แต่สำหรับการอ่อนคลายจากการยืดเส้นนี้ นักวิ่งได้มันมาจากการลงมือยืดเส้นประจำวันนี่เอง
ไม่ว่าใครจะเป็นแชมป์ ต่อให้แกร่งมาจากไหน ไม่สำคัญนัก หากวันใดละเลยนิสัยยืดเส้นก็เสมือนจัดกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน คอยแต่เวลาเท่านั้น คนเป็นแชมป์จึงมีสองปัจจัยช่วยปกป้องบาดเจ็บ คือการยืดเส้น และความแข็งแกร่งแน่นหนาที่ผ่านวิ่งมานานหลายปีที่ติดตัวมาแล้ว คือ Loose and strong นี่เอง
สำหรับพวกเรานักวิ่งมือใหม่ หรือนักวิ่งที่ยังไม่เป็นแชมป์ กล้ามเนื้อยังไม่ค่อยแข็งแรง เราอาศัยการฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไปและการยืดเส้นที่รอบคอบ เราย่อมสามารถยังประโยชน์จาก get loose เพียงปัจจัยเดียวเท่านั้น ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ในระดับของพวกเราสมควรใส่ใจเรื่องนี้ เรื่องยืดเส้นและวอร์ม-อัพให้มากเป็นพิเศษ
มันจะเขลาขนาดไหน มาวิ่งแล้วไม่มีทั้ง strong เส้นก็ไม่ยอมยืด Loose ก็ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นรับเจ็บไปแทนก็แล้วกัน ชะตากรรมจึงลิขิตออกมาเช่นนั้น
เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ เราก็จะเป็นตัวอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้คนนอกวงการที่ขาดความเข้าใจโพนทนาข้อเสียของการวิ่งอีกครั้งต่อไป เห็นไหมล่ะ ฉันว่าแล้ว อย่าวิ่ง...อย่าวิ่ง เข่าพังไม่รู้ต่อกี่รายแล้ว
กำลังจะบอกว่า พฤติกรรมของพวกเราในวงการต่อตัวเองก็มีผลทำให้นักวิ่งเกิดใหม่มากหรือน้อยด้วยเหมือนกัน
รายละเอียดเกี่ยวกับการยืดเส้นมีให้อ่านมากมาย มีรูปภาพประกอบให้เข้าใจง่าย มีเขียนกันมากสำนวน ความขาดแคลนตรงนี้ไม่มีอยู่ มันกลับขาดแคลนตรงความตระหนักในความสำคัญอย่างที่ผู้เขียนกำลังอธิบายอยู่ ชอบวิ่งเลยไม่สนใจคำเตือน
นักวิ่งส่วนใหญ่ทราบอยู่บ้างแล้ว หนังสือวิ่งพูดกันทุกเล่ม เวปทุกแห่งอ้างถึง โค้ชทุกโค้ชไปแนวทางเดียวกันไม่มีแตกแถว สรุปว่าต้องยืดเส้น , ต้องวอร์ม-อัพและคูลดาวน์ ต่อให้อีกร้อยปีข้างหน้า แม้สรรพความรู้ต่างๆอาจต้องเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่รับรองเรื่องการเตรียมตัวก่อนวิ่งจะเป็นเรื่องเดิมๆเพียงแต่เอามารีไวด์ซ้ำ ที่ต้องคอยกำชับกันตลอดกาล ไม่เป็นอื่น
ในข้อปฏิบัติพบว่า มีข้อวิพากย์วิจารณ์กันในหมู่โค้ชว่า เราควรจะวางการยืดเส้นไว้ในตำแหน่งก่อนหรือหลังวอร์ม-อัพดี บ้างก็ว่าก่อน บ้างก็ว่าหลัง คงจะหาข้อยุติลำบาก ด้วยว่า มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บางประการยันกันอยู่ว่า การจะยืดเส้นได้ดี ย่อมเกิดภายใต้เงื่อนไขกล้ามเนื้อที่อุ่น(จากการวอร์มล้ว) และในอีกด้าน การจะวอร์มได้ดีก็มักจะเกิดจากกล้ามเนื้อที่ยืดตัวเต็มที่แล้ว กลายเป็นไก่กับไข่อย่างไหนเกิดก่อนกัน
ดังนั้นคำถามนี้จึงอย่าเอามาถามผู้เขียนว่าเราควรจะเลือกไก่หรือเลือกไข่ดีกว่า เพราะผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้เขียนเคยเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่วิ่งวอร์มพร้อมกับยืดเส้นไปด้วย กล่าวคือ ออกตัวเดินไปสัก 5 นาที แล้วหยุดยืดเส้นสัก 5 นาที แล้วค่อยออกจ็อกต่อ และสลับยืดเส้นอีก กลับไปกลับมาแบบนี้เรื่อยๆ จนครบทั้ง 20 นาที น่าจะเป็นทางออกที่ดี
แต่ในความเป็นจริง นักวิ่งระยะไกลพวกเราไม่ค่อยเลือกที่จะทำอย่างนั้น ถ้าลองก้าวออกไปแล้ว ก็มักตียาวโลดเลย ไม่มีอะไรจะมายั้งอยู่แล้ว จะให้วิ่งไปจิ๊กนึง แล้วก้มๆเลยๆ เป็นอะไรที่บ้าที่สุด ได้แต่เอาอารมณ์มาอธิบาย ไม่ใช้วิทยาศาสตร์ แต่ข้อติติงของผู้เขียนไม่ได้อยู่ตรงวิทยาศาสตร์หรืออารมณ์ แต่ก้าวออกไปสู่ข้อสรุปใหม่เลยว่า
เอางี้ดีกว่าใครชอบอย่างไรก่อนให้ทำอย่างนั้น ขอเพียงแต่ให้ลงมือทำ Just start คุณจะเลือกเอาอะไรก่อนหลัง , หลังก่อนก็ทำไปเถอะ ปัญหาอยู่ที่พูดกันมากกว่าทำ อย่างโน้นอย่างนี้วิพากย์วิจารณ์เป็นกระบุงโกย แต่ที่จะลงมือเห็นน้อยนิด
เพียงแค่การลงมือยืดเส้น แบบไหนก็ได้ ก่อนหรือหลัง พบว่าร่างกายก็ได้ผลทั้งนั้น โปรดฟังอีกครั้ง ขอให้ทำเถอะ เป็นคำตอบสุดท้าย
ที่ยากอยู่ตรงรายนักวิ่งขาเก่านี่แหละ คนเราลงมันติดความเคยชินแล้วแก้ยาก รู้ทั้งรู้แต่ไม่ทำ (Old habits die hard) ครั้งเมื่อผู้เขียนฝึกนักวิ่งหน้าใหม่ ตอนนั้นสอนวิ่งอยู่ กำกับการวิ่งเน้นเรื่องท่าวิ่ง และความเร็วมิให้เร็วเกินไป เข้ามาวันแรกปล่อยผู้ฝึกวิ่งเลย ลืมยืดเส้นไป คิดว่าไม่เป็นไรไว้เรียนรู้เรื่องยืดเส้นวันหลัง พบว่าแค่นี้ก็สายเสียแล้ว แค่ผ่านไป 2 -3 ครั้ง ติดนิสัยเลย แม้เรียนรู้เรื่องยืดเส้นแล้ว คราวนี้ก็ไม่ยอมทำ ต้องยืนกำกับใกล้ๆต้องจ้ำจี้จ้ำไชเป็นเหมือนเด็กๆ
รายต่อๆมา การฝึกวิ่งครั้งแรกในชีวิตของผู้มาฝึกใดก็ตาม ผู้เขียนจับยืดเส้นหมด เอากันเต็มเซ็ท ฟูล สกรีน ว่ากันค่อนข้างเยอะและละเอียด พบว่าจะติดนิสัยนี้ตลอดไป ไม่มีมาให้ลำบากใจ ดังนั้นเพื่อนนักวิ่งใดที่ชวนเพื่อนมาวิ่ง ขอให้เน้นเรื่องยืดเส้นในวันแรกเปิดบริสุทธิ์เลย จะเป็นตลอดไป ให้ความผิดพลาดของผู้เขียนเป็นฐานการเรียนรู้ของพวกเราไปด้วย
การเตรียมตัวก่อนวิ่ง ถ้าจะว่าให้ละเอียด นอกจากจะยืดเส้นแล้วเราจะมี Strength training และ Calisthenic Exercise อีกด้วย เป็นการออกกำลังกายชนิดใช้เครื่องต้านหนืดต่างๆแบบในโรงยิมและกายบริหารเคลื่อนไหวท่าต่างๆ ล้วนแต่มีประโยชน์และสนับสนุนให้การวิ่งเป็นไปอย่างปลอดภัย และเพิ่มความก้าวหน้าอย่างดีทั้งสิ้น
มีข้อแนะนำเสริมนิดหน่อยตรงนี้ก็คือ เราควรปฏิบัติการ ยืด-ยิม-กายบริหารเหล่านี้อย่างฉลาดและมีจังหวะจะโคน คือให้แผ่วจางการฝึกลงเมื่อใกล้เทศกาลแข่งขันชุกคือลดปริมาณทั้งจำนวนครั้งและจำนวนเซ็ทลง และกลับมาเท่าเดิมเมื่อหลังเทศกาลแข่งขัน Hal Higdon แนะนำเรื่องนี้ไว้ว่า ไม่ควรยกน้ำหนัก หรือฝึก Strength ใดๆอย่างน้อยถึง 6 สัปดาห์ก่อนการแข่งขัน หรือเมื่อคุณกำลังไต่ระดับการซ้อมยาวใกล้เคียงระดับ 30 ก.ม. เป็นต้นไป
อนึ่ง.......เราสามารถใช้การยืด-ยิม-และกายบริหารเหล่านี้ได้ต่อเนื่องเสมอยามนักวิ่งบาดเจ็บ (ในตำแหน่งที่ไม่ตรงกัน) และจะเป็นสิ่งดีด้วยซ้ำ เพื่อยังรักษาความฟิตของอวัยวะอื่นๆให้ธำรงความแข็งแรงคอยการฟื้นตัวของส่วนที่บาดเจ็บกลับคืน ทำให้ร่างกยตกฟิตไม่มากนัก
นักวิ่งหลายคนที่วิ่งอยู่ในวงการได้นาน รวมทั้งตัวผู้เขียนด้วยจะใช้การยืดเส้นสม่ำเสมอต่อเนื่องแทนการออกกำลังกายวิ่ง เมื่อต้องการฟื้นตัวต่างๆไม่ว่าหลังแข่งเพื่อให้หายล้าหรือหายดีจากบาดเจ็บ โดยปฏิบัติให้ฟื้นตัวนานกว่านักวิ่งธรรมดา ไม่ละโมภการฝึก ไม่กลัวขาดซ้อม ไม่ตามใจอยากวิ่ง ไม่สนใจคำชักชวนไปสนามใดๆ ด้วยการกระทำเช่นนี้ เราจะไม่เจ็บแล้วเจ็บอีก และจะหายเร็วที่สุด เมื่อเทียบกับนักวิ่งอื่นๆที่ใจร้อนทนอดวิ่งนานไม่ได้ พวกนี้มักกลับไปเจ็บอีก รวมเวลาขึ้นๆลงๆ ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งเป็นแรมเดือนแรมปี เสียโอกาสมากมาย
การเซ็ทปรับเปลี่ยนนิสัยให้เป็นนักวิ่ที่มีภูมิต้านทานบาดเจ็บ ด้วยการหมั่นต่อเนื่องกิจวัตรเตรียมตัวก่อนซ้อมคือ ยืดเส้นและวอร์ม-อัพสม่ำเสมอนี้ Dr.Costill ใช้ถ้อยคำว่า Bulletproof body เป็นนักวิ่งหนังเหนียวตายยาก วิ่งทั้งคอร์ท ทั้งยาว สลับวิ่งขึ้นเขา เป็นที่แปลกใจกับเพื่อนนักวิ่งบางคนว่า ทำไมเราไม่เจ็บสักที ทั้งๆที่พวกเขาวิ่งก็เบา คอร์ทก็ไม่มี หลีกเลี่ยงเสมอ ยังเจ็บอยู่บ่อยๆ
ครับ.........ก็คนเรามันปฏิบัติตัวต่างกัน ...........มันย่อมเป็นเช่นนี้เอง
11.50 น.
10 พฤษภาคม 2550