เสถียรภาพของการวิ่ง
             

โดย   กฤตย์   ทองคง

 

               เช้านี้   ขณะพิมพ์บทความเรื่องใหม่อยู่ดีๆ   ก็มีเสียงโวยวายมาจากเจ้าเครื่องสำรองไฟใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์   ออกคำสั่งผู้เขียนว่าขณะนี้ไฟฟ้าดับ   ให้รับเซฟงาน  และจงยุติกิจกรรมที่กำลังทำอยู่เสียดีๆ

                ถ้าเราพิเคราะห์ให้ชัดเจนจะเห็นว่า   หน้าที่อันแท้จริงของเจ้าเครื่องสำรองไฟนี้   มิใช่มีไว้เพื่อสำรองกำลังไฟฟ้าไว้ ยามไม่มีไฟฟ้าใช้  ดังชื่อที่เราเรียกมัน   มองมันอีกด้าน   มันเป็นเครื่องสัญญาณเตือนบอกให้รู้สถานการณ์ที่กำลังจะเสียหายข้างหน้าจากกระแสไฟฟ้าขัดข้อง  ให้รีบจัดการปกป้องการงานของตัวเองเสีย

               สำหรับคนทำงานด้านคอมพิวเตอร์   เสียงร้องจากเครื่องสำรองไฟ   เป็นเสมือนความสามาถที่ผู้ใช้ย้อนเวลาถอยหลังได้  2 – 3  นาที   เก็บงานให้เรียบร้อยก่อนที่จะหมดแหล่งพลังงานโดยสิ้นเชิงเท่านั้นเอง

                ในแง่นี้   ทำให้นึกถึงนักวิ่ง   หากจะมีเครื่องมือใดที่ซื้อมาติดตั้งกับร่างกาย  แล้วส่งเสียงเตือนให้หยุดวิ่งหรือพักวิ่ง   ก่อนที่ความบาดเจ็บจะมาถึงในเวลาอันใกล้   ก็คงน่าซื้อมาติดกัน   เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเราทุกคน   ใหญ่กว่าเรื่องแฮงค์ของคอมพิวเตอร์มากนัก   อดวิ่งเชียวนะคุณ

                เก็บงานพิมพ์เรียบร้อย   ชัตดาว์นเครื่อง   ถอดปลั๊ก  แล้วคิดว่าเราจะทำอะไรต่อดีระหว่างรอไฟฟ้านี้   หมุนไปหมุนมาอยู่ชั่วครู่   ซักผ้าดีกว่า   กว่าจะรู้สำนึกว่าเครื่องซักผ้าก็ต้องใช้ไฟฟ้าด้วย   ก็ใส่ผงซักฟอกลอยลงไปในน้ำแล้ว   ก็มันลืมนึกไปไง

                เลยมานอนก่ายหน้าผาก   นี่เราจะทำไงดีโดยที่ต้องไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของเครื่องประกอบที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าเลย   คราวนี้ต้องรอบคอบ  นึกให้ดี  เหม่อไม่ได้   ตอนนี้ไม่มีไฟนะ   ฟังเพลงก็ไม่ได้ นี่อีกอย่าง  ต้องอยู่เงียบๆไปก่อน   เอ........ถ้าจูงมือเมียเข้าห้องนอนต้องใช้ไฟหรือเปล่านี่?

                ไฟฟ้าช่วยมนุษย์เราได้หลายอย่างจริง   แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นผลกระทบที่ไม่ดีเลยคือ  ไฟฟ้าได้สร้างเงื่อนไข   “การขึ้นต่อ”   (Dependency)  ต่อหลายกิจกรรมชีวิต   ซึ่งความที่ต้องขึ้นติ่อสิ่งอื่นๆ  โดยเฉพาะที่เราควบคุมมันได้น้อยหรือไม่ได้  มันย่อมกอปรด้วยลักษณะขาดเสถียรภาพ   (Unstability)  ในกิจกรรมที่เราทำ อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

                จำเดิม   สถานการณ์ไม่ได้มีผลกระทบเรามากถึงเพียงนี้   แต่นานวันเข้า  เรารู้สึกถูกคุกคามจาก   “ระบบใหญ่”   Big Brother  ที่มันใหญ่โตมากเสียจนกระทั่ง   เราต้องจ๋อยไปเลยต่อหน้ามัน   มันอัดเราลูกเดียว   เรามีปฏิกิริยากับมันไม่ได้เลย

                สมัยนี้  การไม่มีไฟฟ้าใช้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง  เหมือนถูกตัดแขนตัดขา  กำหนดชะตากรรมตนเองไม่ได้  ยืนรับความปรานีหรือความโหดร้ายจาก  Big Brother  อย่างเซื่องๆ  คลับคล้ายกับ    การเมืองเป็นพิษ   ฟอร์มาลีนในอาหาร   ผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอ   เซอร์เวอร์ล่ม   เมนเฟรมติดขัด   ไวรัสลง   อะไรที่ใหญ่ๆอย่างระบบเงินตราถ้าเกิดสะดุดก็จะลากเอาคนจนๆ  คนทั่วไปที่ไม่ได้ทำผิดบาปให้รับเคราะห์กรรมไปด้วยจากความเป็นโลกาภิวัตน์   นี่เพราะเราต้อง   “ขึ้นต่อ”  Big Brother  นั่นเอง

                อะไรที่เป็นแมนน่วล  ใช้ไปพลางๆก่อนเพื่อบรรเทาเจ็บปวดเดือดร้อนมีน้อยมาก   ทิศทางการพัฒนา   เราไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้   เรื่องเสถียรภาพที่ขึ้นต่อสิ่งอื่นให้น้อยที่สุด   ที่แม้ระบบมันจะเดี้ยงไปเป็นบางโอกาส   แต่ตัวอุปกรณ์ยังพอไปได้   ทำให้เราไม่เดือดร้อนมากนัก  แม้อาจจะไม่สะดวกเท่าก็ตาม

                ผู้เขียนนึกถึงการทำงานของจักรกลในตัวเรือนนาฬิกาข้อมืออัตโนมัติ  ที่ทำงานด้วยโรเตอร์จากการขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ของแขนผู้ใช้   ที่นาฬิกาจะรับใช้เราตลอดไป   แม้จะอยู่ในหลุมหลบภัยนิวเคลียร์ที่ทุกระบบเสียหายหมดแล้ว  เราก็ยังดูเวลาได้   นี่คือตัวอย่างที่เยี่ยมยอด   ของเสถียรภาพในสิ่งที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึง

                เมื่อบริษัทจะพัฒนาเทคนิคอิเลคโทรกลศาสตร์เครื่องมือเครื่องใช้ใดๆ   ไอเดียบรรเจิดจากความปราดเปรื่องของนักสร้างสรรค์จะนึกพียงแต่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่สุดยอดอัศจรรย์พันลึกได้อย่างไร?   แต่ความมีเสถียรภาพที่เป็นคุณสมบัติธรรมดาตื้นๆ  เรากลับสูญเสียมันไป อย่างน่าเสียดายนัก

                แม้เราจะทราบว่า   อีกไม่นาน  เครื่องคอมพิวเตอร์ที่   Re – Constructing  Themselves   ในขั้นประถมคงออกตลาดได้   แต่เราจะคาดหวังความสามารถเต็มเสถียรในตัวของมันเองภายในชั่วชีวิตเรานี่ได้หรือไม่หนอ

                ย้อนมาดูชีวิตวิ่ง   ได้พิจารณาดูตัวเองกันบ้างหรือไม่ว่า   เราได้ทำให้ชีวิตเรา   เราได้ทำให้ชีวิตวิ่ง   “ขึ้นต่อ”   อะไรอื่นมากเกินไปหรือเปล่า   จนขาดความเป็นตัวของตัวเอง

 ค ว า ม เ ป็ น จ ริ ง เ ตื อ น พ ว ก เ ร า ว่ า

 

การวิ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก   แต่ไม่ใช่สำคัญที่สุด

การวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น   แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

“Running is been as on aspect of a person’s life not our whole life.”

 

ตัวอย่าง

 1.     เห็นเรื่องวิ่งสำคัญมาก   ขาดซ้อมไม่ได้เลย   สนองตอบทุกโบรชัวร์ , เก็บเหรียญวิ่งให้ทุกเหรียญ   ยอมอุทิศส่วนอื่นๆเพื่อบูชายัญการได้วิ่ง   นอกจากร่างกายคุณจะเสี่ยงต่อความบาดเจ็บแล้ว   ชีวิตรวมและชีวิตครอบครัวคุณคงมีแรงเสียดทานมากทีเดียว

 2.     ทะเลาะกับแฟน   เลิกกัน   พลอยเลิกวิ่งไปด้วย   เพราะแฟนชวนมาวิ่ง   ต้องมีให้ครบองค์ประกอบปัจจัย   ทำอะไรท่ามกลางความไม่สมบูรณ์พร้อมไม่ได้   ทำให้ชีวิตวิ่งขึ้นต่อสิ่งอื่นๆโดยไม่จำเป็น

 3.     ว่างค่อยวิ่ง   ไม่ว่าไม่วิ่ง   มีความคิดอย่างนี้เมื่อไรชีวิตวิ่งของคุณจะไม่ยั่งยืนเมื่อนั้น   เพราะความที่คนเรามักจะไม่ว่างมากกว่าว่างอยู่แล้ว   อย่างน้อยเราก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น   แม้ว่าเราจะว่างจริงหรือไม่ก็ตาม   ควรมองเสียใหม่ว่าท่ามกลางการไม่ว่าง   มีภารกิจเต็มมือ   ฉันจะจัดการตารางกิจวัตรที่ต้องทำทุกอย่างนี้ให้ลงตัวได้อย่างไรมากกว่า  (ด้วยการลองถูก – ลองผิดไปเรื่อยๆ)   ทำชีวิตวิ่งให้ขึ้นต่อสิ่งอื่นๆน้อยลง

 4.     ขัดใจกับเพื่อนนักวิ่งในโลกไซเบอร์คนสองคน   เลิกเข้าเวปไปเลย   อะไรกัน!!   พวกเขามีความสำคัญกับคุณมากขนาดนั้นเชียวหรือ?

               ไฟฟ้ามาแล้ว   เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมใช้งานได้อีก   งานพิมพ์ยังคั่งค้าง   มีเสื้อผ้าต้องซัก   จะกลับไปทำต่อ   ผู้อ่านอาจมีการบ้านต้องครุ่นคิด  แล้วค่อยเจอกันที่สนามวิ่งเย็นนี้นะ.

10.55  น.

15  กุมภาพันธ์  2550

 ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 23ก.พ.50