วิ่งรักษาใจ

 

 

โดย...แมวเหมียว 

                          

            ถ้าพอคุ้นหน้ากันอยู่ ปีที่แล้วเพื่อนๆนักวิ่งมักจะเห็นกันในสนามวิ่งบ่อยๆใช่มั๊ยเอ่ย  ปีนี้อายุอานามก็ปาเข้าไป 39 แล้วค่ะ ที่หายไปไม่ใช่ว่าจะเลิกวิ่งหรอกค่ะ แต่เผอิญมีอาการบาดเจ็บที่ส้นเท้าแต่ดูอาการแล้วคงไม่เล็กน้อยแน่ๆเพราะนี่ก็ผ่านไป4 เดือนแล้วยังไม่หายขาดซักที   คาดว่าจะได้ลงสนามอีกทีก็คงจะอายุ 40 ไปเลยดีกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

                 อ้าว...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ วิ่งรักษาใจล่ะค่ะ  เกี่ยวซิค่ะ

ตั้งแต่เด็กๆจำความได้จะเป็นคนที่ชอบเล่นมาก โลดโผน หวาดเสียว

ความเร็วเป็นชอบหมด พอเรียนชั้น ม.ต้น ก็เริ่มเล่นวอลเล่ย์บอล เป็นตัวแทนโรงเรียน เล่นมาเรื่อยๆจนถึง ม. ปลาย ก็ยังเล่นต่อไปเรื่อยๆเป็นตัวแทนโรงเรียน ตัวแทนจังหวัด เดินทางไปแข่งขันหลายจังหวัด เล่นจนตัวดำไปเลย  จนรักกีฬาฝังอยู่ในหัวใจตลอด              

               วัยรุ่นก็เป็นธรรมดาที่จะต้องขัดใจกับแม่ค่ะ เพราะความที่รักในกีฬา  บ่อยครั้งที่ทะเลาะกับแม่ เป็นต้องหนีเข้าโรงยิม หรือไม่ก็ลงสระว่ายน้ำ ไม่เคยหนีไปเที่ยวไหนนอกจากสถานที่ 2 แห่งนี้ หลังจากเล่นกีฬาจนเหนื่อย ความรู้สึกโกรธ เศร้าเสียใจ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ความสุขเข้ามาแทนที่ ลืมเรื่องที่ผ่านมาไปอย่างง่ายดาย โรคทางใจก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

           วันเวลาผ่านไปมีอะไรใหม่ๆผ่านเข้ามาในชีวิต ครอบครัวใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ  งานใหม่ๆ  หลังจากนั้น 10 กว่าปี ก็ไม่มีโอกาสได้เล่นกีฬาอะไรอีกเลย จนกระทั่ง 4 ปีที่แล้ว  จากที่ได้พบกับเจ้าสิ่งใหม่ๆทั้งหลายก็ได้ค้นพบว่าสิ่งเหล่านั้นมาพร้อมกับความทุกข์แบบใหม่ๆ จะทุกข์แบบสาหัส หรือทุกข์แบบธรรมดา มันก็คือทุกข์นั่นแหละ

            เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องค้นหาสิ่งต่างๆมาเพื่อดับทุกข์ เนื่องจากตัวเองเป็นคนไม่ชอบเที่ยว วิธีที่ดีที่สุดที่เคยใช้มาก็คือเล่นกีฬาแต่กีฬาอะไรหล่ะ  ที่จะให้ความมันสะใจ ไม่เปลืองกะตังค์และที่สำคัญเราสามารถควบคุมเวลาในการออกกำลังด้วยตัวเราเอง แถมยังเล่นคนเดียวก็ได้ “ วิ่ง”  วิ่งมันเข้าไป วิ่งให้มันสะใจ หายเครียด ยิ่งเจ้าสารความสุขหลั่งออกมา โอ้โห...คงไม่มีสิ่งใดเทียบได้แน่นอน

            แรกๆก็วิ่งเล่น ไม่คิดลงสนาม เพราะติดภาระกิจหลายๆอย่าง แต่เนื่องจากความอยากบวกกับการชักชวนของน้องๆนักวิ่ง “พี่แมวลองหน่อยเหอะ”  เออ...น่าสนแฮะ  กลางปี 48 ก็เริ่มออกสนาม ถ้าจำไม่ผิดสนามแรกวิ่งที่เขากบ จังหวัดเราเอง ถ้วยหรอค่ะ  ไม่ต้องหวังหรอกก็วิ่งไปแบบนั้นเอง 

             หลังจากนั้นก็เริ่มแข่งมากขึ้น ปี 49 เป็นปีที่วิ่งเยอะมาก อาจเป็นเพราะเครียดมากก็วิ่งมาก ผสมกับความมันส์ เหมือนกลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ก็ยิ่งวิ่งยิ่งมัน สนุกกับการวิ่ง ผลที่ได้คือ จิตใจเราสบายขึ้น ใจเย็นแต่เข้มแข็งมากขึ้น  โดยเฉพาะการวิ่งมาราธอน ทำให้เราเป็นคนอดทนต่อสภาวะต่างๆมากขึ้น  แต่อยากบอกนิดนึงค่ะ...สิ่งที่อิฉันไม่อยากให้แถมมานี่ซิกลับตามมาด้วยคือ วิ่งจนเจ็บ นี่แหละ

              วิ่งแล้วรักษาโรคทางใจน่ะมันหาย  แต่ไหงมาเจ็บกายแทนนี่ซิค่ะ  แต่คิดในแง่ดีน่ะ เท้าเราคงจะประท้วง เพราะเราใช้งานมันหนักมากเกินไป เค้าคงอยากพักผ่อนบ้าง  ช่วงนี่เลยต้องบ๊าย บาย สนามวิ่งมา 4 เดือนแล้ว คาดว่าคงอีกนานกว่าจะได้ลงซ้อมและแข่งได้เหมือนเดิม

 

              เฮ้อ...กลับมาเจ็บใจอีกครั้งดีมั๊ยเนี่ย!!!!!!!!!

 

20มี.ค.50

11.30น.

 ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่21มี.ค.50