ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 21พ.ย.49

 

สิ่งที่นักวิ่งมักคิดวิตกไปเองโดยไม่จำเป็น

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               อย่างที่รู้กันแล้วว่าการวิ่งมันก็เรื่องง่ายๆ  แค่ก้าวเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าอีกข้างหนึ่งสลับไปสลับมาเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้า  แต่หากจะศึกษาเรื่องวิ่งให้มันลึกลงไป  จะพบความมหัศจรรย์ใจว่า  ทำไมมันช่างมีเรื่องราวมากมายไม่รู้จบสิ้นในเรื่องนี้  ที่มีข้อกำหนดว่า  ควรจะต้องทำอะไรบ้าง  และไม่ควรทำอะไรบ้าง  เพื่อให้เป้าหมายวิ่งของแต่ละคนเป็นไปได้จริง  และอย่างปราศจากความบาดเจ็บ

                ในจำนวนนี้  ยิ่งทวีความน่าสับสนมากขึ้น  หากนักวิ่งไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้  เห็นภาพไม่ชัดเจน  ความที่ยังไม่รู้ปะปนกับสิ่งที่พอรู้มาบ้าง  เข้าทำนองรู้ครึ่งๆกลางๆ  ได้ส่วนผสมที่ผลิตความวิตกกังวลไปต่างๆจำนวนหนึ่งอย่างไม่จำเป็น

                ต่อไปเป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนเห็นว่า  พวกเรารู้สึกทุกข์ร้อนกันเกินไปในเรื่องต่อไปนี้  อันที่จริงความร้ายแรงมันไม่ได้มากมายอย่างที่เราคาดหมายไว้  การปล่อยวางมันลงเสียบ้าง  เข้าใจโลกอย่างที่มันควรจะเป็นว่า  ความสมบูรณ์ไม่มีในโลก  ถ้าเราจัดการส่วนผสมเหล่านี้ได้ลงตัวแล้ว  ชีวิตวิ่งก็จะง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

 1)     วันนี้วิ่งวุ่นทั้งวัน  หาเวลาวิ่งไม่ได้เลย

               ใช่แล้วที่เราไม่สามารถเอ้อระเหยอย่างเมื่อวานได้  ให้จัดการวิเคราะห์กิจวัตรทั้งชุดที่ประกอบด้วยอะไรบ้าง  เช่น  การวิ่งจริงๆล้วนๆอาจไม่มีอยู่  มันจะแวดล้อมไปด้วยการสันทนาการในหมู่เพื่อนพ้องนักวิ่งด้วย  ให้ตัดมันออกเป็นสิ่งแรกๆ  ให้เหลือไว้คงการวิ่งล้วนๆแล้วรีบกลับบ้านเลย  เราจะได้เวลาชดเชยมาส่วนหนึ่ง  ส่วนการขาดสันทนาการไปบ้างนั้น  ไม่ใช่เรื่องใหญ่  ที่พบเห็นบางครั้ง  การณ์กลายเป็นว่า  มัวแต่ฝอย  โม้มาก  ทั้งเวลาวิ่งก็ถูกเบียดบัง  และก็บ่นเหนื่อยหน่ายกับการไม่มีเวลาเพียงพอ 

               สำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพนั้นก็ไม่ได้รบกวนเวลาของพวกเรามากเลย  ลดลงจากที่เคยทำได้อยู่  มาเหลือแค่ 10 นาที  เพียงวันเดียวหรือไม่กี่วัน  ไม่มีผลต่อความฟิตสูญหายแม้แต่น้อย  จำไว้ว่าความยืดหยุ่นมีความสำคัญมาก  อย่าพยายามทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ต้องเพอร์เฟค

 2)     ฉันมักจะกินอาหารผิดๆก่อนเวลาแข่งเสมอ

               ให้ตราไว้ว่า  ไม่มีอาหารที่ไม่ดี  หากมันให้ผลที่ดี  หรือไม่ให้ผลที่ร้าย  แม้ว่าอาหารเหล่านั้นจะเป็นอาหารที่มีโภชนาการต่ำ  แต่ถ้ามันไม่ก่อผลร้ายให้ก็น่าจะพอใจแล้ว  ที่มันจะมีคุณค่าก็ตรงที่มันอาจเป็นของโปรดที่ประเทืองอารมณ์และความรู้สึกที่ดีของคุณได้  เพราะเช่นนั้นคุณถึงเลือกที่จะกินมัน  ใช่หรือไม่

                อีกประการหนึ่ง  ไม่มีหรอกที่คนเราจะกินอาหารแต่ประเภทเดียว  แม้วันนี้คนเราจะกินชนิดหนึ่งชนิดใดมากไปหน่อย  พรุ่งนี้หรือวันอื่นๆที่เรากินก็จะหลากหลายเปลี่ยนแปลง  และเราก็จะไปได้ประโยชน์จากตรงนั้น  อันที่จริง  อาหารทุกชนิด  จะมีโภชนาการเด่นและด้อยในจุดใดจุดหนึ่งเสมอ

 3)     ฉันหายใจด้วยวิธีผิดๆ  อยากทราบวิธีการหายใจที่ถูกต้องในการวิ่ง

               ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เคยตั้งคำถามอย่างนี้  ตลอดชีวิตวิ่งผู้เขียน  เคยได้ยินความคาดหวังนี้จากพวกเรามากมาย  แต่ทราบหรือไม่ครับว่า  ไม่มีวิธีการหายใจที่ถูกต้องกำหนดเป็นเกณฑ์สำหรับนักวิ่งหรอก  เพียงแต่ปล่อยให้มันเป็นการหายใจไปตามธรรมชาติเท่านั้น

               เพียงอยากจะบอกว่า  คุณก็แค่วิ่งเร็วเกินไปน่ะซิ  คุณจะเอาอย่างคนอื่นที่คุณวิ่งตามเขาไม่ได้  ระดับของสุขภาพร่างกายและความฟิตจากการฝึกย่อมไม่เท่ากัน  เรื่องของเรื่องก็คือ  คุณเพียงแต่ลดความเร็วการวิ่งลง  เพียงสักครู่คุณจะพบว่า  สามารถเริ่มกลับมาถือครองจังหวะการหายใจได้อย่างเป็นตัวเองอีกครั้ง

                ด้วยเหตุเช่นนี้  ทำให้เป็นบางครั้งเท่านั้นที่เราจะวิ่งไปกับเพื่อนนักวิ่งอื่นได้  และบ่อยครั้งที่เราต้องหรือควรวิ่งเพียงลำพัง  ในความเร็วที่เป็นของเรา  แม้กระทั่งในรายที่มีความฟิตเท่าๆกันก็ไม่สามารถวิ่งไปกันได้  หากมาถึงสนามคนละเวลา  เขาวอร์มได้ที่ไปแล้ว  กำลังเข้าเนื้อแผนฝึก  แต่คุณเพิ่งมา  จะไปอัดตามเขาหรือไร  สิ่งหนึ่งที่เราต้องฝึกหัดก็คือ  ต้องสามารถวิ่งเพียงคนเดียวได้  เรียกว่าฝึกให้มีวุฒิภาวะวิ่ง  สมกับอายุราชการวิ่งที่เพิ่มมากขึ้น  ไม่ใช่เป็นลูกแหง่  เพื่อนไม่มาวิ่งไม่ออก  แบบนี้เสร็จแน่

                ดังนั้นคำถามที่ว่าด้วยการแสวงหาวิธีการหายใจที่ถูกต้องระหว่างวิ่งก็คือโจทย์ที่ฟ้องความเร็วเกินไปกว่าฐานของตัวของผู้ถามนั่นเองครับ

 4)     วิ่งแล้วเหนื่อยเกินไป  ที่จะตอบสนองเซ็กส์กับคู่สมรส

               คำอธิบายข้อสับสนสงสัยประการนี้ก็คงจะคล้ายๆกับข้อที่แล้ว  ผู้เขียนอยากจะบอกว่า  ใครที่ถามอย่างนี้แสดงว่าวิ่งเร็วเกินไป  หรือไม่ก็มากจำนวนกิโลเมตรเกินไป  หรือไม่ก็วิ่งอย่างกระชั้นชิดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ  ในมิติใดมิติหนึ่งเสมอ  ให้แก้ไขด้วยการปรับตรงนั้นลงมาสู่จุดกลางที่ลงตัวของคุณเอง  และคุณต้องนิยามให้ได้เสียก่อนว่า  ไอ้ที่พอดีนั้นมันแค่ไหน  ที่จะต้องสัมพันธ์กับเป้าหมายการวิ่งของคุณด้วยนะ  ไม่จำเป็นที่กลางของสองคนจะเท่ากัน  แม้จะมีความฟิตเท่ากันก็ตาม 

               ผู้เขียนมีความเห็นว่า  น่าจะถือเอาข้อถามประการนี้เป็นมอนิเตอร์บอกภาวะที่ฝึกวิ่งหรือแข่งวิ่งที่มากเกินไป  (Overtrain)  ที่ผู้วิ่งควรจะรับฟังสัญญาณนี้เป็นอย่างยิ่ง

 5)     ฉันวิ่งช้าเกินไป  ทำอย่างไรจะสามารถวิ่งได้เร็วขึ้น

               ช้ากว่าใครกันครับ  ถ้าเอาคนทั้งประเทศไทยมาเข้าแถวเรียงลำดับตามความฟิตร่างกาย  คุณอาจจะอยู่ในชั้นต้นๆของคนส่วนมากทีเดียว  ที่นักวิ่งที่วิ่งได้ช้าที่สุดในสนามที่เรารู้จักตอนนี้  ก็น่าจะอยู่ใน  Rank  ที่เร็วเป็นอันดับราว 10%แรกของผู้ที่เร็วที่สุดในประเทศก็ได้  จะให้เก่งมาอย่างไรถ้าไม่ได้เป็นนักวิ่งมา  ก็แพ้คนที่ซ้อมเสมออย่างพวกเราแน่  ดูให้ดีเถิดครับ  เอามาทั้งประเทศ  เพื่อนบ้านคุณเขาไม่ได้วิ่งหรอกนะ  และยังกระย่องกระแย่งเข้าโรงพยาบาลเป็นระยะๆ  แม้บางรายที่เป็นคนทั่วไปที่ไม่ป่วยไข้  ก็ต้องหยุดเดินสลับมากๆเมื่อออกวิ่งไปได้แป็บเดียว  แต่ตัวของคุณสามารถไปได้อย่างไม่ต้องหยุดไกลกี่กิโลกัน  บางรายยังวิ่งได้เต็มมาราธอนก็เคยมาแล้ว  แล้วเอาที่ไหนมาพูดว่า  วิ่งช้าเกินไป  สำหรับรายที่ฝึกเพื่อวิ่งเพื่อให้เร็วขึ้นในสนามแข่งขัน  นั่นเป็นเรื่องของการฝึกสะสม  ที่ต้องมีวินัย  ในองค์ความรู้เรื่องสรีระและเวชศาสตร์การกีฬาที่ถูกต้อง  และอดทนรอคอยเป็นให้ได้  ที่สมควรกล่าวในบทความเรื่องการพัฒนาความเร็วในที่อื่นต่อไป

 6)     ฉันมีเหงื่อเยอะเกินไป

                 ความวิตกกังวลประการนี้มักมาจากนักวิ่งหญิงมากกว่านักวิ่งชาย  ที่เดาได้ไม่ยากว่า  เธอปรารถนาให้มีรูปลักษณ์ที่ดูดีเสมอ  ในทุกยามที่อยู่ในที่สาธารณะ  การที่เหงื่อแตกเสียท่วมอย่างนั้น    “มันดูไม่ได้จริงๆ”

                นี่เป็นความเข้าใจเอาเองแท้ๆ  ลองมาดูว่าผู้อื่น     (เอาว่าเป็นผู้ชายก็แล้วกันว่าเขาเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร)

มีนักสำรวจสรุปผลศึกษาพบว่า  มีจำนวนถึง   65%  ของผู้ชายที่ไม่คิดว่า  เหงื่อทำให้ไม่สวย  หรือทำให้คุณดูไม่ได้  หมายความว่าการที่คุณเหงื่อท่วมขนาดนั้น  ไม่ได้ทำให้คุณลดสวยลงเลย  (ไม่เกี่ยว)  และพบว่ามีผู้ชายถึง 30%  ที่บอกไปแล้วจะแปลกใจว่า  ชอบและรู้สึกเซ็กซี่มากขึ้นตอนที่คุณเหงื่อท่วมแบบนั้นด้วยซ้ำ  มันให้ความรู้สึกดิบๆเถื่อนๆดี  บอกไม่ถูก  น่ามองไปอีกแบบตรงที่ปอยผมเล็กน้อยที่หลุดออกจากสายรัดคุมผมแนบติดต้นคอขาวโชกเหงื่อแบบนั้น  พูดแล้วจั๊กจี้

                ถ้าระหว่าง  65% เฉยๆ  กับ 30% เพิ่มขึ้น  จะพบว่าสิ่งที่คุณควรทำก็คือ  พยายามให้เหงื่อออกมากๆเข้าไว้  ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปเสวนาในชมรมวิ่ง (ที่มีชายเยอะๆ)  เชื่อว่าคุณคงรบกวนสมาธิของพวกเขาเหล่านั้นได้ไม่มากก็น้อย

                              สำหรับนักวิ่งชายที่คิดว่าตัวเองมีเหงื่อออกน้อย  ผู้เขียนอยากจะบอกว่า  ตรงเหงื่อมากเหงื่อน้อยนี้ไม่เกี่ยวกับภาวการณ์ฝึกเลย  ในนักวิ่งแนวหน้าและแนวหลัง  มีทั้งสองประเภทที่คละกันไปหมด  ระหว่างพวกเหงื่อมากและเหงื่อน้อย เคยเห็นแชมป์วิ่งเร็วที่วิ่งตัวแห้งเข้าเส้นชัยไหมครับ  บางคนแค่ชื้นๆร่างกายเท่านั้น ที่ถ้ามีเหงื่อมาก  ก็เป็นเรื่องที่คุณต้องดื่มน้ำเข้าไปชดเชยให้มากกว่า  และในผู้เหงื่อน้อย  ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะไปสรรหาเครื่องแต่งตัวปิดแขนปิดขาปิดฮู้ด  วิ่งอบให้เหงื่อแตก  โดยเข้าใจว่า  ยิ่งเหงื่อออกมากยิ่งดี  ยิ่งเหงื่อออกมาก  ยิ่งเผาผลาญแคลลอรี่มากอย่างนั้น  ไม่เกี่ยวครับ

 7)     ขาดซ้อมไป 2-3 วัน  กลับมาซ้อม  โคตรเหนื่อยเลย

               จากความเป็นจริงทางเวชศาสตร์การกีฬา  ก็คือ  ต่อให้คุณขาดซ้อมไปเป็นสัปดาห์  ก็จะไม่เกิดการตกลงของความฟิต  หรือฝีเท้าตกเลยครับ  การที่คุณรู้สึกเหนื่อย  หรืออืดยามก้าวขา  ก็คือคุณออกวิ่งทั้งๆที่ร่างกายยังปราศจากความพร้อม  ขาดการเตรียมตัวทั้งการวอร์ม  การยืดเส้นอย่างพอเพียง  มันจึงมีอาการเป็นแบบนั้น  ต้องแก้ไขด้วยการวิ่งวอร์มให้ดีเสียก่อน  วิ่งวอร์มก็คือ  การวิ่งอย่างช้าๆห้ามเหนื่อยนาน 15-20 นาที  หรือถ้าจะวัดในเทอมของระยะทางก็ราว 3 ก.ม.  เรื่องการวอร์ม-อัพ  เป็นเรื่องที่นักวิ่งผู้ใฝ่ใจ  ย่อมต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว

                การขาดซ้อมไปหลายวัน  แล้วกลับมาซ้อมอีก  ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนักที่จะมาต่อแผนซ้อม ที่ขาดหายไปแบบหน้าตาเฉย  สมควรจัดให้วันแรกหรือ 3-4 วันแรก  หรือสัปดาห์แรกเป็นการวิ่งอย่างเบาไม่ทั้งเร็ว , ไม่ทั้งมากกิโลเมตร  อยากให้คุณวอร์มเสร็จก็กลับบ้านได้เลยด้วยซ้ำ  ถ้าในกรณีที่ขาดนาน  แต่จะนานแค่ไหน  อยู่ที่หยุดไปนานเท่าไร  ต้องถามโค้ชผู้ดูแล  หรือใช้สามัญสำนึกและสังเกตความรู้สึกด้วย

                คำถามขาดซ้อมแล้วโคตรเหนื่อยนี้  แสดงว่าผู้ถามไม่วอร์มหรือวอร์มไม่พอครับ

 8)     วิ่งได้ไม่ครบระยะที่ตั้งไว้

               ไม่ว่าจะเป็นในวันฝึกนั้น  หรือระยะสะสมทั้งสัปดาห์  จงบอกกับตนเองว่า  “ไม่เป็นไร”  ในสภาพเดือนปีของการวิ่ง  ให้เราสามารถรักษาความเป็น  Pattern  ของระยะทางนี้ไว้ได้ก็พอแล้ว  ไม่ต้องเป็นไปอย่างเป๊ะๆ  ความที่ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง  บ่อยครั้งก็เกิดกับนักวิ่งแนวหน้าทั้งนั้น  ว่าให้ถึงที่สุด  ยังไม่เคยมีแชมป์คนใดในโลกที่ทำได้ตามแผนที่วางไว้สักรายเดียว  ทุกคนต้องแสวงหาโซลูชั่นใหม่ๆที่ลงตัวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปประคับประคองแผนให้ทรง  Pattern  ต่อเนื่องไปได้  อย่างมีความสุขด้วย  ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ

                อีกประการหนึ่งการที่โลกไม่แน่นอนอย่างนี้  บ่อยครั้งกลับเป็นเรื่องที่ดี  ที่เราอาจรอดตายจากการไปสายพลาดขึ้นรถไม่ทัน  เพราะรถนั้นไปคว่ำเสียกลางทาง  การที่เราขาดซ้อมไป  รู้หรือไม่ว่า  เราก็ได้คุณสมบัติที่ดีบางอย่างมา  ไม่ใช่เรื่องที่สูญเสียประการเดียว  คือคุณได้ “ความสด” มาด้วย  ที่มันเป็นปัจจัยพื้นฐานของการฝึกทั้งมวลที่สำคัญมาก  ดังนั้นก็น่าจะโอเคใช่หรือไม่ครับว่า  สัปดาห์หน้า  เราน่าจะมีความสดเป็นเชื้อมูลต้นทุนการฝึกที่หนักแน่นอยู่ในมือ  รองรับภาวะฝึกหนักได้ต่อไป  ที่หากเราได้ฝึกตามแผน  เราอาจสดน้อยกว่านี้ก็ได้  “อะไรที่เกิดขึ้นไปแล้ว  ย่อมดีเสมอ”

 9)     นอนไม่หลับก่อนแข่ง

               เรื่องเล็กครับ  ถ้าคุณไม่ใช่นักวิ่งประเภทชิงแชมป์  หรือมีเป้าหมายสอย  P.R. ใหม่ๆ  ก็ปล่อยไปเถอะครับ  เพราะความวิตกกังวลเรื่องนี้เองมีผลไปเพิ่มความวิตกเองทบยอดตามเวลาที่ผ่านไป  ยิ่งดึก  ยังไม่หลับเสียที  นั่นหมายความว่า  เวลาที่พักผ่อนย่อมน้อยลงไปเป็นอัตราผกผัน  ยิ่งโมโห และหงุดหงิดเข้าไปอีกว่านอนน้อยเท่าไรทำให้มีแรงวิ่งน้อยลงเท่านั้น  เลยไปกันใหญ่ 

 ติ้ดต่างว่า  พูดกับตัวเองว่า “ช่างมัน”  ไม่หลับก็ได้  พอทำใจ ช่างมันปุ๊บ  คุณก็ปลอดพ้นปั๊บ  จากความคาดหมายชะตากรรมที่เช้าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ได้  เลยหลับไปอย่างสบายใจ   

 เห็นไหม  มันเป็นเหมือนนิทานอีสปที่ลิงล้วงมือไปหยิบขนมในขวดโหลแล้วเอามือออกไม่ได้เพราะมันกำมือถือของไว้  ต้องปล่อยมือ  ไม่เอาขนมออกมา  จึงเอามือออกได้  จากตัวอย่างเรื่องนี้ผู้เขียนถึงเพียรบอกพวกเราไงว่า  เรื่องวิ่งเนี่ยะมีมุมให้เรียนรู้ได้มากไม่รู้จบเลยทีเดียวถ้าคุณเป็นคนช่างจดจำ  ช่างสังเกต และรักการศึกษาอยู่ตลอดเวลา  การวิ่งจึงไม่ใช่กีฬาที่น่าเบื่อหน่ายสักนิด  ไม่ว่าเราจะมองในมุมไหน

               ปัญหานอนไม่ค่อยหลับนี้บางครั้งก็ไม่ใช่เพราะความเครียดจากการคาดหมายผลของการแข่งขันเสมอไปดังที่ได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆหรอกครับ  ที่บางครั้งเป็นเรื่องของการนอนผิดที่เท่านั้นเอง  ลำพังการไปนอนในที่ไม่เคยนอน  สิ่งแวดล้อมไม่เหมือนในห้องนอนเรา  ต่อให้ไม่มีการแข่งขัน  ที่เราคิดว่าเป็นปัจจัยให้คาดหวัง  เราก็อาจนอนตาค้างได้เหมือนกัน  ดังที่เราก็พบกันอยู่บ่อยๆ  โดยเฉพาะรายที่สูงวัย  และสดจากการซ้อมที่ตัดระยะทางซ้อมลงอย่างต่อเนื่องก่อนแข่งมา  ธรรมดาครับเรื่องนี้  ถ้าจะแนะนำกันในมิติของสนามแข่งขันที่นอนไม่หลับก็ให้ถือปฏิบัติเป็นแนวทางว่า  ก่อนหน้านั้น  3-4  คืน  ควรหลับให้ดีมาก่อน  เผื่อคืนสุกดิบก่อนแข่งน้อยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร  เพียงแต่อย่าออกมาเดินท่อมๆกลางดึก  ถ้าฝืนหลับไม่ลงจริงๆ  ก็ควรเอนกายมีบุคลิกนอนอยู่เหมือนคนอื่นเขา  ปิดตาลง  น่าจะดีกว่าลืมตาโพลงและลุกขึ้นนั่งอยู่ดีครับ

ขอให้วิ่งไปด้วยความราบรื่นครับ

  

13:20  น.

18  กุมพาพันธ์  2549

R.W. March  2000    P.75