% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_runner_dead_air.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %>
ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 15ส.ค.49<%
L=Len(NewHits)
i = 1
For i = i to L
num = Mid(NewHits,i,1)
Display = Display & ""
Next
Response.Write Display
%>
เรื่องนักวิ่งตายกลางอากาศ
โดย กฤตย์ ทองคง
แม้จะไม่บ่อยนัก แต่การที่นักวิ่งเสียชีวิตขณะออกกำลังกาย เกือบทุกครั้งมักจะก่อให้เกิดกระแสคำถามจากคนภายนอกกลุ่มวิ่งเข้ามายังวงการของเราทำนองว่า ไหนว่าวิ่งแล้วดี เห็นไหม วิ่งแล้วตาย
ผู้เขียนเห็นอคติจากคำถามเยี่ยงนี้เด่นชัด เช่นเดียวกับเห็นความมีอคติจาก การพาดหัวข่าวคดีอาชญากรรมที่ผู้ก่อคดีเป็นบุคคลรักร่วมเพศ มักถูกโปรยหัวทำนองว่า
เกย์เฒ่าโหด
ซีเจ็ดเหี้ยมหมกคู่ขาไม้ป่าเดียวกัน
โดยเอารสนิยมทางเพศมาผูกประโยครวมกับพฤติกรรม ราวกับว่าเบื้องหลังอาชญากรรม คือรสนิยมทางเพศชนิดนี้ ผู้เขียนไม่เคยพบเห็นคดีอาชญากรรมใดถูกสันนิษฐานว่ามีสาเหตุมาจากรสนิยมทางเพศแบบชาย-หญิงปกติเลย ซึ่งแน่ละไม่มีวิญญูชนใดที่จะเข้าใจบ้าๆเช่นนั้น เราต่างเห็นว่า ต้นเหตุน่าจะมาจากความหึงหวงมากกว่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่ลักษณะจำเพาะของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องของมนุษย์รวมๆ
ทำนองเดียวกับความตายของคนเรา มัจจุราชมารับตัวไปเสมอๆและไม่เลือกเวลาและสถานที่ มนุษย์เราตายกันมาแล้วทั้งนั้น บนถนน , บนรถ , บนเตียง , บนตึก , บนชิงช้า , บนเครื่องบิน แม้กระทั่งตายในส้วม แล้วในความปกติ ไม่มีใครอยากตายในที่ใดเลย แต่ของมันเลือกไม่ได้ต่างหาก
แล้วเมื่อมนุษยชาติมีกิจกรรมวิ่งในชีวิต ไฉนเลยจะไม่ตายในขณะวิ่งบ้าง ในเมื่อตายกันที่อื่นๆครบ แต่ไม่เคยตายในขณะวิ่งบ้างเลยสักรายซิ จะเป็นเรื่องแปลก แต่ไม่ว่าใครพอตายกลางอากาศขณะวิ่งบ้าง วงการวิ่งจะถูกตั้งคำถามทันที ???!!!
คงไม่สามารถไปหาใครมาตอบรับหรือปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นเพราะอะไร ต้องเอาเวชระเบียนการรักพยาบาลเก่าของเขาออกมาดู ต้องเอาระเบียนสะสมพฤติกรรมวิถีชีวิตกินอยู่ของเขามาวางแผ่ และค่อยๆพิจารณาไป แล้วอาจจะเห็น ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าเบื้องหลังมีความผิดปกติอะไรและอย่างไร เขาผู้นั้นได้ทำตัวเหมาะสมกับวิถีทางสุขภาพหรือไม่ ไม่ใช่วิ่งแล้วจะการันตีว่าตายไม่ได้ เรื่องนี้เป็นกรณีจำเพาะแต่ละคนมากกว่าที่จะเหมาว่าเป็นพฤติกรรมวิ่งเป็นสาเหตุ
ลองมาดูความเห็นของนายแพทย์ Paul D. Thompson M.D. ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคหัวใจ และที่ปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมสุขภาพหัวใจนักกีฬาจากโรงพยาบาลฮาร์ตฝอร์ด คอนเนคติกัต สหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนักวิ่งตายกลางอากาศนี้ว่า
ทุกครั้งที่เกิดการเสียชีวิตคาสนามมาราธอน ข่าวดูออกจะไปแรงเกินความเป็นจริง ทั้งที่มันเป็นสถิติที่เกิดขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการตายในสถานที่อื่นๆอย่างเทียบกันไม่ได้ ว่ากันว่าราว 1 ต่อ 50,000 ราย (อเมริกา) ถ้าเป็นในรายที่อายุต่ำกว่า 30 ปีลงไป ให้สันนิษฐานไว้ว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากความอ่อนด้อยทางพันธุกรรมที่ติดมาจากพ่อแม่ เป็นประเด็นที่น่าจะสืบค้นก่อนด้วยการควานหาประวัติครอบครัว ซึ่งจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะพบบุพการีมักเสียชีวิตขณะทำงานหนัก หรือขณะออกกำลังกายเหมือนๆกัน และถูกวินิจฉัยการตายว่ามาจากสาเหตุเส้นเลือดใหญ่เข้าหัวใจอุดตัน
แม้เรายังสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยป้องกันภาวะคลอเรสทอรัลสะสมตัวในผนังหลอดเลือดในชั้นต้นได้อย่างแน่นอน นักวิ่งจึงจัดเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงน้อยในโรคหัวใจมากกว่าบุคคลอื่นๆ ยิ่งจะชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับประชากรที่มีกิจกรรมอาชีพนั่งสำนักงาน (Sedentarians)
อย่างไรก็ดี นักวิ่งมาราธอนมักจะเป็นผู้มีสุขภาพเป็นเลิศ แต่มิได้หมายความว่าจะขจัดปัญหาความเจ็บป่วยที่เกี่ยวเนื่องกับหัวใจได้หมดสิ้นโดยอัตโนมัติ
การระมัดระวังดูแลตัวเองของนักวิ่ง ในด้านรักษาระดับของคลอเรสทอรัลมิให้สูงจนเกินไป ด้วยการหมั่นสังเกตเช็คความดันโลหิตในยามสูงวัย และสมควรไตร่ตรองเมนูอาหารที่เข้าร่างกายไป ว่ากินอะไรเข้าไปบ้างขนาดไหน ยังจำเป็นอยู่เสมอ
โดยจำเพาะอย่างยิ่ง พึงสำเหนียกว่า คนอย่างพวกเรา พวกนักวิ่งมักจะเป็นพวกที่ละเลยสัญญาณเตือน ด้วยความประมาท คิดว่าหัวใจของข้าเจ๋ง จึงมองข้ามสัญญาณเล็กๆน้อยๆที่จำเป็น เช่นช่วงกระแสลมหายใจเข้าออกที่สั้นเกินไป หรือการเจ็บหน้าอกระหว่างฝึก กระทั่งวิงเวียนหน้ามืดมักไปโทษตัวแผนฝึก ทั้งๆที่เบื้องหลังอาการเหล่านั้น อาจนำยมบาลมาหาเราวันหนึ่งก็ได้
ดังที่กล่าวมาแล้ว การวิ่งเป็นเพียงเรื่องของการลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจและอื่นๆอีกหลายโรคลงไป แต่มิได้หมายความว่าจะได้รับการปกป้องอย่างสิ้นเชิง ต้องเข้าใจอย่างใช้สมองไตร่ตรอง อย่างคนมีสติเต็มบริบูรณ์ ไม่ใช่หัวคิดของคนเจ้าเล่ห์ศรีธนญชัย พลิกดันให้กลายเป็นประเด็นพิษภัยของการวิ่งจนกระทั่งนำไปสู่สรุปว่า วิ่งแล้วเป็นโทษ จึงอย่าวิ่งดีกว่า
บางครั้งคนภายนอกมักจะหาเรื่องแยงว่าไม่ควรวิ่งอย่างโน้น ไม่ควรวิ่งอย่างนี้ ผู้เขียนเห็นว่าสมควรปล่อยเขาไป ไม่วิ่งก็อย่าวิ่ง รู้สึกป่วยการที่จะมาอธิบายให้เห็นคุณค่าของการวิ่ง วิ่งแล้วถ้ามันเป็นคุณ หรือถ้าวิ่งแล้วมันเป็นโทษ ก็เป็นเรื่องของผู้นั้นที่จะรับไปเอง
พอมีกรณีเพื่อนพวกเราตายกลางอากาศขึ้นมาทีไร ก็ไม่เห็นมีพวกเราชาวนักวิ่งเลิกวิ่งกันแม้แต่รายเดียว ก็ยังเห็นวิ่งต่อไป ดังนั้นขออย่าให้พวกเราไปสนใจกับคำถามพวกนี้ดีกว่า
คำถามที่ส่อนัยว่าการวิ่งเป็นโทษนั้น จงสังเกตดูเถอะมักจะมาจากพวกรู้มาก มิใช่มาจากคนไม่รู้ ที่พวกหลังนี้ ไม่รู้แต่มักจะเงียบ และตั้งใจฟังอย่างพยายามจะทำความเข้าใจ แต่คนรู้มากมักจะอ้างเหตุผลมาอย่างจับแพะชนแกะ เพียงมุมเดียวของปรากฏการณ์แล้วมาขยายให้เข้ากับความเชื่อตัวเองอย่างเชี่ยวชาญ คนชนิดนี้มีอยู่เต็มเมือง เป็นผลิตผลของการศึกษาที่ผิดพลาด วิธีที่ดีที่สุดที่จะพูดกับคนพวกนี้ก็คือไม่ต้องพูดอะไร ก้มลงกระชับเชือกผูกรองเท้าให้แน่น แล้วออกวิ่งไปให้ไกล.
22:24 น.
18 ธันวาคม 2548