ถ้าจะนับชีวิตการเริ่มต้นเป็นนักข่าวจริง ๆ จัง ๆ ก้อเอาเป็นเมื่อปี
2531ละกัน เมื่อเข้ามาสังกัดช่อง 9 อสมท.แล้วนั่นแหละ อาชีพนี้ว่ากันตรง ๆเห็นเด็ก ๆ
สมัยนี้ใฝ่ฝันกัน หลายคนที่เจอะเจอ เห็นเราออกทีวีบ่อย
ๆคิดว่าเงินเดือนคงสูงลิบลิ่ว แต่ถ้ามีโอกาสมักจะบอกใครต่อใครว่าไปทำอย่างอื่นเหอะ
นักข่าวน่ะเหนื่อยก็เหนื่อย เงินเดือนก้องั้น ๆ แหละแค่พอเลี้ยงตัวได้
แต่ที่จริงก็รักอาชีพนี้มากนะเพราะมันทำให้เราเป็นคนโลกกว้างได้รู้จักมักจี่กับผู้คนมากมาย
โดยเฉพาะคนใหญ่ๆ โตๆ ได้ฝึกนิสัยให้ตัดสินใจเฉพาะหน้าได้ได้พบเห็นประสบการณ์แปลก ๆ ที่น้อยคนจะมีได้ เอาแค่พอเป็นน้ำจิ้มละกัน ตัวอย่าง
เนื่องจากเป็นนักข่าวสายการเมือง ประจำทำเนียบรัฐบาลติดตามทำข่าวภารกิจนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก ที่ฮอตและยังจดจำได้ดีก็คงเป็นเหตุการณ์เมื่อปฏิวัติ รสช.กุมภาพันธ์ 2534
วันนั้นตามน้าชาติ (พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ) จะไปเข้าเฝ้าที่เชียงราย เครื่องซี 130 กำลังจะขึ้นจาก บน.6 พวกนักข่าวนั่งกันอยู่ท้ายเครื่องที่จำได้ก็มีช่อง 7 อีกช่องและนักข่าวหนังสือพิมพ์ รวมประมาณซัก 10 คน จู่ ๆก็มีชายรูปร่างผอมบางไม่สูงมากใส่ชุดซาฟารีสีเข้มกระโดดขึ้นมาพร้อมปืนพกในมือ กราดมาที่พวกเราบอกให้ยกมือขึ้น อย่าขัดขืน (แต่ไม่ได้บอกว่า..ไม่งั้น..ต๊ายยย) เราก็ยกมือขึ้นตามสั่งด้วยอาการเง็ง ๆแต่ช่างภาพช่อง 9 ไม่ยอมยกมือ ตอนหลังมาบอกว่า ขืนยกไม่ตายอย่างเดียวจะตกนรกด้วย เพราะต้องปล่อยมือจากกล้องราคาเกือบ 2 ล้าน แล้วถ้ามันหล่นปุ๊ ลงไป จะทำยังไงล่ะ..เพ่ 555
ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านนายกฯเป็นยังไงบ้าง เพราะท่านนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนพวกเราก็ถูกต้อนไปกักตัวไว้และปล่อยตัวมาตอนเย็น..เอ่อเฮอะ สนุกดี
อีกตัวอย่าง ก็คงเป็นเหตุการณ์นองเลือด พฤษภาทมิฬเพราะไปติดอยู่ในตึกสำนักพิมพ์สยามรัฐ ตรงถนนราชดำเนินเลยได้นอนฟังเสียงปืนทั้งคืน ก่อนที่ตอนเช้าจะมุดช่องแอร์ออกมาได้เล่นเอาอกสั่นขวัญแขวน ไม่นึกเลยว่า คนไทยด้วยกัน จะฆ่าจะแกงกันได้ขนาดนั้น
ตลอดเวลาเกือบ 20 ปีที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับการทำข่าวกลับบ้านไม่เป็นเวล่ำเวลา นอนดึก ตื่นเช้า หรือบางครั้งไม่ได้นอน อยู่เวรทำข่าว อ่านข่าว รายงานสด ไปต่างจังหวัด สลับกันอยู่อย่างนี้ตลอดใช้ร่างกายอย่างเมามัน โดยไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งมันจะส่งผลให้ชีวิตต้องวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายปี แม้จนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งเข้าใจเอาเองว่าก็เพราะสาเหตุจากการใช้ชีวิตสมบุกสมบัน และทำร้ายตัวเองมาเป็นเวลานาน
ต้นปี 2546 มีอาการปวดหัวมาก โดยเฉพาะบริเวณหว่างคิ้ว ร้าวขึ้นไปบนสมอง คลำหาสาเหตุ จนกระทั่งรู้ว่ามาจากกระดูกสันหลังบิดทับเส้นประสาทเนื่องจากการใช้ขีวิตประจำวันของเรา รักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดอยู่หลายเดือน หมดเงินไปเยอะ พอดีขึ้น เจ้าโรคไทรอยด์ก็ตามมาเล่นงานทันที
เริ่มจากอาการเหนื่อยง่าย หอบ ไปจัดรายการวิทยุที่คลื่น 90.5 อ่านข่าวแป๊บเดียวก็เหนื่อยเหมือนวิ่งมา 50 กิโล ใจสั่น ขี้ร้อนกินจุแต่ไม่อ้วน กว่าจะรู้ว่าเป็นไทรอยด์เป็นพิษ ผลเลือดก็พุ่งปรี๊ดดดดด ไปจนเครื่องตรวจวัดไม่ได้ แย่มั่กๆๆๆๆ
ถามหมอก็บอกว่า เป็นโรคที่ไม่มีสาเหตุ แต่เชื่อว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ โดยมีความเครียดเป็นตัวกระตุ้น
หันไปหันมา ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไง จึงเริ่มคิดที่จะออกกำลังกายด้วยความที่เคยเป็นนักบาสเกตบอลมาก่อน ตั้งแต่สมัยเรียนประถมจนจบมหาวิทยาลัยเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องอันดับแรก ๆ ที่นึกขึ้นได้เมื่อต้องการจะดูแลสุขภาพตัวเอง เข้าเน็ตหาข้อมูลทันที เจอเวบไทยรันนิ่งนี่แหละที่จุดประกาย
และทำให้ตัวเองได้วิ่งมาจนทุกวันนี้ได้เจอคุณยิ้ม ได้เจอเจ๊ไก่ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อน ๆ บนบอร์ดจนนำไปสู่ความผูกพันระหว่างกัน จากนั้นก็เริ่มซ้อมวิ่ง แรก ๆ สะเปะสะปะมาก จำได้ว่า เคยปล่อยไก่ให้เจ๊ไก่ขำกลิ้ง เพราะไปถามว่าจะลงมาราธอนได้ยังไง สะเหร่อมั่ก อิ อิ
งานแรกที่วิ่งคือที่สวนหลวง ร.9 ประมาณต้นปี 2547 ยังจำรสชาติความสะบักสะบอมได้ดี แทบตาย แต่ก็ทำได้สำเร็จ จากนั้นก็ค่อย ๆ สะสมประสบการณ์จากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่วิ่งกันอยู่ก่อนแล้ว สำหรับ 10 kถือว่าเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก แม้มันจะเป็นแค่มินิมาราธอนก็ตาม
ด้วยความที่ช่วงนั้น ยังจัดรายการวิทยุตอนเช้าที่ 90.5 ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 แล้วมาต่อที่ 100.5 ทำให้ช่วงเย็นต้องรีบนอน
การซ้อม การวิ่งก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางนะ แต่ก็ถือว่าเป็นนักวิ่งได้เต็มตัวแหละ เพราะก็ออกงานอยู่เรื่อย ๆ แม้จะไม่สม่ำเสมอก็ตาม 2 ปีแรกตลุยแต่มินิอย่างเดียว ด้วยความคิดที่ว่าชั้นคงไม่มีปัญญาขึ้นไปได้ถึงฮาล์ฟหรอก แต่จริง ๆแล้วเป็นความคิดที่ผิดถนัดทีเดียว
ประมาณต้นปี 2548 เป็นช่วงที่อ่อนแอสุด ๆ สารพัดโรครุมเร้าเคยโดนคนถามจนเบื่อว่า ทำไมออกกำลังกายเยอะ ถึงยังป่วยได้ป่วยดี แม๋..ขี้เกียจอธิบายอ่ะ คือ แต่ละโรคที่เป็น อย่างไทรอยด์เนี่ยะ มันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แค่ควบคุมให้มันไม่กำเริบก็สุดยอดแล้วและการเป็นโรคนี้ มันก็เป็นเรื่องของระบบในร่างกาย ส่วนโรคอื่นโดยเฉพาะโรคหวัดนั้น ดิชั้นแทบไม่เคยได้สัมผัสเลยเจ้าค่ะ .ขอบอก
วกกลับมาเรื่องป่วย ปีนั้นจำได้ว่า อาทิตย์หนึ่ง ๆเดินเข้าโรงพยาบาลไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้ง ทั้งไทรอยด์ ทั้งโรคในช่องท้อง แถมว่าง ๆ ก็ไปให้แท๊กซี่เสยก้นเข้าไปอีก ไม่รู้กรรมเวรอะไรนักหนาก็เป็นช่วงที่ห่าง ๆ การวิ่งไปรักษาตัว แต่ยังติดตามข่าวคราวตลอด
เข้าปี 2549 เริ่มต้นวิ่งอีกครั้งและคราวนี้เป็นจริงเป็นจังมาก เริ่มงานแรก 5 k ที่งานวิ่งของ ทอ. เป็นงานที่ได้สำนึกเป็นอย่างดีว่าถ้าไม่ซ้อมหรือซ้อมไม่ถึง มันจะทรมานมากแค่ไหน จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมและออกวิ่งทุกอาทิตย์ กระทั่งได้แรงยุจากเพื่อน ๆ บอกให้ขึ้นฮาล์ฟได้แล้ว
บอกตามตรงว่าตอนนั้นหวั่นใจเป็นอย่างมากวางแผนสำหรับ ฮาล์ฟแรกที่อยุธยา ประมาณเดือนมิถุนายน ซ้อมไม่ค่อยถึงกลัวจะวิ่งไม่ได้ครบระยะ กลัวเจ็บ กลัวโดนเพื่อนล้อ โอ๊ย สารพัด
พอวิ่งเข้าจริง ๆ 10 k แรกแทบเดินมากกว่าวิ่ง แต่หลังจากนั้นเอ๊ะ..แรงยังไม่หมดแฮะ ก็อัดเลย เข้าเส้นมาได้ด้วยเวลา 2.24 ชม.เริ่ดดดดดมาก..ในความรู้สึกขณะนั้น
หลังจากนั้นถ้าสนามไหนมีฮาล์ฟ เป็นต้องเห็นคุณนายแดงลงดวลฝีเท้า..อิ อิ เรียกว่าพิสมัย 21.1 k เต็มหัวใจ แต่ที่ติดใจที่สุดคงเป็นฮาล์ฟที่แม่กลองเมื่อมกราคม 2550 เนื่องจากอากาศหนาวพอดี เลยทำเวลาได้ดีมาก แค่ 1.55 ชม.ยิ่งกว่าเริ่ดดดด..เซียะอีก เนอะ และนี่ก็คือคำตอบว่าที่กลัวไม่มีปัญญาขึ้นฮาล์ฟนั้น เป็นความคิดที่ผิดถนัด ..ถ้าเราซ้อมถึงซ้อมพอ ขยันซ้อมให้มากที่สุด ระยะไหนก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
พอดีช่วงนั้น เริ่มมีโค้ช อ้าว จริงๆ นะ มีโค้ชฝึกวิ่งไม่รู้จับพลัดจับผลูยังไง รู้แต่ว่าพี่จิม ธกส.พาไปรู้จักกับพี่สีหนาทซึ่งซ้อมให้ประทีป ธกส.ซึ่งเป็นแนวหน้าอยู่ที่สวนจตุจักร ก็เลยได้ฝึกลงคอร์ทช่วงนั้นซ่าส์..ขึ้นแยะ เพราะเริ่มได้ถ้วยกับเค้าบ้างแล้วเลยบ้าวิ่งมากไปหน่อย ซ้อมแทบทุกวัน เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำอีกเหมือนกันเพราะการลงคอร์ทนั้น ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ในขณะที่สภาพร่างกายไม่พร้อม ปกติทำงานหนักอยู่แล้ว ไหนจะสุขภาพไม่เหมือนชาวบ้านเค้า ซ้อมไปซ้อมมาเลยเดี้ยง โดนไวรัสเล่นงานเสียงอมพระราม นอนป่วยอยู่ 10 วันเต็ม ๆ
กลับมาไม่เหมือนเดิมฮับ ไอ้เรี่ยวแรงที่เคยตุนไว้ หายเกลี้ยงทำให้ฉุกคิดได้ว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เดินสายกลางทำอะไรแต่พอดีนั้นเป็นอย่างไร จากนี้เลยคิดว่า ก็คงวิ่งต่อไป มีมินิลงมินิ มีฮาล์ฟลงฮาล์ฟ ตั้งใจว่าไม่ขออาจหาญไต่ระดับขึ้นมาราธอนเพราะดูแล้วก็ไม่จำเป็นกับชีวิตซักเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้ซัก 2-3 ปีเคยนั่งคิดว่า เอ..อีกหน่อยถ้าเกษียณแล้ว จะทำอะไรดีน๊าไม่อยากนั่งเหี่ยวเฉาตายไปอย่างไม่มีประโยชน์ แต่พอมาวิ่งได้วิ่งและติดวิ่งแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนความคิด ชั้นอยากเกษียณไว ๆจะได้วิ่งให้หายบ้าไปเลย เช้าวิ่ง เย็นวิ่ง ว่างก็ไปปฏิบัติธรรม
พอถึงเช้าวันอาทิตย์ก็ออกไปเจอกับเพื่อน ๆ ชีวิตไม่วิเวกวังเวงวิเหวโหว๋แย๊ว เย๊ ตั้งใจว่า ถ้าอายุ 60-70ไม่ตายเสียก่อน ขอให้ร่างกายสมบูรณ์สามารถวิ่งได้เหมือนลุงๆ ป้าๆ หลายคนในวงการขณะนี้ก็พอใจแล้ว
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ช่วงนี้ก็ยังมีหน้าที่ที่ละเลยไม่ได้ต้องทำงานเก็บเงินไว้แยะ ๆ ทำงานไป วิ่งไป ให้มันสมดุลกันชีวิตก็มีความสุขแล้ว ตอนนี้ยังเรียกตัวเองว่าเป็นนักข่าวอยู่ แม้จะเลิกวิ่งทำข่าว แต่เข้ามานั่งโต๊ะทำข่าวแล้วก็ตาม ก็เลยถือว่าน่าจะได้กำไรกว่าคนอื่น 2 เด้ง เพราะเป็นนักข่าวด้วยเป็นนักวิ่งด้วย เหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว ยังไม่เห็นใครซักคนที่จะทำได้เหมือนเรา จริง ๆ นะทั้งที่ก็อยากให้นักข่าวคนอื่นให้วิ่งตามข่าวด้วยและมาวิ่งตามถนนด้วยเหมือนกัน แต่พอบอกใครมักได้คำตอบว่าไม่มีเวลา ก็เลยจนปัญญา
เอาล่ะ จบตามที่เจ๊ไก่สั่งมาแล้ว ขอออกตัวนะคะว่าถ้าสำนวนการเขียนจะเหมือนกับการเขียนข่าวบ้างก็ขออภัยเพราะอยู่กับข่าวมาตลอดชีวิต ยังไงก็อย่าลืมค่ะ เปิดประตูข่าว FM.100.5 จันทร์ถึงศุกร์ 8.00-9.00 และ ปมเด่น ประเด็นร้อน โมเดิร์นไนน์ทีวีทุก พฤหัสและศุกร์ ประมาณ 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืน พบกับคุณนายแดงและคุณสุวิช สุทธิประภา 2 บิ๊กสุ (เค้าโปรโมทว่างั้น) ค่ะ
อ้อ..ลืมบอกไป ตอนนี้โรคไทรอยด์สงบแล้วและหวังว่าคงไม่กำเริบขึ้นมาอีก ที่ยังมีปัญหาก็เป็นเรื่องไทรอยด์ขึ้นตา ทำให้ตาเหมือนปลาทองนั่นแหละหมอจะผ่าตัดให้ก็ยังลังเล ก้อมันเสียวง๊ะ เพราะงั้นก็ขอให้ทนดูตาปลาทองกันไปก่อนนะ นี่ดีขึ้นมากแล้วนะ อิ อิ
สุวดี นีลพัธน์
สำนักข่าวไทย
รายงาน...พุธที่ 18 เม.ย. 2550
สุวิช สุทธิประภา-สุวดี นีลพัธน์ |
|
|
ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 18เม.ย.50