Program Training Triathlon (ไตรกีฬา)
สำหรับผู้สนใจ
Triathlon ( ไตรกีฬา) ครับ
INTRODUCTION
อะไรคือ Multi-Sport ?
เป็นการเล่นกีฬาที่รวมเอา
การว่ายน้ำ, ขี่จักรยาน,
วิ่งและพายเรือเข้าด้วยการ
ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ
ไตรกีฬา ( Triathlon ) คือ ว่ายน้ำ,
ขี่จักรยานและวิ่ง
นอกจากนี้ในกีฬาโอลิมปิกยังมี
Duathlon ที่เป็นการแข่งขัน วิ่ง,
ขี่จักรยาน และวิ่ง
การแข่งขันจะมีตั้งแต่
ว่ายน้ำ 400 เมตร, ขี่จักรยาน 10
กิโลเมตร และวิ่ง 2.5 กิโลเมตร (
ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที )
ไปจนถึงการแข่งขันระดับมนุษย์เหล็ก
( Iron Man ) ที่จะแข่งว่ายน้ำ 3.8 กิโ,เมตร,
ขี่จักรยาน 180 กิโลเมร และวิ่ง
42 กิโลเมตร
เหตุผลที่ดีของการเล่นกีฬา
Multi-Sport
มีเหตุผลหลากหลายแล้วแต่ผู้ที่เข้ามาเล่น
ยกตัวอย่างเช่น
(1)
การออกกำลังกายทำให้หัวใจแข็งแรง
ระดับความดันเลือดลดลง
(2) น้ำหนัก
ทำให้มีรูปร่างดีและรู้สึกดีกับร่างกายของตัวเอง
(3) ได้พบปะผู้คน มีเพื่อนฝูง
(4) มีความรู้สึกได้แข่งขัน
อยากได้ชัยชนะ
(5) ท้าทาย
(6) มีเครื่องมืออุปกรณ์ไฮเทค
ทำให้อยากลองเล่น
(7) ร่างกายที่แข็งแรง
ทำให้มีจิตใจที่แข็งแกร่งด้วย
(8) ลดความเครียด
ทำไมต้องใช้เครื่องจับอัตราการเต้นของหัวใจ
?
(1)
เป็นการสังเกตการณ์แบบง่ายๆ
ว่ายิ่งเราออกกำลังกายมากแค่ไหน
จังหวะการเต้นของหัวใจของเราก็เร็วขึ้นได้ใช้มากขึ้น
เครื่องวัดอัตราการเต้นแม่นยำมาก
ทำให้เราวัดระดับความเข้มของการออกกำลังกายได้ดี
(2)
สามารถวางโปรแกรมการฝึกให้ตัวเองได้
(3)
วัดความก้าวหน้าในการฝึกของตัวเองได้
(4)
ถ้าเราเห็นความก้าวหน้าในการฝึก
ทำให้กระตุ้นตัวเองได้
(5)
ช่วยเพิ่มประโยชน์เมื่อเราออกกำลังกายในช่วงเวลาที่มีจำกัดให้ได้ผลสูงสุด
เมื่อเรามีเวลาน้อย
(6)
ดูว่าเราฝึกไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้วหรือยัง
?
การฝึกของเราพัฒนาไปได้มากแค่ไหน
CALCULATING HEART RATE
มีสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ 3
ข้อด้วยกัน
1. Resting Heart Rate
2. Maximum Heart Rate
3. Karvonen Equation
Resting Heart Rate
Resting Heart Rate
ที่คงที่สม่ำเสมอจะต้องอาศัยการฝึกฝน
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะวัดอัตราการเต้นของหัวใจชนิดนี้คือตอนเช้า
เมื่อคุณตื่นนอนขึ้นมาให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือซ้ายจับที่ข้อมือขวาด้านใน
ต่ำกว่าฐานนิ้วโป้งประมาณ 2
เซนติเมตร
มองนาฬิกาหรือเครื่องมือวัดที่ข้อมือซ้ายและนับจังหวะการเต้นนั้น
60 วินาที
ให้วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยวิธีนี้ทุกเช้าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์และเลือกตัวเลขที่ต่ำที่สุด
Resting Heart Rate
จะลดน้อยลงเมื่อความฟิตของร่างกายคุณเพิ่มมากขึ้น
จับเวลาด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์
ถ้าเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจสามารถบันทึกความจำได้
คุณจะได้ Resting Heart Rate ที่แม่นยำ
โดยคุณตั้งเครื่องวัดเอาไว้ทุกๆ
60 วินาที
คุณจะบันทึกได้ประมาณ 33
ชั่วโมง !
ให้ใส่เครื่องมือนี้เอาไว้ตลอดทั้งคืน
และตรวจดูอัตราการเต้นของหัวใจที่น้อยที่สุดในตอนเช้า
ส่วนมากอัตราการเต้นที่ต่ำที่สุดจะเป็นประมาณ
1-2 ชั่วโมงก่อนที่เราจะตื่น
Maximum
Heart Rate
การคำนวณแบบง่าย
ชาย 220 - อายุ = Maximum Heart Rate ( โดยประมาณ
)
หญิง 226 - อายุ = Maximum Heart Rate (
โดยประมาณ )
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มเล่นกีฬา,
หรือกลับมาเล่นอีกครั้งหลังจากหยุดไปนานๆ,
หรือมีประวัติเกี่ยวกับโรคหัวใจ
สูตรแบบง่ายนี้อาจจะเพียงพอสำหรับการเริ่มต้น
เพราะเป็นการประมาณ
โดยเฉพาะสำหรับคนที่ร่างกายฟิตมาตลอดระยะเวลานานหรือคนที่อายุมาก
การคำนวณแบบยาก
Maximum Heart Rate
อาจจะแตกต่างกันสำหรับการฝึกฝนร่างกายในแต่ละแบบดังนี้คือ
การวิ่ง > ขี่จักรยาน >
ว่ายน้ำ
การวิ่งจะมี Maximum
Heart Rate มากที่สุด
เพราะมีเปอร์เซ็นต์การใช้กล้ามเนื้อมากกว่าระหว่างวิ่ง
Maximum Heart Rate
จะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เกี่ยวเนื่องกับความฟิต
โดยเฉพาะแล้ว Maximum Heart Rate
จะลดลงหนึ่งครั้งต่อปี
วิธีที่แม่นยำที่สุด
คือ "Maximal Stress Test" ซึ่งวัดได้จากอุปกรณ์การวิ่งหรือจักรยานอยู่กับที่
โดยมีผู้เชี่ยวชาญวัดให้
ถ้าคุณไม่สามารถวัดด้วยวิธีนี้ได้
ผู้เขียนมีวิธีที่ใช้ได้ผลจะแนะนำดังนี้
(1) การวิ่ง
เลือกเพื่อนร่วมวิ่งที่มีความสามารถใกล้เคียงกับคุณมาทำการทดสอบด้วย
ช่วยกันกระตุ้นกันและกัน
เพราะว่าจะต้องทุ่มแรงกายให้เต็มร้อย
ให้ทำการทดสอบหลังจากวันฝึกเบาๆ
หรือวันที่เราหยุด
อบอุ่นร่างกายประมาณ 10-15 นาที
ใกล้ๆกับทางยาวที่ลาดชัน
ให้วิ่งแข่งกันขึ้นทางลาดนั้น
ดูว่าใครวิ่งได้เร็วกว่ากันในช่วงห้านาที
ในช่วง 30 วินาทีสุดท้าย
ให้ปล่อยแรงทั้งหมดที่คุณมี
เหลือบดูมอนิเตอร์ 2 หรือ 3
ครั้ง ในระยะสุดท้าย
และเลือกตัวเลขที่สูงที่สุดนั้นเป็น
Maximum Heart Rate
(2) ขี่จักรยาน
หลักการเดียวกับการวิ่ง
หลังจากอบอุ่นร่างกายแล้ว
ให้ขี่ขึ้นทางลาดประมาณ 5
นาที แข่งกับเพื่อนของคุณ
ให้ติดเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจเอาไว้ที่แฮนด์จักรยาน
จะได้เหลือบมองตัวเลขได้ง่ายขึ้น
(3) ว่ายน้ำ
เครื่องมือ Polar
ที่แสดงให้ดูท้ายเล่ม
ทำงานได้ดีในน้ำ
หลังจากอบอุ่นร่างกาย 15-20 นาที
ให้ว่ายช่วง 200
เมตรให้ดีที่สุด
เหลือบมองอัตราการเต้นของหัวใจวินาทีที่คุณว่ายเสร็จ
ถ้าผลออกมาดูต่ำ ให้พัก 30
วินาที แล้วว่ายอีก 200 เมตร
บางคนอาจจะต้องว่ายถึงสองครั้ง
หรือมากกว่า
เพื่อจะได้ค่าที่มากที่สุด
เครื่องมือที่จะช่วยได้
คือให้ใช้ตีนกบในการว่ายทดสอบ
***
บางคนอาจจะพบว่ากระตุ้นตัวเองได้ยากในการทดสอบ
เรื่องของอะดรีนาลินช่วยได้
เช่น การทดสอบ คุณวัดค่าได้ 190
แต่เมื่อคุณไปฝึกจริงๆบนถนน
ระยะทาง 5 กิโลเมตร
คุณวัดค่าได้ 192
ให้ถือว่าตัวเลข 192 นั้น เป็น
Maximum Heart Rate ใหม่ของคุณ ***
แต่ก่อนที่จะวัดค่า Maximum Heart Rate
แบบยากนี้
ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวคุณก่อนทุกครั้ง
Karvonen
Equation
เมื่อพูดถึง Equation
นักกีฬาหลายคนอาจจะปิดหนังสือทันที
แต่ขอให้คุณอดทนอ่านต่อ
เพราะนี่คือเรื่องที่ง่ายกว่าที่คิด
การคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจบางวิธี
อาจจะใช้การคูณเปอร์เซ็นต์การออกแรง
กับ Maximum Heart Rate
แต่ไม่ได้คำนึงถึงความจริงว่าคนเรามีอัตราการเต้นของหัวใจค่าต่ำสุดนั้นแตกต่างกัน
นักสรีระวิทยา ชื่อ Karvonen
เข้าใจความจริงข้อนี้และบอกว่า
อัตราการเต้นของหัวใจที่เราสงวนไว้
( Heart Rate Reserve ) จะเท่ากับ
อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (
Maximum Heart Rate )
ลบออกด้วยอัตราการเต้นของหัวใจต่ำสุด
( Minimum Heart Rate )
เพื่อที่จะได้ค่าอัตราการเต้นของหัวใจ
เราก็จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การออกแรงที่
Heart Rate Reserve
จากนั้นก็เอาอัตราการเต้นของหัวใจที่ต่ำที่สุด
บวกเข้าไปอีกครั้ง
ดังสูตรต่อไปนี้
อัตราการเต้นของหัวใจขณะใช้งาน
= [(
อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด -
ต่ำสุด ) x% การออกแรง ]+
อัตราการเต้นของหัวใจต่ำสุด
ตัวอย่าง
Maximum Heart Rate: 200 ครั้งต่อนาที
Minimum Heart Rate: 50 ครั้งต่อนาที
เปอร์เซ็นต์ขณะออกกำลังกาย: 50%
อัตราการเต้นของหัวใจขณะใช้งาน
( Working Heart Rate )
= [(max-min) x 50%] + min
= [(200-50)x50%] + 50
= [150x50%] + 50
= 75 + 50
= 125 ครั้งต่อนาที
THE
TRAINING INTENSITIES
1.
Very easy: (ระดับง่ายที่สุด)
Training Heart Rate 50-60%
เป็นระดับความเข้มที่ง่ายที่สุดที่เราจะออกกำลังกายและพัฒนาความแข็งแกร่งของเรา
ร่างกายจะเลือกเอาไขมันมาใช้เป็นพลังงานในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
วิธีการออกกำลังกายนี้ง่ายมาก
จนอาจจะทำให้คุณรู้สึกผิด
ซึ่งจะส่งผลดีกับ
(1) ผู้ที่เพิ่งเริ่ม หรือ
เริ่มอีกครั้งหลังจากหยุดไปนาน
(2) ช่วงที่เพิ่งฟื้นตัว
(3) ผู้ที่อยากลดน้ำหนัก
2.
Aerobic Conditioning ( ระดับง่าย )
Training Heart Rate 60-70%
อาจจะมีคนพูดว่าระดับนี้เป็นระดับความเข้มของการออกกำลังกายที่สำคัญที่สุด
ไม่ว่าคุณเพิ่งจะเริ่มต้นหรือว่าเป็นนักกีฬาระดับโลก
ครึ่งหนึ่งของโปรแกรมการออกกำลังกายจะมีระดับความเข้มอยู่ในช่วงนี้
ประโยชน์ของการออกกำลังกายในระดับ
Aerobic Conditioning คือ
(1)
ทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตให้ดีขึ้น
(2)
เพิ่มจำนวนเส้นเลือดฝอยในกล้ามเนื้อของเรา
(3) เพิ่มเอนไซม์ในกล้ามเนื้อ
ซึ่งทำหน้าที่เผาผลาญออกซิเจน
(4)
เพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ,
เอ็น, และกระดูก
(5)
ทำให้ร่างกายเราคุ้นเคยกับการออกกำลังกาย
(6) ช่วยควบคุมน้ำหนัก
(7) พัฒนาความอดทนของเรา
ไขมันยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในการออกกำลังกายในระดับนี้
3.
Steady State ( ระดับปานกลาง )
Training Heart Rate 70-80%
ระดับนี้เป็นระดับการออกกำลังกายที่ได้ผลเร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้และปลอดภัยจากอาการบาดเจ็บ บ่อยครั้งที่หลายคนทำพลาดโดยออกกำลังกายทุกชนิดในระดับนี้ทั้งหมด คนที่เพิ่งเริ่มต้นหลายคนจึงรู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องยาก ผู้เขียนชอบตั้งชื่อระดับนี้ว่า "ระยะคงที่" เพราะว่าเราสามารถออกกำลังกายในระดับนี้ได้เป็นเวลานานๆ ( การแข่งขันของมนุษย์เหล็กก็จะวิ่งใกล้ระดับนี้ ) ยังไม่มีการเพิ่มของกรดแลคติก ประโยชน์ของการออกกำลังกายในระดับนี้คือ
(1)
ร่างกายจะคุ้นเคยกับการออกกำลังกายได้เร็วขึ้น
(2) น้ำอดน้ำทนจะพัฒนามากขึ้น
(3)
สร้างความเร็วที่เราจะทำได้
โดยไม่สร้างกรดแลกติคมากขึ้น
เวลาที่เราไม่ฟิต
กล้ามเนื้อจะเลือกคาร์โบไฮเดรตมาใช้เป็นพลังงาน
เก็บกักไว้ในรูปของไกลโคเจน (
สายยาวของน้ำตาล )
ยิ่งเราฟิตมากขึ้นก็จะเลือกไขมันมาเป็นพลังงานมากขึ้น
ทำให้เราวิ่งได้ไกลขึ้น
ในช่วงที่เราวิ่งได้เร็วขึ้นจะใช้ไกลโคเจนไปไม่มากจนเกินไป
4.
Anaerobic Threshold ( AT ) ( ระดับยาก )
Training Heart Rate 80-90% AT
หมายความว่าอะไร ?
ในระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกายที่ต่ำกว่านี้
ระบบเผาผลาญพลังงานจะไม่มีปัญหาเรื่องการสะสมพลังงานไว้ได้มากพอ
โดยการเผาพลาญกลูโคส
หรือไขมันโดยใช้ออกซิเจน
ยิ่งเราออกกำลังกายเข้มข้นขึ้น
หัวใจและปอดของเราก็จะมีออกซิเจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ร่างกายของเราชดเชยด้วยการเผาผลาญกลูโคสในปฏิกิริยาทางเคมีระยะสั้น
โดยที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจน
( Anaerobic หมายถึง "
โดยไม่ใช้ออกซิเจน" )ปัญหาหนึ่งของพลังงาน
Anaerobic คือ จะดีในช่วง 2-3 วินาที
ก่อนที่ของเสียอย่างกรดแลคติกจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
คุณเคยลองเร่งสปีดวิ่งนานกว่า
60 วินาทีหรือไม่
ถ้าเคยคุณจะรู้ว่าเราพูดถึงอะไร
เราจะพูดถึงระดับความเข้มของการออกกำลังกาย
ตรงจุดที่เราจะเริ่มเป็น
การไม่ใช้ออกซิเจน
และกรดแลกติกเกิดขึ้นนั้นว่า
"Anaerobic Threshold"
มีประโยชน์มากที่จะฝึกในช่วงสั้นๆ
( 3-5 วินาที ) ณ
อัตราการเต้นของหัวใจที่ต่ำกว่าจุดนี้
เพราะ
** อัตราการเต้นของหัวใจ Anaerobic
Threshold
จะเพิ่มขึ้นเมื่อร่างกายของเราฟิตขึ้น
ประมาณค่าอัตราการเต้นของหัวใจแบบ
AT ได้ดังนี้
1. ฝึกหนึ่งชั่วโมง
เราสามารถคงอัตราการเต้นของหัวใจ
AT heart rate ได้นานหนึ่งชั่วโมง
บันทึกอัตราการเต้นของหัวใจที่คุณทุ่มลงไปมากที่สุด
และหาค่าเฉลี่ยในหนึ่งชั่วโมง
2.
ค่อยๆเร่งความเร็วอย่างน้อย
10 นาที
ขณะที่ขี่จักรยานหรือวิ่ง
เมื่อคุณมีอัตราการเต้นของหัวใจถึงระดับ
AT heart rate
คุณจะรู้สึกว่าขาเหมือนยางและอัตราการหายใจจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้เป็นเพราะเราต้องการออกซิเจนเพิ่ม
แต่เพราะกรดส่วนเกินในเลือดของเขา
ทำให้ศูนย์กลางการควบคุมการหายใจที่สมองของเราสั่งงานเร็วขึ้น
เหลือบมองมอนิเตอร์จออัตราการเต้นของหัวใจไว้
นี่อาจจะเป็นวิธีที่ค่อนข้างแม่นยำ
3. ถ้าคุณมี Polar Sport Tester หรือ Vantage XL
มอนิเตอร์ และ ซอฟท์แวร์
คอมพิวเตอร์ คุณจะสามารถทำ
Conconi Test ได้
ซึ่งรายละเอียดอยู่นอกเหนือขอบเขตของหนังสือเล่มนี้
เราออกกำลังกายด้วยอัตราความเข้มเท่านี้สำหรับ
(1)
เวลาที่เราฝึกมานานหลายเดือน
และมั่นใจในความแข็งแรงและความฟิตของตัวเอง
(2)
เวลาที่เราอยากเข้าร่วมการแข่งขัน
(3)
เวลาที่เราเร่งระดับความยากของการออกกำลังกายช่วงสั้นๆ
3-5 นาที ระหว่างการฝึก
(4) ในการแข่งขัน
เราสามารถเร่งระดับความเข้มในระดับนี้ได้นานประมาณหนึ่งชั่วโมง
แต่เดิม คนคิดว่า AT Heart Rate
เป็นอัตราการเต้นของหัวใจที่อยู่นอกเหนือระดับที่กรดแลคติกเริ่มทำงาน
งานวิจัยสมัยใหม่บอกเราว่า
เป็นจุดที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด
แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
ยังคงเป็นแนวคิดที่มีประโยชน์เพราะเวลาที่ร่างกายเราไม่ฟิต
AT Heart Rate ของเราอาจจะอยู่แค่ 70-80%
หรือ ต่ำกว่านั้น
ขณะที่การฝึกของเราก้าวหน้าไป
AT Heart Rate จะเพิ่มมากขึ้น
อย่างเช่นในนักกีฬาที่ฟิตร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันอาจจะอยู่ที่
90%
คนที่ไม่ฟิตอาจจะอยู่ที่ประมาณ
70% ในหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ขณะที่นักกีฬาจะทำได้ถึง 90%
การฝึกในระดับเข้มข้นนี้
จะดีที่สุดถ้าเราออกกำลังในช่วงหนึ่งของแต่ละการฝึกในแต่ละอาทิตย์
เช่น ขี่จักรยานและวิ่ง
และจะต้องเป็นช่วงที่เราฟิตเท่านั้น
ในการว่ายน้ำอาจจะแตกต่างออกไป
เพราะว่าร่างกายของเราอยู่ในน้ำ
การฝึกในระดับ AT Heart Rate
นี้อาจจะทำได้สองถึงสามครั้งในหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
5.
Maximal ( ระดับยากมาก )
Training Heart Rate 90-100 %
เราจะออกกำลังกายในการฝึกระดับที่ยากมากนี้
เฉพาะกับนักกีฬาที่จะเข้าแข่งขันที่:
(1)
ต้องอาศัยการออกตัวอย่างเร็ว
เช่น การขี่จักรยาน
(2) ต้องแข่งในระยะสั้น เช่น
นักวิ่งระยะสั้น,
นักว่ายน้ำระยะสั้น
นักกีฬาประเภท Multi-sport
เป็นนักกีฬาที่ต้องอาศัยน้ำอดน้ำทน
และไม่ต้องอาศัยการระเบิดพลังในระยะสั้นแบบการฝึกระดับที่ยากมากแบบนี้
เราไม่ต้องไปแตะมันก็ได้ (
โล่งอกไปที ! )
BASIC
PRINCIPLES OF TRAINING
Stretching
การยืดกล้ามเนื้อของเราก่อนหรือหลังการอบอุ่นร่างกายจะยังเป็นเรื่องที่โต้เถียงกัน
ที่จริงบางคนอาจจะไม่ทำเลย
ความยืดหยุ่นของร่างกายส่วนมากเป็นเรื่องทางพันธุกรรม
บางทีคนที่เกิดมาร่างกายยืดหยุ่นอยู่แล้วอาจจะไม่ต้องการการยืดกล้ามเนื้อ
แต่ถ้าคุณเหมือนนักกีฬาส่วนมากที่ผู้เขียนรู้จัก
ทุกคนล้วนบอกว่าการยืดกล้ามเนื้อประมาณ
5 นาที หลัง การอบอุ่นร่างกาย
ช่วยให้การฝึกพัฒนาขึ้น
และไม่ทำให้เราได้รับบาดเจ็บ
เทคนิคการยืดกล้ามเนื้อคือหัวข้อสำคัญในหนังสือเล่มนี้อยู่แล้ว
ให้คุณถามเพื่อนที่มีประสบการณ์มากกว่า
หรือผู้เชี่ยวชาญ
หรือว่าโค้ชของคุณ
แต่จำไว้ว่า
อย่ากระโดดขณะที่ยืดกล้ามเนื้อ
ยืดกล้ามเนื้ออย่างช้าๆและมั่นคง
ขณะที่ยืดนับหนึ่งถึงสิบช้าๆ
การยืดกล้ามเนื้อจะต้องไม่เจ็บ
Warming
Up & Cooling Down
ร่างกายของเราเปลี่ยนแปลงมากเมื่อเราเริ่มต้นออกกำลังกาย
เลือดถูกส่งออกไปจากอวัยวะในช่องท้อง
เพื่อไปที่กล้ามเนื้อที่กำลังใช้งานอยู่
พร้อมทั้งถูกส่งไปที่ผิวหนังเพื่อทำให้ความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นจากการออกกำลังนั้นถูกระเหยออกไปในรูปของเหงื่อ
เช่นเดียวกับการสตาร์ทรถในวันที่อากาศเย็น
เราจะเริ่มช้าๆก่อนที่จะเร่งความเร็ว
เป้าหมายของการ Cooling Down คือ
ให้ร่างกายของเราได้ขับเอาขอเสียจากการเผาผลาญพลังงานช่วงที่ออกกำลังกาย
เช่น กรดแลคติกออกไป
อัตราการเต้นของหัวใจและการไหลเวียนของเลือดจะกลับเข้าสู่อัตราปรกติในช่วงนี้
ตัวอย่างการอบอุ่นร่างกาย
Warming Up
1.
ผู้ที่เพิ่งเริ่ม
ว่ายน้ำ - ว่ายเบาๆ 10 นาที
ด้วยท่าต่างๆ
ช่วงนี้เหมาะสำหรับฝึกจังหวะการว่าย
ขี่จักรยาน - ปั่น 10 นาที (
ด้วยจังหวะการปั่นที่เร็ว 90-100
รอบต่อนาที ) ใช้เกียร์ต่ำ
วิ่ง - เริ่มต้น 10
นาทีแรกด้วยการเดินเร็ว
และค่อยๆเปลี่ยนเป็นการวิ่งเบาๆช้า
2.
นักกีฬาที่จะเข้าแข่งขัน
ว่ายน้ำ - ว่าย 800
เมตร ด้วยท่าต่างๆ
รวมทั้งจังหวะการว่าย
ขี่จักรยาน - อบอุ่นร่างกาย 10-15
นาที ด้วยอัตราการออกแรง 80%
ต่อด้วยการฝึกโดยจับเวลาด้วย
อีก 30 นาที จากนั้น
จบการอบอุ่นร่างกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ
วิ่ง -
อบอุ่นร่างกาย 5-10 นาที
สำหรับการจับเวลา
จบช่วงนี้ด้วยการยืดกล้ามเนื้อ
Keeping
Diary
การฝึกเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ,
เห็นปัญหาในการฝึก,
เพิ่มระดับความสามารถของตัวเอง,
ติดตามความคืบหน้า
ดูว่าเราทำอะไรลงไปแล้วบ้าง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้
เราคงติดตามดูไม่ได้
ถ้าเราไม่จดบันทึกการฝึกของตัวเอง
การจดบันทึกควรพยายามรวมเอาสิ่งดังต่อไปนี้เอาไว้ด้วย:
1. ระยะทาง/ เส้นทาง
2. อัตราความเร็วโดยประมาณ
3. อัตราการเต้นของหัวใจ
4.
ความรู้สึกและอารมณ์ของเราขณะฝึก
โดยอาจจะเพิ่ม
1. อัตราการเต้นของหัวใจแบบ Resting
Heart Rate
2. จำนวนชั่วโมงที่เรานอนหลับ
และคุณภาพของการนอนหลับ
3. สภาพอากาศ
4.
ระยะเวลาที่อัตราการเต้นของหัวใจกลับสู่ปรกติ
( ช่วงเวลาพักฟื้น - recovery time )
5. ปัญหาการบาดเจ็บ
Increase
Gradually: ค่อยๆเพิ่มอย่างช้าๆ
ร่างกายของเราต้องใช้เวลาในการปรับตัว
การเปลี่ยนแปลงแผนการฝึก
หรือเครื่องมือในการฝึก
ควรจะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ
- Training Volume
หรือปริมาณการฝึก กฎ 10
เปอร์เซ็นต์เป็นแนวทางที่ใช้ประโยชน์ได้
อย่าเพิ่มปริมาณการฝึกมากกว่า
10 เปอร์เซ็นต์ ต่อสัปดาห์
นักกีฬาที่มีประสบการณ์
อาจจะมั่นใจในการเพิ่มปริมาณการฝึกถึง
15-20 เปอร์เซ็นต์ในช่วงนี้ได้
- Training Intensity
หรือระดับความเข้มข้นในการฝึก
การใช้แรงถึง 90
เปอร์เซ็นต์อย่างทันทีทันใด
อาจจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ
ค่อยๆเพิ่มระดับความเข้มของการออกกำลังกาย
เช่น เริ่มที่ 80 เปอร์เซ็นต์
ซ้ำไปซ้ำมา
และค่อยๆเพิ่มเป็น 85-90
เปอร์เซ็นต์
- Equipment
หรืออุปกรณ์
การเปลี่ยนยี่ห้อรองเท้า,
พื้นผิวในการวิ่ง
ปรับอานจักรยานให้สูงขึ้นหรือต่ำลง
รวมถึงที่ปั่นจักรยานอย่างทันทีทันใด
อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บได้
ควรจะค่อยเปลี่ยนทีละน้อย
Self
Motivation แรงกระตุ้นตัวเอง
แรงกระตุ้นไม่อาจจะหาซื้อ,
เช่น หรือยืมมาใช้กันได้
มันมาจากข้างในจิตใจของคุณ
แรงกระตุ้นมีรากฐานมาจากเหตุผลที่คุณมาฝึก
หรือร่วมกิจกรรมกีฬานี้
เพื่อให้ร่างกายฟิตและแข็งแรง
? เพื่อชัยชนะ ? เพื่อผ่อนคลาย ?
หรือแค่ต้องการมีส่วนร่วม
ข้อแนะนำต่อไปนี้อาจจะมีประโยชน์
1. ฝึกฝนร่วมกับคนอื่น
2. เข้าสมาคม ช่วยเหลือกัน
มีส่วนร่วม
3. คิดว่าตารางการฝึก
เป็นเหมือนนัดหมายสำคัญที่เราจะพลาดไม่ได้
4.
ติดตามความก้าวหน้าของคุณเสมอ
5. ทุ่มเทเพื่อให้ถึงเป้าหมาย
อุทิศตน
ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง
เป็นสิ่งสำคัญ
Macrocycle
วงจรการฝึก
เราต้องเพิ่มปริมาณของเราช้าๆ
อาทิตย์ต่ออาทิตย์
แต่ที่สำคัญ
ต้องวางตารางอาทิตย์ที่ฝึกแบบสบายๆเอาไว้ทุกๆ
3-4 อาทิตย์ หนึ่งรอบอาจจะมี 3, 4
หรือ 5 อาทิตย์ เรียกว่า
วงจรการฝึก หรือ macrocycle
ต้องวางแผนการฝึกแบบนี้ตลอดทั้งปี
ตัวอย่างที่ 1 * * เป็นกราฟ
** รอบละ 4 อาทิตย์
เหมาะสำหรับช่วงสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
** รอบละ 3 อาทิตย์
เหมาะสำหรับการเตรียมตัวช่วงสุดท้ายเพื่อการแข่งขัน
Quality
and Quantity
ปริมาณและคุณภาพในการฝึก
ปริมาณมาก
ไม่จำเป็นต้องดีกว่าเสมอไป
ส่วนผสมของการฝึกระยะสั้นแต่เร็ว
กับระยะไกลและช้ากว่านั้น
จะทำให้มีการตอบสนองต่อการฝึกที่ดีกว่า
การแข่งระยะไกล
ต้องการการฝึกแบบช้า
แต่ระยะทางไกลกว่า
การแข่งระยะสั้น
ต้องการการฝึกแบบเร็ว
แต่ระยะทางสั้นๆ
Recovery
ระยะฟื้นตัว
ยืดกล้ามเนื้อ, พักฟื้น
.
ยืดกล้ามเนื้อ, พักฟื้น
..,
ยืดกล้ามเนื้อ, พักฟื้น
,
จะทำให้การฝึกได้ผลดี
ร่างกายของเราจะปรับตัวระหว่างช่วงที่เราพักฟื้น
ข้อแนะนำ: หยุดฝึกอาทิตย์ละ 1-2
วัน
วันไหนที่ฝึกหนัก
วันต่อไปควรจะเบาลง
ไม่ต้องกลัวที่จะหยุดหนึ่งวัน
หรือลดการฝึก
ถ้าคุณเกิดอาการเหนื่อยมาก
*
*
ช่วงก่อนการแข่งขันควรลดปริมาณการฝึกลง
25 เปอร์เซ็นต์ * *
TECHNIGUE AVOIDING THE PITFAUS
ธรรมดามนุษย์เราจะมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุข
แต่ Multi - sports กลับเป็นตรงกันข้าม
นั่นคือ
ให้มุ่งที่จุดที่คุณคิดว่าด้อยที่สุด
Swimming
- การว่ายน้ำ
เรื่องเทคนิคสำคัญที่สุด
-
ว่ายน้ำกับกลุ่มที่คุ้นเคยโดยมีโค้ชคอยแนะนำ
- การว่ายน้ำ เกือบจะกลายเป็น
" เรื่องธรรมชาติ "
ถ้าเราเรียนว่ายน้ำก่อนอายุ
18 ปี
ถ้าเรียนเมื่อโตแล้วก็ไม่ต้องตกใจ
เพียงแค่ได้รับผลน้อยลง,เรียนได้ยากขึ้น
ช้าแต่ยังคงน่าพอใจ
- ว่ายน้ำ
ไม่สามารถเรียนได้จากหนังสือได้
สิ่งที่เราคิดว่าเรากำลังทำ
กับสิ่งที่เราทำจริงๆ
มักจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โค้ชจะมองเห็นเทคนิคการว่ายที่ผิดพลาดของเรา
ให้ฝึกกับโค้ชเสมอจะได้ผลกว่า
Cycling
-
การซื้ออุปกรณ์ที่เหมาะเป็นเรื่องสำคัญ
ควรซื้ออุปกรณ์จากร้านจักรยานที่คุ้นเคยกับการแข่งขันกีฬา
ไตรกีฬา
-
สร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีกับร้านจักรยานเอาไว้
เพราะยังจะต้องมีเรื่องของการดูแลและรักษาจักรยานในระยะยาวเข้ามาเกี่ยวข้อง
-
อุปกรณ์เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ
หมวก,แว่นตา,อุปกรณีสะท้อนแสง
-
กางเกงขาสั้นที่มีหนังชามัวร์หุ้มที่
gusset ? จะช่วยให้คุณเจ็บ
จำไว้ว่า :
คุณต้องไม่ใส่ชั้นใน
กับกางเกงขี่จักยานเด็ดขาด
วิ่ง
RUNNING
- เช่นเดียวกัน
ควรซื้อรองเท้าวิ่งจากร้านที่คุ้นเคย
และรู้จักกับการวิ่งแข่ง
-
คนขายรองเท้าที่มีประสบการณ์จะดูรูปแบบจากรองเท้าวิ่งคู่เก่าของเรา
หรือดูลักษณะการเดิน/วิ่งของเรา
ว่าเราควรจะใส่รองเท้าที่รับกับสรีระของเรา
แบบไหน เท้าเราปิดเข้าปิดออก
ข้อหุ้มมากแค่ไหน?
- เลือกรองเท้าที่ใส่สบาย
เข้ากับสรีระรูปเท้าของเรา
รวมทั้งเข้ากับน้ำหนักและระยะวิ่ง
ไม่ต้องสนใจเรื่องสีสัน
-
ถ้าเป็นไปได้ให้วิ่งบนพื้นผิวที่ค่อนข้างนุ่ม
( เช่น หญ้า , ดิน , ทราย ,
ไม่ใช่คอนกรีต หรือ
พื้นยางมะตอย )
-
สรีระและพัฒนาการทางร่างกายของมนุษย์ยังไม่ดีพอที่จะวิ่งบนพื้นคอนกรีตหรือยางมะตอย
บางทีอีกกว่าล้านปี
เราก็จะสามารถวิ่งได้บนพื้นคอนกรีตเป็นระยะทางไกลๆโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
- ความหลากหลาย
ควรฝึกวิ่งบนพื้นที่ที่มีลักษณะต่างๆกัน
เช่น พื้นราบ เนินลาด
หรือชั้นหลายลักษณะ
WORKOUTS
ตารางฝึกสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่ม
โปรแกรมต่อจากนี้เหมาะสำหรับผู้ที่จะเล่นไตรกีฬาระยะสั้น(
ทั้ง ว่ายน้ำ 500 เมตร / จักรยาน 40
กม./วิ่ง 10 กม.
ทำได้ถ้าคุณฝึกด้วยระยะที่นานกว่า
)
คนที่ทำงานหรือมีครอบครัวจะหาเวลาฝึกที่เป็นประจำยาก
ถ้าเราเจาะจงวันลงไปที่นี่
จะเรียกว่า วันที่ 1 ถึงวันที่
7
คุณอาจจะผสมผสานวันให้เข้ากับวิถีชีวิตของคุณ
แต่ต้องทำตามวัน ฝึกหนัก
ฝึกเบาตามตาราง วันที่ 6
จะเป็น
การจำลองการแข่งขันไตรกีฬา
ให้ฝึกกิจกรรมทั้ง 3
อย่างต่อเนื่องกันไป
ตารางTraining
Triathlon
For Beginner
วันที่1 วิ่ง 30 นาที HR 60-70%
วันที่2 ว่ายน้ำ 45 นาที
วันที่3 จักรยาน 60-90 นาที HR 60%15นาที
80%45-60นาที 60%15นาที
วันที่4 หยุดพักผ่อน
วันที่5 ว่ายน้ำ 30 นาที จักรยาน
60 นาที HR 60-70%
วันที่6 จำลองสถานการณ์จริง
ว่ายน้ำ30นาที ตามด้วย จักรยาน
45นาที ตามด้วยวิ่ง 30 นาที
วันที่7 วิ่ง 60 นาที HR 50-70%
ระยะเวลาโดยรวมต่อหนึ่งสัปดาห์
ว่ายน้ำ1.45ชม.จักรยาน 2.15ชม.วิ่ง 2ชม.รวมระยะเวลา
6ชม.
Duathlon
For Beginner
วันที่1 วิ่ง 30 นาที HR 60%10นาที 80%15นาที
60%5นาที
วันที่2 จักรยาน 60 นาที HR 60-70%
วันที่3 วิ่ง 60นาที HR 50-70%
วันที่4 จักรยาน 60นาที HR 50%15นาที
80%30นาที 60%15นาที
วันที่5 หยุดพักผ่อน
วันที่6 จำลองสถานการณ์จริง
วิ่ง 20นาที ตามด้วย จักรยาน 45นาที
ตามด้วยวิ่ง 30นาที HRรวมที่70-80%
วันที่7 จักรยาน 60-90 นาที HR 50-70%
ระยะเวลาโดยรวมต่อหนึ่งสัปดาห์
จักรยาน 3.40-4 ชม. วิ่ง 2.20 ชม.
รวมระยะเวลา 5.50-6.20 ชม.
ตารางฝึกสำหรับนักกีฬาที่กลับมาฝึกเตรียมความพร้อมอีกครั้ง
เวลาที่เราร่วมแข่งขันระยะทางโอลิมปิคได้แล้ว
แต่เราอยากทำเวลาให้เร็วกว่านี้ต้องการแข่งขันให้เพิ่มมากขึ้น
ตาราง Training
Triathlon
For Recreational Athlete
วันที่1 ว่ายน้ำ 60 นาที จักรยาน
60 นาที HR 70%15นาที 80%30นาที 70%15นาที
วันที่2 จักรยาน 90 นาที วิ่ง 45
นาที HR 60%
วันที่3 วิ่ง 90 นาที HR 60-70%
วันที่4 ว่ายน้ำ 60 นาที วิ่ง 60
นาที
วันที่5 หยุดพักผ่อน
วันที่6 จำลองสถานการณ์จริง
ว่ายน้ำ30นาที ตามด้วย จักรยาน
90นาที ตามด้วยวิ่ง 45 นาที HR 70-80%
วันที่7 จักรยาน 2.30-3 ชม. HR 60-70%
ระยะเวลาโดยรวมต่อหนึ่งสัปดาห์
ว่ายน้ำ2.30ชม.จักรยาน6.30-7ชม.วิ่ง 4ชม.รวมระยะเวลา
13-13.30ชม.
Duathlon
For Recreational Athlete
วันที่1 จักรยาน 60 นาที HR 70%15นาที
80%30นาที 70%15นาที ตามด้วยวิ่ง 60นาที
HR 60-70%
วันที่2 จักรยาน 90 นาที
วันที่3 วิ่ง 90นาที HR 60-70%
วันที่4 วิ่ง 60นาที
วันที่5 หยุดพักผ่อน
วันที่6 จำลองสถานการณ์จริง
วิ่ง 20นาที ตามด้วย จักรยาน 60-90นาที
ตามด้วยวิ่ง 20-30นาที HRรวมที่70-80%
วันที่7 จักรยาน 2.30-3ชม.HR 60-70%
ระยะเวลาโดยรวมต่อหนึ่งสัปดาห์
จักรยาน 5-7 ชม. วิ่ง 3-4 ชม.
รวมระยะเวลา 8-11 ชม.
ตารางฝึกสำหรับนักกีฬาที่ต้องการแข่งขันอย่างจริงจัง
ถ้าคุณไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน
และ
ไม่เคยฝึกแบบจริงจังมาเลย
กรุณาอย่าฝึกตามตารางนี้
อย่าพักแบบทางลัด จำให้ดีว่า
ปริมาณการฝึก
และความเข้มข้นควรจะเพิ่มอย่างช้าๆสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ถ้าฝึกตามนี้คุณอาจจะต้องใช้เวลาส่วนมากอยู่ในโรงพยาบาลแทน
ตาราง Training
Triathlon
For Serious Competitive Athlete
วันที่1 ว่ายน้ำ 60 นาที จักรยาน
60 นาที HR 60-70%วิ่ง 60-90นาที
วันที่2 ว่ายน้ำ 60 นาที จักรยาน
2ชม. HR 70%30นาที 80%60นาที 60-70%30นาที
วันที่3 ว่ายน้ำ 60 นาที HR 60-70%วิ่ง
90 นาที HR 60-70%
วันที่4 ว่ายน้ำ 60 นาที จักรยาน
2 ชม.วิ่ง 30 นาที HR 60-70%
วันที่5 หยุดพักผ่อน
วันที่6 จำลองสถานการณ์จริง
ว่ายน้ำ30-45นาที ตามด้วย
จักรยาน 90นาที ตามด้วยวิ่ง 45-60นาที
HR 70-80%
วันที่7 จักรยาน 4 ชม. HR 60-70%
ระยะเวลาโดยรวมต่อหนึ่งสัปดาห์
ว่ายน้ำ3-3.30ชม.จักรยาน10-11.30ชม.วิ่ง
3-4ชม.รวมระยะเวลา 18.45-19.45ชม.
Duathlon
For Serious Competitive Athlete
วันที่1 จักรยาน 60 นาที HR 60-70%
ตามด้วยวิ่ง 60-90นาที
วันที่2 จักรยาน 2ชม.HR70%30นาที 80%60นาที
60-70%30นาที
วันที่3 จักรยาน 60นาที HR60-70% วิ่ง
90นาที HR 60-70%
วันที่4 จักรยาน 2ชม. วิ่ง 30-45นาที
HR 60-70%
วันที่5 หยุดพักผ่อน
วันที่6 จำลองสถานการณ์จริง
วิ่ง 30นาที ตามด้วย จักรยาน 60-90นาที
ตามด้วยวิ่ง 30-45นาที HRรวมที่70-80%
วันที่7 จักรยาน 4ชม.HR 60-70%
ระยะเวลาโดยรวมต่อหนึ่งสัปดาห์
จักรยาน 10-12 ชม. วิ่ง 4-5 ชม.
รวมระยะเวลา 14-17 ชม.
การฝึกสำหรับนักกีฬามนุษย์เหล็ก
Ironman Triathlete
การฝึกกิจกรรมทั้ง 3
อย่างต่อเนื่องจำเป็นสำหรับนักกีฬาในกลุ่มนี้
เพื่อเตรียมร่างกายให้คุ้นเคยกับการออกกำลังเป็นระยะเวลานาน
ตาราง Training
Triathlon
For The IronMan
วันที่1 ว่ายน้ำ 60 นาที จักรยาน
90 นาที HR 60-70%วิ่ง 90-120นาที
วันที่2 ว่ายน้ำ 60 นาที จักรยาน
2-3ชม. HR 70%30-60นาที 80%60นาที 60-70%30-60นาที
วันที่3 จักรยาน 60 นาที HR 60-70%วิ่ง
2-3 ชม. HR 60%
วันที่4 ว่ายน้ำ 60 นาที จักรยาน
2-3 ชม.วิ่ง 30 นาที HR 60-70%
วันที่5 หยุดพักผ่อน
วันที่6 จำลองสถานการณ์จริง
ว่ายน้ำ45-60นาที ตามด้วย
จักรยาน 3-4ชม. ตามด้วยวิ่ง 60-90นาที
HR 60-70%
วันที่7 จักรยาน 5 ชม. HR 60-70%
ระยะเวลาโดยรวมต่อหนึ่งสัปดาห์
ว่ายน้ำ3-4ชม.จักรยาน12-17ชม.วิ่ง 4-6ชม.รวมระยะเวลา
19-27ชม.
ยังมีต่อครับ
ยังแปลไม่หมด
จาก : เต่าซิ่ง - 26/01/2001 14:03