ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อวิ่ง ตอน"วัยประถมและมัธยม"

 



ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ผมเป็นเด็กเลี้ยงควายต่อจนกระทั่ง ถึงเดือน พฤษภาคม 2520 พ่อจึงนำผมไปเข้าโรงเรียนชั้น ป.1 ซึ่งขณะนั้นผมมีอายุย่างเข้า 8 ปีแล้ว เพื่อนที่เกิด พ.ศ.เดียวกัน ได้เข้าโรงเรียนไปก่อนแล้ว สาเหตุที่ได้เข้า
โรงเรียนช้า พ่อบอกว่า เพราะเป็นเด็กอ่อนแอ ยังไม่โต จึงยังให้รออีกก่อน 1 ปี  โรงเรียนที่เข้าคือโรงเรียนประจำหมู่บ้านเกิดของผมนั้นเอง
เมื่อได้เข้าโรงเรียนแล้ว ผมก็กลายเป็นเด็กเรียนที่ขยันเรียน ชอบไปโรงเรียนทุก
วัน เมื่อเรียนไปสักระยะผมก็สามารถอ่านหนังสือได้  และเป็นเด็กที่ชอบอ่าน
หนังสือมาก ช่วงปลายปีมา โรงเรียนก็จะมีการแข่งขันกีฬา และมีการแข่งขันกับ
โรงเรียนข้างเคียงด้วย จำได้ว่า มีการคัดเลือกนักวิ่งกัน ครูก็ให้นักเรียนเข้า
แถว หน้ากระดาน แล้วเป่านกหวีดให้สัญญาณออกวิ่งพร้อมกันว่าใครจะวิ่งเร็ว ผมเป็น
เด็กที่อ่อนแอ    จึงอยู่อันดับท้ายๆ  ไม่ได้เป็นนักกีฬากับเขา  ส่วนกีฬาอื่นๆ
ในสมัยนั้นก็มีฟุตบอลและแชร์บอล  ซึ่ง ป.1 ยังไม่ได้เล่น  ตัวแทนโรงเรียนจะ
เป็น ป.และ ป.เวลาไปแข่ง  ก็จะมีรถกระบะบรรทุกของกรมป่าไม้  บรรทุกพานัก
เรียนไปแข่งกับโรงเรียนข้างเคียง คือโรงเรียนบ้านหนองพีพ่วน แข่งฟุตบอล แชร์
บอล และแข่งวิ่งระยะสั้น ผมก็เป็นกองเชียร์ยืนดู คิดอยู่ในใจว่า เมื่อเรา
ขึ้น ป.4 แล้วอาจได้เล่นบ้าง   ต่อมาปลายปี มีการสอบเลื่อนชั้น ปรากฏว่าผมสอบ
ได้คะแนนที่ 1 จึงได้มีชื่อเสียงใน
เรื่องการเรียนนับแต่นั้นมา

ปี พ.ศ.2521 เลื่อนชั้นขึ้น ป.2 เมื่อเริ่มการเรียน วิชาภาษาไทย และเลขคณิต ปรากฏว่า นักเรียนชั้น ป.2 ในห้อง มีประมาณ 40 คน มีผมคนเดียวที่ อ่านหนังสือ
ได้ และทำเลขคณิตได้ อาจารย์ให้ออกไปพาเพื่อนอ่านหน้าชั้น แล้วก็สั่งให้ทำโทษ เพื่อนร่วมห้อง ด้วยการเอามือเขกศรีษะเพื่อนทุกคนในห้องแรง เพื่อนชายส่วนใหญ่ก็
ไม่เป็นไร เมื่อมาถึงเพื่อนหญิง ผมก็เขกค่อยๆ โดยเฉพาะเพื่อนหญิงที่ผมแอบชอบ
อยู่ ครูบอกให้เขกใหม่ แรงๆ  ผมก็เขกใหม่และแรงจนเพื่อนหญิงร้องไห้ ส่วนผมก็
เจ็บมือ  หลังจากเลิกเรียนในวันนั้น ผมก็ขอโทษเพื่อน เพื่อนก็ไม่ว่าอะไร    กลางปี พ.ศ.2521 เมื่อปิดเทอมแรกแล้วพ่อก็พาย้ายครอบครัว ไปอยู่ที่อำเภอเมือง
พล จังหวัดขอนแก่นไปเรียนต่อ ป.2 เทอม 2 ที่นั่น  เรื่องการเรียน ผมก็เป็นเด็ก
ที่เก่งที่สุดในห้องนั้นอีก ทั้งๆที่มาจากโรงเรียนบ้านป่าบ้านดง ครู ก็ใช้วิธี
เดิม เขียนขึ้นกระดานเสร็จแล้วก็ถามว่า ใครอ่านได้บ้าง ผมก็ยกมือขึ้นคนเดียว จึงได้ออกไปพาเพื่อนอ่านอยู่หน้าชั้น อยู่เมืองพลนี้สภาพชีวิตแตกต่างไปจากเดิม
จากบ้านป่ามาอยู่ในเมืองเห็นแสงสี คืนหนึ่งมีงานเทศกาล ผมไปยืนดูชิงช้าสวรรค์
อยู่ ยังไม่เคยขึ้น และวันนั้นไม่มีเงินด้วย มีเพื่อนนักเรียนหญิงห้องเดียวกัน
คนหนึ่ง น่ารักด้วย มาพาขึ้นนั่ง  วันนั้นผมก็ดีใจและมีความสุขที่สุดเลย   แต่
น่าเสียดาย เมื่อสอบเสร็จ จบ ป.2 พ่อก็พาย้ายบ้านอีกแล้ว คราวนี้ไปอยู่ บ้านโคก
จักจั่น ตำบลหนองแดง  อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น ไปเรียน ป.3 อยู่ที่นั่น  เรื่องการเรียนผมก็เป็นที่ 1 เหมือนเดิม เรื่องกีฬา ผมก็เริ่มสนใจฟุตบอล แต่
เมื่อเล่นแล้ว ขาไม่คล่องแคล่วเลย แรงก็น้อย จึงไม่เล่น ช่วงนี้ร่างกายก็ยัง
อ่อนแออยู่เหมือนเดิม ตั้งแต่ ป.1 มาแล้ว บางวัน ยืนเข้าแถวนานๆ เคยเป็นลมก็มี
คือผมเป็นโรคโลหิตจาง ในเม็ดเลือดมีฮีโมโกลบินน้อย นำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่
พอ

ปี พ.ศ.2523 พ่อก็พาย้ายบ้านอีกครั้ง โดยพาไปอยู่บ้านโสกส้มกบ  ตำบลหนองแดง อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น  ซึ่งเป็นเขตดงลาน มีต้นลานมาก  ส่วนผมก็เข้าเรียน
ชั้น ป.4 ที่นั่น จนถึงกระทั่งถึง ป. ในช่วงนี้ผมรู้สึกอิจฉา คนที่เขาเล่น
กีฬาเก่ง  ส่วนใหญ่จะเป็นนักฟุตบอล และเป็นนักวิ่งเร็วด้วย ผมก็เข้าไปพูดยกย่อง
เขา  ส่วนเขาก็บอกว่า เรียนเก่งดีแล้ว เขาก็อยากเรียนเก่งเหมือนผม    ในสมัย
นั้นไม่มีแข่งวิ่งระยะไกล  ถ้ามีผมคงจะมีโอกาสบ้างปี พ.ศ.2525 เรียนชั้น ป.6 ผม
จึงได้เริ่มมีโอกาสเล่นกีฬาเป็นครั้งแรก กีฬาที่เล่นได้คือ วอลเล่ย์บอล เล่นแบบ
พื้นฐาน คือใช้ลูกอันเดอร์โต้กันอย่างเดียว ได้ไปแข่งกับโรงเรียนอื่นๆ ในกลุ่ม
เดียวกัน จำนวน 8 โรง ได้อันดับ 2 มา ปี พ.ศ.2526 ชีวิตวัยมัธยมต้นเริ่มขึ้น ได้ไปเข้าโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ คือโรงเรียนสีชมพูศึกษา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน
โสกส้มกบ 11 กม.การเดินทางใช้ปั่นจักรยานไปโรงเรียนทุกวัน เหมือนเดิมครับ เรื่องการเรียนผมได้
อันดับ 1 อีกแล้ว แม้จะเข้ามาในระดับมัธยม หลายตำบลหลายหมู่บ้านมารวมกัน และ
เมื่อมีการแข่งกีฬาสี ก็เล่นกีฬาวอลเลย์บอลชายรุ่นกลางได้อย่างเดียว ได้
อันดับ 2 ของจำนวน 4 สี

ปี พ.ศ.2527 ขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงของชีวิต  ผมเริ่ม
คิดว่า อันตัวเรา อยู่ชั้น ม.1ยังอ่อนแอ เคยเป็นลมเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ขึ้น ม.2 ตอนต้นปีนี้ก็ยังไม่ดี  คงเป็นเรื่องการรับประทานอาหาร คิดได้ดังนั้น ผมก็บอกตัวเองว่า ต่อไปนี้ เมื่อถึงเวลาอาหารให้รับประทานให้มากเข้าไว้ แม้จะ
ไม่หิว  ให้ระลึกไว้ เสมอว่า ให้รับประทานมากกว่าเดิมที่เคยมา ปรากฏว่าได้ผล
ครับ เริ่มเติบโตแข็งแรง มีเนื้อมีหนังขึ้นมา  ตอนนี้อายุก็ย่างเข้า 15 ปีแล้ว ความสูงประมาณ 158 ซม.เริ่มจะเป็นหนุ่มน้อยแล้ว ส่วนเรื่องกีฬาในขณะเริ่มเป็น
หนุ่มน้อยนี้ก็เริ่มต้นได้เป็นนักวิ่งแล้วครับ เมื่อมีการแข่งกีฬาสี ช่วงเดือน
พฤศจิกายน ก็ได้ลงแข่ง วิ่งผลัด 4 คูณ 400 เมตร  ชายรุ่นกลาง ได้รางวัลชนะเลิศ,
วิ่งผลัด 4 คูณ 200 เมตรชายรุ่นกลาง  ได้รางวัลชนะเลิศ ส่วนกีฬาก็เล่นวอลเล่
ย์บอล
เช่นเคย ปีนี้ได้อันดับ 1 ของชายรุ่นกลาง

ปี พ.ศ.2528 ขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ เป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียนแล้วครับ  เมื่อฤดู
กาล การแข่งขันกีฬามาถึงการวิ่งระยะสั้น ผมดูแล้ว เห็นว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ใน
เรื่องความเร็ว จึงหันไปมองที่ระยะไกล ในปีนี้ จึงได้เริ่มวิ่งระยะไกล ซึ่งระยะ
ไกลสุดที่จัดแข่ง คือวิ่ง 1500 เมตร ไม่จำกัดรุ่น ผลการแข่งขันปรากฏว่า วิ่งได้
อันดับ 2 เวลาไม่ได้มีการจดบันทึกไว้ น่าจะประมาณ 6 นาทีเศษ ส่วนอีกรายการเป็น
การวิ่งผลัด 4 คูณ 100 เมตรชายใหญ่ ได้อันดับ 3จากทั้งหมด 4 ทีม  ในช่วง ม.2 ถึง ม.3 นี้ ยังไม่ตื่นตัวในการซ้อมมีการซ้อมวิ่งน้อย ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนแข่ง
เพียงเท่านั้น

ปี พ.ศ.2529 เอาละครับ ถึงช่วงสำคัญของชีวิตการวิ่งของผมแล้ว ปีนี้ผมขึ้นมา
เรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยเรียนที่โรงเรียนสีชมพูศึกษาที่เดิม เป็น
นักเรียนมัธยมปลายรุ่นแรกด้วย ขณะนี้ ร่างกายของผมก็เติบโตมากขึ้นแล้ว ด้วยความ
สูง 168 ซม.น้ำหนัก 55 กิโลกรัม นับว่ากำลังเหมาะสมมากกับการวิ่งระยะไกล  เนื่องจากว่า ตั้งแต่เริ่มขึ้นชั้น ม.2 เป็นต้นมา ผมก็เริ่มเขียนบันทึก
เหตุการณ์ในชีวิตตนเอง โดยเขียนแบบทำนองคล้ายนวนิยาย ผมจึงจะคัดลอกเอานิยาย
ชีวิตจริงที่ผมเขียนไว้เมื่อปี 2529 มาให้ท่านอ่าน เพื่อให้ได้อรรถรส และ
บรรยากาศที่สมจริง และขณะนั้นเป็นวัยหนุ่มน้อย อายุ 16 ปี บทประพันธ์อาจจะดี
กว่าหนุ่มใหญ่วัย 36 ปีขณะนี้ เรื่องราวเป็นดังนี้ครับ
"วันที่ 27 ตุลาคม 2529 วันเปิดภาคเรียนที่ 2 ชั้น ม.4 ปีการศึกษา 2529 ผลการ
สอบก็ผ่านพ้ไปแล้ว บางคนก็สมหวัง  บางคนก็ผิดหวัง สำหรับตัวผมเองก็อยู่ในเกณฑ์
ดี แต่อยากให้คะแนนสูงขึ้นอีก ปิดภาคเรียนที่ผ่านมาก็ซื้อหนังสือมาอ่านก่อน พอ
เปิดก็เตรียมพร้อมที่จะรับสรรพวิทยาให้แน่น  ระยะสัปดาห์เริ่มแรกของการเปิดภาค
เรียน ก็เป็นการเตรียมตัวและการพบปะเพื่อนฝูง ครู อาจารย์ ตอนเช้าอากาศแจ่มใส บางวันก็หนาวเย็น รู้สึกว่าดวงตะวันจะขึ้นช้า  พอขึ้นมาเล็กน้อยก็สายแล้ว  การ
มาโรงเรียนจึงต้องรีบเร่ง ระหว่างนี้ทางโรงเรียนก็แจ้งข่าวกิจกรรมกีฬาสีซึ่งจะ
จัดขึ้นในวันที่ 1-4 ธันวาคม 2529 นี้ ได้มีการประชุมสี  กระผมได้รับการเลือก
ตั้งเป็นประธานสี   ตอนนี้ย่างเข้าต้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว ก็เหลือเวลาอีกปะรมา
ณเดือนหนึ่งก็จะแข่งขันประลองความสามารถกันของนักกีฬา ผมจึงเตรียมตัวให้พร้อม
โดยการฝึกซ้อมการวิ่ง โดยวิ่งวันละ 4 กม. เช้า-เย็น และฝึกซ้อมเล่นบาสเก็ตบอล จนค่ำทุกวันจึงกลับบ้าน ตอนกลับก็ปั่นจักรยานผ่านทุ่งนา ได้กลิ่นฝางข้าว และไอ
เย็นจากน้ำแล้วรู้สึกสดชื่น วันที่ 1 ธันวาคม 2529 ผมตื่นเช้าขึ้นมา ด้วยอาการ
สดชื่น กระปรี้ กระเปร่า จากการนอนที่เต็มอิ่ม รู้สึกว่าพลังของร่างกายขณะนี้มี
มาก    เพราะได้เสียพลังในการฝึกซ้อมอย่างมากมาย   แต่พลังที่ได้ตอนนี้บริบูรณ์
มากมายกว่าตอนฝึกซ้อมใหม่ๆ นัก  ร่างกายผมเตรียมพร้อมแล้วในการแข่งขันประลอง
ความสามารถทางกายกัน หลังจากที่ได้ฝึกซ้อมมาเป็นแรมเดือน  วันนี้เป็นวันเปิดการ
แข่งขันกีฬาภายในหรือกีฬาสี  ของโรงเรียนสีชมพูศึกษา พิธีเปิดกีฬาสีปีนี้ได้จัด
กันใหญ่โตทีเดียว โดยได้เชิญวงโยธวาธิตจากชุมแพศึกษา มาเป็นขบวนนำ  พิธีจะเริ่ม
หนึ่งโมงเช้านี้  ผมคิดได้ดังนี้แล้วก็รีบอาบน้ำสวมชุดกีฬาเตรียมตัวออกจากบ้าน
  ยังไม่ทันถึงหนึ่งโมงเช้าก็เข้าถึงโรงเรียนแล้ว  ซึ่งในโรงเรียน
ขณะนี้ก็มีนักเรียนมากพอ  บริเวณโรงเรียนตอนนี้กำลังเขียวสดชื่นไปด้วยไม้ยืน
ต้น และพื้นก็เขียวอ่อนนุ่ม เหมือนพรมผืนใหญ่ มีอาคาร 2 หลังตั้งหันทิศไปด้านภู
เวียง ภายในสนามขณะนี้ ดูหญ้าอ่อนนุ่ม เขียวแกมขาว เนื่องจากถูดตัดมองดูแล้ว
เรียบงามดี  รอบสนามนักเรียนได้ช่วยกันดาหญ้าออกทำเป็นลู่วิ่ง โรยปูนขาว  เป็น
ลู่สำหรับวิ่ง  ถึงมุมสนามลู่วิ่งก็โค้งอย่างมีระเบียบ อีกด้านหนึ่งของสนามกอง
อำนวยการกลาง  ได้ถูกสร้างขึ้นชั่วคราวโดยใช้ผ้าเต็นส์และโครงเหล็ก  อีกด้านตรง
ข้ามกันเป็นอัฒจรรย์กองเชียร์ ตั้งตระหง่านเรียงราย ของสีแสด อยู่ทิศเหนือ ถัด
มาเป็นสีเหลือง และสีฟ้าโชคดีมีต้นตูมกาพฤกษชาติให้ร่มเงา  อยู่ทิศใต้สุดเป็น
ของสีแสดสร้างติดริมสนามบาสเก็ตบอล   ขณะนี้ใกล้เวลา
ที่ขบวนเปิดกีฬาสีจะเคลื่อนตัวแล้ว โรงเรียนจึงเรียกให้นักเรียนไปรวมตัวกันที่
บึงทาม  ส่วนผมเมื่อมาถึงโรงเรียนหยุดยืนมองสถานที่นิดหนึ่งก็ตรงไปยังอัฒจรรย์
ของสีแสดที่ผมสังกัด  อัฒจรรย์ของเราสร้างโดยใช้โต๊ะเรียงเป็นฐานและเรียงเป็น
ชั้นสูงขึ้น  ใช้ไม้ไผ่เป็นลำมัดลวด  กันโต๊ะเก้าอี้เคลื่อน  ดูความเรียบร้อย
ของอัฒจรรย์เสร็จ  ก็แว่วเสียงมาจากกองอำนวยการทิศตรงข้ามสนามว่า  รายการแข่ง
กรีฑาเปิดพิธีกีฬาสีในวันนี้คือ วิ่งมาราธอน กิโลเมตร ดังนั้นผมนักวิ่งอีก
หลายคนจึงไม่ได้ไปในขบวนกีฬาสีกับเขา  จึงอบอุ่นร่างกายให้เตรียมพร้อม  ตอนนี้
ผมเกิดความมั่นใจมากคิดว่าต้องเข้าอันดับ 1 แน่ๆ หลังจากที่ผมอบอุ่นร่างกายได้
ไม่นาน เสียงกองพาเหรด  และวงโยธวาธิตก็ดังก้องกระหึ่มมา   ฟังดูน่าเอิกเกริก
เป็นยิ่งนัก  นำโดยขบวนโยธวาธิตกำลังผ่านที่ว่าการอำเภอตามถนนเข้ามาโรงเรียน  วงโยธวาธิตใส่ชุดขาว หมวกขาว มองดูสง่า มีผู้นำถือคฑาให้จังหวะในการบรรเลง เขา
เดินส่ายไปส่ายมา นำหน้าขบวน สลับโดยการกวัดแกว่งคฑา โยนลอยขึ้นไปในอากาศอย่าง
ชำนิชำนาญ  หลังขบวนวงโยธวาธิตก็เป็นขบวนพาเหรดสีแดงฟ้าเหลืองแสด ตามลำดับ  ผู้
คนรอบข้างทางสนใจดูมาก  นับว่ากีฬาสีปีนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ  พอขบวนผ่านไป นักวิ่ง
ทุกคนก็เข้ามาประจำที่ เตรียมออกสตาร์ทวิ่ง   ผมก็เดินไปจุด สตาร์ทกับเขา  พอ
ถึงผมก็สำรวม สงบจิตนิ่ง พิจารณากลวิธีการวิ่ง   เป็นการวิ่งที่ใช้ความอดทนและ
พลังอันยอมเยี่ยม เพราะทาง 4 กิโลเมตรก็ไกลพอประมาณ อาจารย์ผู้ปล่อยตัวได้ชี้
แจงกติกา ระยะทาง และเส้นทางวิ่งเรียบร้อยแล้ว  เสียงปืนก็ดังขึ้น  นักวิ่งทั้ง
หลายก็กรูกันผ่านผมไป  ผมมองเข้าไปในสนามโรงเรียนขณะนี้  ก็กำลังเดินสวนสนามกัน
อยู่  ใจผมขาดสมาธินิดหนึ่ง นักวิ่งทั้งหลายก็ทิ้งห่างผมเกือบ100 เมตร  คิดได้
ดังนั้น ผมจึงใช้วิธีการก้าวช่วงยาวๆ เป็นจังหวะได้เร็ว แต่ใช้แรงไม่มาก  ตาม
ติดไปเรื่อยๆ พอถึงทางโค้งถึงตัดเข้าสู่ถนนสายใหญ่  ผมก็ตามติดไปไม่ให้เขาทิ้ง
ห่าง  จนถึงกิโลเมตรที่ 3 ผมก็ตามทันขบวนนักวิ่งนำหน้าเหงื่อผมเริ่มโทรมกาย
แล้ว เหลือระยะทางอีกครึ่งกิโลเมตร ก็จะเข้าเส้นชัย  ผมจึงปลีกตัวแซงหน้าออกไป ในจังหวะนั้นผมคิดถึงแม่ และเกิดปีติพลัง  และกำลังใจมาก จึงไม่รู้สึกเหนื่อย วิ่งนำหน้าห่างไปเรื่อยๆ  แล้วก็เข้าสู่สนามโรงเรียนซึ่งตอนนี้ประธานพิธีกำลัง
กล่าวเปิดงานอยู่  รอบแรกผมวิ่งผ่านไป กองเชียร์ก็ปรบมือเกรียวกราวให้แก่ผม  รอบสุดท้ายผมเร่งความเร็วขึ้นสุดขีด  พุ่งทะยาน รวดเร็วปานม้าคะนองศึก   เข้า
เส้นชัยไป  ได้ชัยชนะจริงๆ  ทิ้งห่างนักวิ่งอื่นๆประมาณ 300 เมตร ตอนนี้ผมก็
เหนื่อยหอบเต็มกำลัง  จึงเดินไปดื่มน้ำเพื่อแก้กระหาย  แล้วก็เดินพักผ่อนจนร่าง
กายเข้าสู่ปกติ  เย็นสบายตามลมพัด ของบรรยากาศฤดูหนาว พิธีเปิดใกล้จะเสร็จแล้ว ได้ปล่อยลูกโป่งสามสี  ห้อยด้วยผ้าข้อความการเปิดการแข่งขันกีฬาสี  ปล่อยขึ้นไป
แล้ว ทุกคนปรบมือ แล้วเสียงแกสก็ระเบิดสนั่นหวั่นไหวรอบสถานพิธีเปิด แล้วต่อจาก
นั้นการแสดงบรรเลงเพลงของวงโยธวาธิตก็เริ่มขึ้น  หลังจากวงโยธวาธิตเสร็จ  ก็
เป็นการฟ้อนรำของนักเรียนหญิง  ฟ้อนได้อ่อนงาม น่าดูมาก แล้วพิธีก็เสร็จ  การ
แข่งกีฬาสีก็เริ่มขึ้น  ช่วงเช้าโปรแกรมการแข่งขันของผมก็คือ แข่งบาสเก็ตบอล  พอถึงเวลาแข่งพวกผมและเพื่อนในทีมต่างก็ลงอบอุ่นบริหารกายให้พร้อม คิดจะโชว์
ฝีมือให้เต็มที่ ต่อจากนั้นการแข่งขันก็เริ่มขึ้น จบลงทีมผมได้คะแนนมากกว่า จึง
ชนะไป  วันนี้ผมได้ชัยชนะทุกอย่างจึงกลับบ้านด้วยความเบิกบานใจ"

เป็นที่น่าสังเกตุว่า  ในการวิ่ง 4,000 เมตร นั่น ผมใช้เทคนิคการวิ่ง แบบ
N.S  หรือ negative sprit  ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน  แต่คิดเองและทำเอง โดย
บังเอิญทำให้การวิ่งดีจากนั้นก็มีการวิ่ง 400 เมตร แพ้เพราะออกตัวช้า วิ่งไล่
แซงไม่ทัน  วิ่ง 800 เมตร ชนะที่ วิ่ง 1500 เมตร เร่งแซงในช่วง 10 เมตรสุด
ท้าย  ชนะที่ 1 แบบฉิวเฉียด สร้างความหวาดเสียวให้กับกองเชียร์  ผลจากการวิ่งใน
ปี 2529 นี้ ทำให้ผมร่างกายแข็งแรงนับแต่นั้นมา  ไม่ค่อยป่วยไข้  อัตราการเต้น
ของหัวใจก็ลดต่ำลง เหลือ 56 ครั้งต่อนาที  เป็นการทำให้ประหยัดการใช้หัวใจนับ
แต่นั้นมา สืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้

ปี พ.ศ. 2530 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ได้เหรียญทองวิ่ง 5,000 เมตร  เหรียญทอง
วิ่ง 1,500 เมตร,เหรียญทองวิ่ง 800 เมตร  และ เหรียญทองแดง ทุ่มน้ำหนัก  ปีนี้ ร่างกายผมบึกบึน สูง 170 ซม. หนัก 64 กก. เนื่องจากนิยมรูปร่างแบบมีกล้ามเนื้อ จึงเล่นเพาะกาย ราวคู่ ราวเดี่ยว ดันพื้น รูปร่างคงที่นับแต่นั้นมา ถึง
ปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2531 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ได้ เหรียญทองวิ่ง 1,500 เมตร อย่างเดียว นอกนั้นพลาดหมด รุ่นน้องแซงเนื่องจาก ไม่ค่อยซ้อม อ่านหนังสือมาก และอ่าน
หนังสือดึกเตรียมสอบเรียนต่อ  จึงแรงไม่ดี   (จบเรื่องชีวิตนี้เกิดมาเพื่อวิ่ง ตอนวัยประถม-มัธยม  บันทึกเมื่อ 5 ส.ค.2548  เวลา  00.30-04.00 น.)