ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 12ก.พ.50

เรื่องส่วนตัว

 

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               วันนี้ขออนุญาตเขียนถึงเรื่องตัวเองสักหน่อย   โดยปกติใครที่เป็นแฟนอ่านกันมา จะพบว่า   ผู้เขียนเขียนเรื่องตัวเองน้อยมาก   ครั้งนี้นึกขึ้นมาได้ว่า   สิ่งที่กำลังเล่าอาจจะไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวส่วนตัวที่คับแคบ   สำหรับนักอ่านช่างสังเกตแล้ว   มันอาจจะมีสถานะเป็นหนังตัวอย่างได้บ้าง

               ผู้เขียนติดหวัดมาตั้งแต่กลางเดือนมกราคม   หลังกลับจากงานจอมบึง  ก็งอมหวัดมาตลอด   มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวมากเป็นพิเศษ   ตลอดระยะเวลาที่หวัดกำลังแสดงฤทธิ์เดชนี้   ผู้เขียนเบาแผนฝึกสลับการหยุดพักวิ่งค่อนข้างเยอะ   ส่วนแผนโปรแกรมหนักตัดเป็นศูนย์ทั้งหมด   อย่างไม่กลัวฝีเท้าจะตก   ถึงจะตกก็ช่างมัน   มีแต่การวิ่งเบา   ซึ่งพอดีสอดคล้องกับการที่จะต้องมีแผนฟื้นตัวหลังกลับจากสนามแข่งอีกด้วย

                หวัดสมัยนี้แรงมาก   เชื่อว่าเชื้อมันดื้อยา   จากการใช้ยาอย่างไม่ระมัดระวังจากผู้อื่นๆในสังคม  ครั้งที่มันเพาะตัวอยู่ในเรือนร่างคนอื่นก่อนมาพบเรา   มันจึงรู้ลู่ทางว่า  สมัยนี้มันต้องทำตัวอย่างไร  เพื่ออยู่รอดให้ได้

                แต่ไหนแต่ไร   เราเป็นหวัดกันแค่เจ็ดวันสิบวันก็หายแล้ว   เดี๋ยวนี้นานล่อเข้าไปสองเท่าสามเท่า   อาศัยความที่ตัวเราอยู่ในกลุ่มผู้มีนิสัยรักสุขภาพ   มีการออกกำลังกายเป็นนิสัย   จึงยังได้อยู่นอกรั้วโรงพยาบาล   ระยะนี้ได้ข่าวว่า  เตียงแน่นโรงพยาบาลกันทุกโรงก็โรคนี้แหละ  กำลังระบาด   มีคนตายแล้วด้วย

                แต่แล้วฝุ่นจากสนามจอมบึงยังไม่ทันจางหาย   ก็มีเพื่อนชวนออกสนามใหม่อีก  ทั้งๆที่กำลังคุยอยู่อย่างนี้  เราก็กำลังไอโขลกๆ  มีเสียงพูดคุยอู้อี้   แหม๋คนเราเห็นทั้งเห็นอาการยังเป็นอย่างนี้ ยังจะมาชวนเราอีก   เขาบอกว่า     “ไปเถอะ........อย่างคุณกฤตย์น่ะ  ติดอยู่แล้ว”     หมายถึงเขาเชื่อใจฝีเท้าผู้เขียนสามารถวิ่งติดอันดับในกลุ่มอายุของตัวเองได้แน่ๆ

                สมัยนี้ผู้จัดใจดี   แบ่งถ้วยรางวัลมากมายล่อใจนักวิ่ง   ห้าปีสิบถ้วย   เพลินเขาล่ะ   สนามที่แบ่ง    สามรางวัล   เดี๋ยวนี้สูญพันธุ์หมดแล้วกระมัง

                สำหรับตัวเองก็ไม่สงสัยหรอกครับ  ถ้าแบ่งกันมากขนาดนี้  เราก็ยังคงมีวาสนาได้ถ้วยรางวัลกับเขาอยู่  ทั้งๆที่ป่วย   พูดอย่างนี้อย่าว่าอหังการเลย   แต่เพราะพอจะมองออกอยู่บ้าง

                แต่ผู้เขียนก็ตอบปฏิเสธไม่ไป  ขอให้หายดีเสียก่อน   ไม่ใช่เพราะอันดับล่างไม่เอา จะเอาอันดับต้นๆ   ไม่ใช่อย่างนั้น

                ตัวเองก็เริ่มมีอายุแล้ว  ป่วยก็ป่วย   นี่กำลังจะล่อหนักอีก   ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ   การไปแข่งน่ะวิ่งเบาไม่ได้อยู่แล้ว  ยังไงๆก็ต้องหนักเท่าที่เราจะทำได้  ขืนเบา  ต่อให้สิบอันดับก็หลุด

                ถ้าผู้เขียนหลวมตัวไปแข่ง   ตัวก็คงหลวมไปกับความไม่ระมัดระวัง   การไปสนามแข่งทุกครั้งของเกือบทุกคนก็หนักกันเกือบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นระยะแค่มินิฯหรือระยะเต็ม   ผู้เขียนกำลังจะไปเจอกับหนักสามประสานคือ  ทั้งแก่  ทั้งป่วย  และแข่งหนัก   ที่มันจะคลี่คลายเป็นอะไรไปในอนาคตก็สุดจะคาดเดา

                ย้อนไปดูนักวิ่งรุ่น  40  มีจำนวนมากและแต่ละคนมีฝีเท้าแรงๆกันทั้งนั้น   ส่วนนักวิ่งรุ่น  60  ก็อ่อนฤทธิ์เดชลงมาก  ผิดกันไกล   จ๋อยลงเยอะ  อีกทั้งปริมาณก็ไม่ได้เพียบเหมือนเดิม  หายไปหมด   ก็หายไปเพราะเลิกวิ่งไง   หายไปเมื่อไร   ก็หายไปเมื่ออยู่รุ่น  50  นั่นแหละเป็นส่วนใหญ่   เป็นรุ่นตัดสิน  จะอยู่หรือไป  จะตายหรือรอด

                ที่เป็นและเป็นอยู่  นักวิ่งแนวหน้า , ทีมโรงเรียน , ทีมเขต  หรือแม้แต่ทีมชาติที่จะต่อเนื่องมีพฤติกรรมวิ่งจนแก่   เพื่อความไพบูลย์ของตนเอง  มีน้อยมากๆ

                ผู้เขียนกำลังมีเป้าหมายที่น่าท้าทายอันนี้   อยากทำในสิ่งที่คนทำกันได้น้อย  คือ   อยู่ในวงการได้นาน

                แม้สุดยอดอย่าง  K2  อาจไม่เคยป่ายปีนได้สำเร็จ   แต่ขอเป็นเมาเท่นเนียร์รุ่นใหญ่  อัดประสบการณ์แน่นหนา   คอยบอกคอยเตือนน้องๆเพื่อนๆให้ระมัดระวังและรอบคอบ   กระทั่งถ้ามีโอกาสก็จะหนุนส่งให้ใครบางคน  รุ่นหลังๆที่มีแววสามารถ  ปักธงบนยอด  K2  ได้สำเร็จ  โดยไม่เอาชีวิตไปสังเวยอยู่ริมทางไปสวรรค์นั้นเสียก่อน   ย่อมเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจไม่น้อย

                ผู้เขียนเป็นนักเลงถ้วยรางวัลคนหนึ่ง  แม้จะไม่ใช่รุ่น  A+  เป็นได้แค่  B -  แน่นอนครับ  มีเพื่อนร่วมรุ่นที่เขาเต้ยกว่าเรามากมาย   ความใฝ่ฝันของใครก็ของคนนั้น  เราเอามาตัดสินคนอื่นไม่ได้   ถ้วยรางวัล  และการได้อันดับหนึ่ง  แม้กระทั่งการได้รับซองรางวัลที่หนากว่า  ไม่มีใครไม่อยากได้   แต่คนเราย่อมรู้จักตัวเองดี  ว่าทำอะไรได้แค่ไหน  เราไม่รู้ตรงนี้  ใครจะมารู้กัน

                ปัจจุบันผู้เขียนมาถึงจุดนี้  ก็ถือว่า  มีความภาคภูมิใจที่ตนเองได้รับความสำเร็จระดับหนึ่ง   ภาพฝันกับเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต  มิวางไว้ที่อันดับหนึ่ง  ไล่หลังคุณบุญมา   หากแต่พยายามอยู่วงการให้ได้นาน  ไม่ใช่วิ่งจนแก่   ด้วยว่าวิ่งจนแก่หมายความว่าเลิกวิ่งเมื่อแก่  แต่วิ่งจนตายต่างหาก  เพราะวิ่งจนตายหมายความว่า  เลิกวิ่งเมื่อตาย

                ฟังดูไม่ยาก   แต่จากประสบการณ์ของผู้อื่นที่ไปก่อน   พบว่าความใฝ่ฝันพื้นๆนี่แหละที่ทำสำเร็จได้ยากนัก   เมื่อตอนอยู่รุ่น  40  ทั้งบี้ , ทั้งฟัน  ล่อกันเละเทะ   พอแก่ตัวเหลือแค่   “เอาตัวให้รอดสันดอน”   ก็ได้เถอะ   นี่แหละชีวิต   ดูไว้น้องๆที่รัก

                เพื่อนร่วมระดับฝีเท้าอย่างพี่ส่ง   กระโดดสเต็ปออกไปไกลแล้ว   ตัวเราจะตามติดหรือสอยพี่ลงให้ได้   ตัวเฉลยอยู่ที่ฝึก , ฝึก และฝึก   ความที่ฝึกอยู่แล้วนี้  บอกได้เพียงว่า “ยังไม่พอ”    ต้องกว่านี้ขึ้นไปอีก   ดูแผนพี่ส่งเขาฝึกแล้ว  ต้องลูบเครา ขอน้อมคารวะ  พี่เขาฝึกหนักจริงๆ  ไม่มีฟลุ้ค

                ตัวเราจะยินดีแลกเปลี่ยนหรือไม่   ต้องเสียสละความสุขสบายลงไปอีก  ที่เหนื่อยอยู่แล้วก็ต้องเหนื่อยหนักขึ้นไปอีก   สุดท้ายความบีบเค้นที่เราสรรหามาฝึกกับเรือนร่าง  มันจะจูงเราไปสวรรค์หรือนรก  ย่อมเป็นไปได้เสมอ   บอกแล้ว   ตัวของเรา ถ้าเราไม่รู้จัก  ใครจะมารู้จัก

                ประสบการณ์ไปสนามวิ่งทั้งๆที่ป่วย  ยังไม่ฟื้นดีของนักวิ่งรุ่นก่อนๆ   บอกนักวิ่งว่าย่อมบาดเจ็บได้ง่ายมาก   แม้เพียงไม่สมบูรณ์แค่ระบบทางเดินหายใจ   แต่ความบาดเจ็บที่ไปเจอมา  ดันไปเจ็บที่ส่วนล่าง  เป็นขา  เป็นเท้า หรือข้อ  ย่อมเกิดได้เสมอ  ทั้งๆที่มันเป็นคนละระบบ มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน   ความซับซ้อนขององคาพยพมันลึกซึ้งนัก  อย่าประมาท

                บางราย  ไปแข่งทั้งหวัดยังไม่หายดี  กลับมาบ้าน  Recovery  ไม่ฟื้น  เครื่องหลวมคล่อกแคล่กอยู่ตลอดปีสองปี  ไม่เคยกลับสมบูรณ์ดีเลย   บอกได้ไม่ชัดเป็นอะไร   มีแต่ความล้าเรื้อรัง   นี่ก็เป็นหนังตัวอย่างอีกหนึ่ง

                ผู้เขียนกำลังใส่ใจว่า   ความสำเร็จที่เคยทำได้ของตัวเองเมื่อสมัยอยู่รุ่น  40  กำลังตามมาหลอกหลอนว่ายังเกรียงไกรในปัจจุบัน  และใฝ่ฝันจะเหยียดตำนานมหาราชไปอีกให้ยาวนาน   ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว

                ณ วันนี้   วันที่กำลังเจ็บป่วยและอาจอยู่ในซองสตาร์ทของงานวิ่งเล็กๆง่ายๆของสนามชายแดนแห่งหนึ่ง   อันดับมือที่ตัวเองถูกวางเอาไว้นั้นมันกลับไม่ใช่เสียแล้ว   ความทรมานของงานหนักที่ได้รับบอกเราว่าเหนื่อยเหลือเกิน  แต่เรากลับพยายามกู้ศักดิ์ศรีคืนมา   ความประมาทคือทางแห่งความตาย

               ถ้าผู้เขียนลงสนาม  แม้อาจจะยังประคองอันดับได้อยู่   เพราะผู้จัดเขาให้เยอะ   แต่ภายในตัวเองจะเจอศึกหนัก   ทูซูน  (Too Soon)  กระชั้นชิดเกินไปนี้หนึ่ง  และยังเพิกเฉยสัญญาณเตือนนี้อีกหนึ่ง   พูดไปบอกเขาไปทั่วประเทศ  แต่เรากลับถโหล่เสียเอง  จะอายเขา

               วาระเป้าหมายปัจจุบันขณะ   ขอละวางอดีตไว้ตรงนั้น   ถ้าจะอายุขัยมากขึ้นไปเรื่อยๆจน  60  ขอเพียง   ”ยังวิ่งอยู่”   ก็หรูแล้ว

                จะได้ถ้วยอันดับสี่หรือห้าบ้าง หรือตกถ้วยเลยก็ไม่สำคัญนัก   แต่อันดับหนึ่งไม่ใฝ่ฝันอีกแล้ว   ความไหวตัวรู้เท่าทันสถานการณ์ที่เป็นของตัวเราปัจจุบัน   ต้องอาศัยความมีอายุมองเกมเฉพาะหน้าให้แตก   และสรุปเป็น  Solution  สุดท้ายที่เป็นกุศลกับตัวเองให้ได้  ถ้าเหตุการณ์ข้างหน้าจะหนุนเนื่องให้เราสมบูรณ์พร้อมอีกครั้งได้   จะพัฒนาเคลื่อนคล้อยอะไรก็ค่อยว่ากันไป

                เพื่อนนักวิ่งครับ   อ่านเรื่องของผู้เขียนแล้วคิดอะไรอยู่   คุณมองตัวเองอย่างไร   วางเป้าหมายของคุณเองไว้ที่ไหน   มีแนวปฏิบัติว่าจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง  เพื่อให้ถึงจุดหมายนั้น   ถ้ากระแสสำนึกของเพื่อนๆจะได้ส่วนผสมใดที่มีคุณภาพไตร่ตรองมาจากหนังตัวอย่างม้วนนี้แม้น้อยหนึ่ง   เรื่องที่เล่าก็จะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป   คุ้มค่าที่จะเล่าสู่กันฟัง   อยู่ที่พวกเรา.

 

09.05  น.

9  กุมภาพันธ์  2550