ผิวหนังแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ ผิวหนังชั้นนอก (หนังกำพร้า ) และผิวหนังชั้นใน ( หนังแท้ )
หนังกำพร้า คือ ส่วนที่เรามองเห็นจากภายนอก ลอกหลุดได้เองตามธรรมชาติเป็นขี้ไคล หรือ จากการเสียดสี เมื่อลอกหลุดแล้วส่วนที่อยู่ใต้ลงไป จะสร้างขึ้นมาแทนที่ใหม่
หนังแท้ คือชั้นที่อยู่ใต้ลงไป มีสีแตกต่างกันออกไปเช่น ขาว น้ำตาล ดำ เป็นต้น มีความหนา และ มีความรู้สึกร้อนหนาว เจ็บปวด เป็นต้น
ผิวหนามีความหนาและตึงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแตกต่างกันออกไป มีหน้าที่ป้องกันร่างกาย และมีความยืดหยุ่น บาดเจ็บที่ผิวหนังจากการวิ่ง มีดังนี้
1. ผิวหนังฟกช้ำ ( Contusion )
เกิดจากแรงกระแทกจากภายนอก ทำให้มีเลือดออกใต้ผิวหนังทำให้มีอาการเจ็บ ปวด บวม และสีผิวหนัง จะแดง ถ้ามีความรุนแรง มากขึ้น หลอดเลือดใต้ผิวหนังฉีกขาดด้วย จะทำให้ผิวหนังมีสีแดงคล้ำหรือม่วง ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นสีเขียวคล้ำ แล้วหลังจากนั้น จะค่อย ๆ จางลงไป
การปฐมพยาบาลและการรักษา
ประคบเย็นทันที โดยใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบกดเบา ๆ บริเวณที่ฟกช้ำประมาณ 5-12 นาที พัก 5 นาที ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเลือดหยุด และการบวมไม่เพิ่มขึ้น ความเย็นจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัว เลือดหยุดไหล และบรรเทาอาการเจ็บปวด ด้วยการหายเร็วหรือช้า ขึ้นกับความรุนแรงและเลือด ที่ออกใต้ผิวหนัง ไม่ควรขยี้หรือนวดด้วยน้ำมันร้อนเพราะ จะทำให้เส้นเลือดที่ฉีกขาด และ ขยายตัว เลือดจะยิ่งออกมากขึ้น การประคบร้อนให้ทำหลังจาก 1-2 วัน ผ่านไป เพื่อให้เส้นเลือดขยายตัว และดูดซึมเอาเลือดที่ออกที่หลงเหลืออยู่กลับไป
2. ผิวหนังถลอก ( Abrasion )
เกิดจากกการเสียดสี เช่น เมื่อวิ่งแล้วลื่นล้ม ผิวหนังไถลไปบนพื้นที่แข็ง หรือสาก จะตื้นหรือลึกขึ้นอยู่ กับความรุนแรง ที่ได้รับและพื้นที่เสียดสี ถ้าอาการน้อย ผิวหนังจะถลอกตื้น เพียงชั้นหนังกำพร้า มีอาการเจ็บปวดน้อย หายเร็ว ถ้าผิวหนังถลอกลึก จะถึงชั้นหนังแท้ จะมีอาการเจ็บปวดและมีเลือดออก ถ้าเลือดออกซิบ ๆ และไม่มีสิ่งแทรกซ้อน ผิวหนังบริเวณนั้น จะกลายเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน และลอกหลุดไปเองใน 1 สัปดาห์ ( ไม่ต้องแกะ )
การปฐมพยาบาลและการรักษา
ทันทีที่เกิดแผลถลอก ให้ฟอกด้วยสบู่แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง เช็ดแผลให้แห้งแล้วทาด้วยยาแดง พยายามรักษาความสะอาดและให้แผลแห้งอยู่เสมอจนกว่าแผลจะหาย อาจต้องปิดแผลไว้สัก 3 วัน เพื่อให้แผลตกสะเก็ดจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์สะเก็ดจะลอกหลุดเอง ถ้าแผลอักเสบติดเชื้อ จะปวด บวม แดง และแฉะเยิ้มบริเวณแผล จะต้องทำแผล ให้สะอาด และรับประทานยาฆ่าเชื้อด้วย การหายก็จะช้าตามไปด้วย แผลบริเวณข้อต่อจะหายช้า ถ้ามีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ถ้าาอยากให้หายเร็ว ก็จะต้องอยู่นิ่ง ๆ
3.ผิวหนังพอง ( Blister )
เกิดจากการแยกระหว่างชั้นผิวหนัง โดยหนังกำพร้าแยกตัวออกจากหนังแท้มีน้ำเหลือง บรรจุอยู่ซึ่งเกิดจากเซลล์ผิวหนังชั้นหนังแท้หลั่งออกไป สาเหตุเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังกับสิ่งที่ถูไถซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น ด้านบน ของส้นเท้า เมื่อวิ่งบ่อย ๆ เข้า จะทำให้ส้นเท้าตอนบนพอง
การปฐมพยาบาลและการรักษาพยาบาล
เมื่อเกิดการพองของผิวหนังให้หยุดวิ่ง ทำความสะอาดผิวหนังที่พองด้วยสบู่ ล้างด้วยน้ำสะอาด ซับให้แห้ง ทาด้วยแอลกอฮอล์ ใช้เข็มปลายแหลมที่สะอาดเจาะผิวหนังที่พองให้เป็นรู จนน้ำเหลืองไหลออกมาหมดแล้ว ทาด้วยยาแดง หมั่นทำความสะอาดให้ผิวหนังบริเวณนั้นแห้งอยู่เสมอ ประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะหายไป ถ้าผิวหนังที่พองหลุดลอก จะต้องทำแผลให้สะอาดทุกวันด้วย แอลกอฮอล์และยาแดง และต้องปิดด้วยผ้าก๊อซปิดแผลด้วย การหายจะช้ากว่าเล็กน้อย
1. สวมรองเท้าวิ่งที่มีส่วนหุ้มหลังส้นเท้านิ่ม ๆ
2.
ใช้ปลาสเตอร์หรือแผ่นยางนิ่ม
ๆ รอง
หรือปิดที่ส้นเท้าเมื่อวิ่ง
4.ผิวหนังฉีกขาด
( Laceration )
( จากหนังสือ บาดเจ็บจากการวิ่ง โดย รศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ )