% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_pain_knee.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %>
บาดเจ็บหัวเข่าข้าพเจ้าพบบ่อยมาก
พบแทบจะทุกวัน บางวันก็หลาย
ๆราย
ทั้งในนักวิ่งและนักกีฬาทุกชนิดทุกเพศทุกวัย
ยิ่งในฤดูการแข่งขันด้วยแล้วยิ่งมากขึ้นหลายเท่า
ไม่ว่าจะเป็นเจ็บในเข่า
นอกเข่าขณะวิ่ง
หรือเข่าบวมเมื่อวิ่ง ฯลฯ
บางคนก็วนเวียนมาหลายครั้งหลายหน
เพราะไม่หาย
ก็จะไปหายได้อย่างไรเพราะบอกอย่างทำอย่าง
ยิ่งบางโรคซึ่งละเอียดอ่อนมาก
เช่น
โรคข้อเข่านักกระโดดหรือกระโจน
( Jumper's knee )
อาการที่เป็นดูเหมือนไม่มาก
ก็คิดว่าไม่เป็นไรมาก
แต่ก็ไม่หายสักที
ทำให้วิ่งไม่ได้เต็มที่
แข่งขันไม่ได้
ด้วยความใจร้อนอยากจะหายเร็ว
ๆ จึงเอาทุกทาง
ไม่ว่าจะเป็นหมอพระ
หมอนวดหรือหมอโบราณ
ใครที่ว่าดีไปหมดก็ยังไม่หาย
ซึ่งเรื่องข้อเข่านักกระโดดหรือกระโจนนี้
ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องจริง
ๆ
ให้พักก็ต้องพักหรืองดเว้นการงอเข่าก็ต้องทำจริง
แล้วการให้ยาและการทำกายภาพบำบัดจึงจะทำให้หายได้
(การตั้งใจที่จะทำอะไรอย่างจริงจังสามารถประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก
ไม่เพียงแต่การรักษาตัวให้หายจากโรคเท่านั้น
)
บาดเจ็บบริเวณเข่านี้ เป็นบาดเจ็บที่พบได้มากที่สุดจาการวิ่งที่พบได้บ่อย ๆ คือ
1.โรคข้อเข่านักวิ่ง ( Runner's knee )
ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่นักวิ่งเพราะพบมากที่สุด เป็นบาดเจ็บที่บริเวณผิวกระดูกอ่อนของกระดูกสะบ้า สำหรับผู้ที่มีรูปทรงของกระดูกสะบ้า ไม่ปรกติหรือวิ่งมากไปไม่ถูกเทคนิค ทำให้การลื่นไหลของกระดูกสะบ้า ระหว่างที่มีการเหยียดและการงอเข่าไม่สะดวก เมื่อวิ่งมาก ๆ จะทำให้แรงเค้นเกิดขึ้นมารวมกันอยู่ที่ผิวกระดูกอ่อน เมื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ จำมีการทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อของกระดูกสะบ้า ยิ่งถ้างอเข่ามาก ๆ จะเกิดแรงอัดที่กระดูกสะบ้ามากทำให้ผิวกระดูกอ่อนถูกทำลายมากขึ้นไปอีก ดังนั้นการวิ่งที่งอเข่ามาก ๆ เช่นการวิ่งขึ้นหรือลงที่สูง หรือที่ลาดเอียง ชัน จึงทำให้เกิดโรคงอเข่านักวิ่งได้ง่าย สำหรับอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการทำลายของผิวกระดูกอ่อนที่พบได้บ่อย ๆ ก็คือ กล้ามเนื้อต้นขาไม่แข็งแรง ทำให้ไม่มีตัวที่จะดึงรั้งกระดูกสะบ้าไว้เมื่อมีการเคลื่อนไหว ผิวกระดูกอ่อนของกระดูกสะบ้า จะไปถูไถกับกระดูกของข้อเข่า ทำให้มีการทำลายกระดูกผิวข้อได้
อาการของโรค คือ ปวด เจ็บ ใต้ลูกสะบ้า จะมีอาการเกิดขึ้นหรือเพิ่มมากขึ้นเมื่อวิ่งระยะทางมากขึ้น หรือเห็นได้ชัดเมื่อวิ่งขึ้นที่ลาดเอียง หรือวิ่งขึ้นที่สูง อาการที่เกิดขึ้นนี้อาจเกิดหลังจากหยุดวิ่งทันทีหรือภายหลังจากนั้น ในรายที่เป็นมาก ๆ เมื่อนั่งงอเข่าจะเหยียดเข่าไม่ค่อยออกเนื่องจากเจ็บปวด
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการครั้งแรก ให้พักประคบน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที แล้ว ให้ยาแก้ปวด หลังจาก 24 ชั่วโมงให้ประคบน้ำร้อนเพื่อให้การอักเสบหายโดยเร็ว นอกจากนี้การให้ยาต้านการอักเสบจะทำให้การหายจากโรคเร็วขึ้น
เมื่อหายแล้วสิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างยิ่งคือการฟื้นฟูสภาพให้เหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม คือการบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงมาก ๆ ( บริหารกล้ามเนื้อต้นขา เกร็งเข่ากดน้ำหนักลงบนหมอน ) โดยเริ่มต้นยกน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ประมาณ 10 ครั้ง เช้า และเย็น จากนั้นให้เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถยกได้เท่ากับข้างที่ดี หรือขนาดของกล้ามเนื้อต้นขาเท่ากับข้างที่ดี ถ้าต้องการให้ประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อการแข่งขันในระดับสูง ก็สามารถยกน้ำหนักมากขึ้นได้จนถึง หรือใกล้เคียง 1/3 ของน้ำหนักตัว
การป้องกัน
1.ตรวจร่างกายดูรูปทรงว่าผิดปรกติหรือไม่ เพื่อจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง หรือเลี่ยงการเสี่ยงต่อการบาดเจ็บโดยเสริม หรือปรับปรุงวิธีการวิ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับรูปทรงเฉพาะตัวของเราเอง
2.เรียนรู้เทคนิควิธีการวิ่งที่ถูกต้องที่สุด
3.บริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดแรงเค้นที่กระดูกสะบ้าน้อยที่สุด
2.การเจ็บปวดบริเวณด้านข้างนอกเหนือหัวเข่าเล็กน้อย ( Iliotibial " band " friction syndrome )
เกิดจากการเสียดสีของแผ่นพังผืดหนาที่อยู่ด้านนอกของข้อเข่า มีการเสียดสีกับกระดูกหัวเข่าทางด้านนอก ระหว่างการเหยียดเข่าทางด้านนอก ระหว่างการเหยียดเข่าและงอเข่าในขณะที่วิ่งซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำให้มีการอักเสบตามมาได้ อาการจะเจ็บปวดในขณะที่วิ่งมากขึ้น ถ้าเป็นมากๆ การพักจะไม่หาย โรคนี้จะพบในนักวิ่งที่มีโครงสร้างผิดปรกติ คือขาโก่ง หรือเท้าคว่ำบิดออกด้านนอก ในนักวิ่งที่โครงสร้างร่างกายปรกติก็พบได้เช่นกัน คือ พวกที่วิ่งโดยไม่ยอเปลี่ยนหรือซ่อมแซมรองเท้าที่สึกหรอแล้ว โดยเฉพาะรองเท้าที่สึกหรอทางด้านนอก เมื่อวิ่งจะทำให้เท้าเอียงและมีการเสียดสีของพังผืด ดังกล่าวบริเวณข้อเข่า ทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้นให้ประคบด้วยน้ำแข็งนาน 15-20 นาที หลังจากนั้นบริหารเพื่อยืดพังผืดนี้ให้หย่อนลงเพื่อลดการเสียดสี และบริหารพังผืดนี้แข็งแรงด้วย ( การบริหารยืดพังผืดด้านนอก ยืนไขว้ขามือยันฝาดันตัวเข้าหาฝา และการบริหารยืดพังผืดด้านข้าง ให้นอนตะแคงยกขาที่ถ่วงด้วยน้ำหนักขึ้น ลง ) จะได้ไม่เป็นซ้ำอีก แม้แต่ในคนที่มีความผิดปรกติของโครงสร้างร่างกายดังกล่าวแล้ว ถ้าไม่มากนักก็สามารถบริหารเพื่อไม่ให้เกิดอาการจากการวิ่งได้เช่นกัน ถ้าในรายที่อาการมีมาก การรักษาที่จำเป็นคือ การให้ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบทั้งชนิดกินหรือฉีดยาเฉพาะที่ด้วย
การป้องกัน
1.ดูรูปทรงของร่างกายว่ามีขาโก่งหรือเท้าคว่ำบิดออกด้านนอก หรือไม่ เพื่อจะได้เสริมด้วยรองเท้าหรือปรับปรุงวิธีการวิ่งให้รูปทรงในการวิ่งเป็นปรกติที่สุด ถ้าเป็นมาก ๆ อาจจำเปนต้องผ่าตัดแก้ไข
2.บริหารให้ส่วนพังผืดไม่ให้ตึงและให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ
3.ดูแลเรื่องรองเท้าไม่ให้สึกหรอ โดยเฉพาะด้านนอกของพื้น ถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนใหม่ก็ต้องเสริมให้ถูกต้อง
3.การเจ็บปวดบริเวณด้านข้างนอกต่ำกว่าข้อเข่าเล็กน้อย ( Popliteal tendinitis )
เกิดจากการอักเสบของเอ็นที่เกาะตรงบริเวณนั้น จะพบในนักวิ่งที่มีเท้าคว่ำบิดออกด้านนอก หรือนักวิ่งที่วิ่งลงจากเนินหรือที่สูง และพบเสมอ ๆ ในนักวิ่งที่วิ่งตามชายหาด และตามริมฝั่งแม่น้ำที่พื้นที่วิ่งไม่สม่ำเสมอ และยุบตามแรงกดของเท้า ทำให้เท้าอยู่ในท่าที่คว่ำบิดออกทางด้านนอก เกิดแรงเค้นต่อเอ็นบริเวณนั้นจึงเกิดการอักเสบตามมา ถ้าเรานอนไขว่ห้าง แล้วกดหัวเข่าลง จะทำให้เกิดการเจ็บปวดตรงบริเวณนั้น
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้น ให้ประคบด้วยน้ำแข็งนาน 15-20 นาที ให้ยาแก้ปวดแล้วพักไม่เกิน 3 วัน อาการจะหายไป ถ้ายังไม่หายจำเป็นต้องให้การรักษาโดยการให้ยาต้านการอักเสบชนิดกิน หรือถ้ามากก็ต้องให้ยาฉีดเฉพาะที่ด้วย
การป้องกัน
1.ดูรูปทรงของร่างกายว่ามีเท้าคว่ำบิดออกด้านนอกหรือไม่ เพื่อจะได้เสริมด้วยรองเท้าหรือปรับปรุงการวิ่งให้รูปทรงใก้ลเคียงปรกติ
2.ดูแลเรื่องรองเท้าไม่ให้สึกหรอ โดยเฉพาะด้านนอก ถ้าไม่เปลี่ยนก็ต้องว่อมแซมให้ถูกต้อง
3.หลีกเลี่ยงการวิ่งตามพื้นที่ที่ยุบจากแรงกระทกของเท้า เช่นบนทรายชายหาด หรือบนตลิ่งที่พื้นที่ไม่สม่ำเสมอ และวิ่งลงจากที่สูง
4.โรคข้อเข่านักกระโดดหรือกระโจน ( Jumper's knee )
ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติอีกเช่นกัน แก่ผผผผู้ที่ชอบกระโดดหรือกระโจน ถึงแม้ว่าจะพบไม่มากนักในนักวิ่ง แต่สำหรับพวกที่ชอบกระโดดกระโจนแล้วเป็นสิ่งที่แทบจะคู่กันเลยทีเดียว เป็นบาดเจ็บที่เกิดจากการฉีกขาดของเอ็นหรือพังผืดที่บริเวณกระดูกสะบ้า อาจจะค่อยเป็นค่อยไป หรือเกิดขึ้นทันทีก็ได้ สาเหตุนั้นเกิดจากการกระตุก การะชากของเอ็นที่เกาะที่กระดูกสะบ้าในทันที ทำให้มีการฉีกขาด โดยเฉพาะนักวิ่งที่มีกล้ามเนื้อต้นขาไม่แข็งแรง ไม่มีตัวที่จะประคองการกระตุกนี้ ทำให้เกิดการฉีกขาดได้ง่ายทั้งที่แรงที่กระทำก็ไม่มากนัก
อาการของโรคคือ เจ็บปวดบริเวณรอบ ๆ กระดูกสะบ้า ตำแหน่งใด ตำแหน่งหนึ่ง หรือหลาย ๆ ตำแหน่ง ในรายที่เป็นมากจะเจ็บอยู่ตลอดเวลา ดรือบางรายจะมีอาการก็ต่อเมื่อวิ่ง กระโดดหรือกระโจน
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการครั้งแรก ให้พักประคบน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที แล้วให้พักอยู่ในท่าเข่าเหยียด ให้ยาแก้ปวด หลังจาก 24 ชั่วโมงจึงประคบร้อนถ้ายังไม่หายใน 3 วัน ต้องล็อคเข่าให้อยู่ในท่าเหยียดนาน 3 สัปดาห์ และให้ยาต้านการอักเสบชนิดกิน หลังจากหายแล้วให้บริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงมาก ๆ เพื่อที่จะได้ทนแรงกระตุกหรือกระชากนั้นได้ ในรายที่อาการค่อยเป็นค่อยไปหรือเป็นแบบเรื้อรัง การรักษานอกจากหลีกเลี่ยงการกระโดด กระโจนแล้วต้องไม่พยายามงอเข่า ให้ยาต้านอักเสบรวมทั้งการรักษาทางกายภาพบำบัด เช่น การใช้ความร้อน หรือคลื่นเหนือเสียง (อุลตราซาวด์) ในการรักษาด้วยจึงจะทำให้การหายเร็วขึ้น สิ่งที่ไม่ควรลืมเลยคือการบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงกว่าเดิมให้มาก ๆ เพราะเมื่อเราวิ่งอีกจะได้ไม่มีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น
การป้องกัน
1.หลีกเลี่ยงการวิ่งที่ต้องกระโดดหรือกระโจน
2.หลีกเลี่ยงพื้นที่แข็ง เพื่อลดแรงกระแทก กระตุกที่ข้อเข่า
3.บริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงอยู่เสมอ
( จากหนังสือบาดเจ็บจากการวิ่ง รศ.นพ.ธีวัฒน์ กุลทนันทน์ )
Click
คลิก
บทความเกี่ยวกับการออกกำลังกาย
และบาดเจ็บต่างๆเช่นเจ็บเข่า,เอ็นร้อยหวาย ฯลฯ
ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.44<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>