<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_observe_overtrain.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> จับสังเกตโอเว่อร์เทรน_กฤตย์

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 5ก.ค.49<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

จับสังเกตโอเว่อร์เทรน

 

โดย   กฤตย์   ทองคง

g-running@thaimail.com

 

               เนื่องจากกีฬาวิ่งระยะไกล  เป็นกีฬาที่อยู่ในหมวดชนิดที่เป็น “แอโรบิก เอ็กเซอร์ไซส์” ที่ไม่สร้างความรุนแรงให้กับร่างกายได้มากเท่ากับฟุตบอล , รักบี้หรือมวย ดังนั้น  การบาดเจ็บในนักวิ่ง เกือบทั้งหมด  จึงไม่ใช่การบาดเจ็บขึ้นมาอย่างกะทันหันในคราวเดียว  หากแต่นักวิ่งมักจะได้รับการเตือนจากร่างกายตนเองมาก่อนเกือบทั้งสิ้น  หากแต่ที่บาดเจ็บกันนั้น มักจะเกิดจากการเพิกเฉยไม่ฟังสัญญาญาณจากธรรมชาติ

 

               หนึ่งในสัญญาญาณเตือนก่อนการบาดเจ็บนั้นก็คือ  อาการโอเว่อร์เทรน  ที่ลำพังการโอเว่อร์เทรนยังมิใช่การบาดเจ็บ หากพวกเขาหยุดพักหรือจัดให้เบาแผนฝึกลงไม่หักโหม  และผ่านการพักผ่อนนอนหลับอย่างพอเพียง  อาการทะล่อทะแล่ เหล่านั้นก็จะหายไป  ความรู้สึกกระหายวิ่งก็จะกลับคืนมา

 

               ตรงกันข้าม หากเป็นความบาดเจ็บ  นักกีฬาได้ผ่านการนอนหลับไปตั้งหลายคืนแล้วก็ยังไม่มีอาการที่ดีขึ้นจากบริเวณนั้น  จำต้องยุติการวิ่งโดยสิ้นเชิง เป็นระยะเวลานาน  นั้น..ใช่เลย

                ว่าจำเพาะการโอเว่อร์เทรน ก็มีหลายลักษณะอาการ นักวิ่งจะเกิดเป็นบางอาการหรือหลายอย่างหรือครบทุกอย่าง ก็เป็นไปได้  ดังต่อไปนี้

 

หลับยาก

 ความต้องการทางเพศลดลง

 ไม่อยากวิ่งเหมือนเคย

วิ่งด้วยความเข้มเท่าเดิม แต่เหนื่อยกว่าเดิม

หงุดหงิด ไปแข่งได้เวลาตกลงอย่างมากผิดปกติ

 ใจสั่น

  รู้สึกเมื่อยล้าเรื้อรัง ไม่ยอมหายสักที

 ชีพจรขึ้นมากว่าปกติ

ภูมิต้านทานลดลง เป็นหวัดง่าย

เบื่ออาหาร ฯลฯ

              

อีกประการหนึ่ง  ใครก็เป็นโอเว่อร์เทรนกันได้ทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งแนวหน้าหรือแนวหลัง  ด้วยว่าความเข้มจากการฝึก มันผันแปรตามระดับความสามารถทางร่างกายของนักวิ่งแต่ละคน

 

               แต่ที่ผู้เขียนนำมาขยายในวันนี้ จะนำมาเฉพาะการตรวจนับชีพจรอย่างง่ายๆด้วยตัวนักวิ่งเองเพื่อเช็คร่างกายเป็นเบื้องต้นก่อนที่จะไปหาโค้ชหรือพบแพทย์  ซึ่งเป็นวิธีการที่แนะนำโดย นักวิจัยชาวฟินแลนด์  Heikki  Rusko   Ph.d.  ซึ่งเป็นการตรวจสอบที่เมื่อพิจารณาดูแล้วก็น่าให้ความเชื่อถือ  ทั้งนี้พวกเราหากได้ใช้วิธีการเหล่านี้ก็จะได้ประโยชน์จะหลีกเลี่ยงได้เร็วขึ้นก่อนที่มันจะแตกโพล๊ะ

               วิธีการของรัสโก ก็ใช้วิธีการเดียวกันกับเทคนิคเปรียบเทียบระดับของชีพจรขณะออกแรงเทียบกับขณะพัก  แต่ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

 

ประการแรก

               ให้ผู้ทดสอบ นอนสงบนิ่งราว 10 นาที  แล้วลุกขึ้นยืนรอสัก 12 วินาทีก่อนวัดชีพจรใน 6 วินาที ว่าเต้นกี่ตุ้บ  แล้วจดลงกระดาษไว้

ขั้นต่อมา

               ให้ยืนอย่างเดิมต่อไปจนกระทั่งได้เวลาไป 90 วินาที (นับจากหลังยืน) ก็ให้กลับมาจับชีพจรอีกครั้ง  แต่คราวนี้ให้จับนาน 30 วินาที ได้จำนวนกี่ตุ้บ  ให้จดลงไปอีก

ขั้นสุดท้าย

               เอาทั้งสองตัวเลขมาคิดคำนวณโดยคูณข้อแรกด้วย 10  และคูณข้อที่สองด้วย 2 ก็จะได้ตัวเลขมา 2 ชุดในการวัดแต่ละครั้ง  ให้ถือปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆทุกวัน  และเพื่อให้ดียิ่งขึ้น ควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวันด้วย

การตีความ

               ถ้าคุณปราศจากภาวะโอเว่อร์เทรนในระยะนั้น  ตัวเลขทั้งสองชุดในแต่ละวันก็จะคงที่ คือมักจะเท่าๆกัน เพี้ยนบ้างนิดหน่อย ตามการวัดที่อาจคลาดกันบ้าง  แต่หากมีภาวะโอเว่อน์เทรนมาเยี่ยม หรือกำลังจะ.บาดเจ็บ....คุณก็จะพบว่าตัวเลขเพิ่มขึ้น ก็เหมือนกับการบาดเจ็บ  ภาวะโอเว่อร์เทรนจะไม่เกิดปุบปับ  แม้ว่าคุณจะฝึกหนักจนร่างกายเริ่มจะรับไม่ไหว  แต่มันจะโอเว่อร์เทรนขึ้นทีละน้อยๆ

 

               ดังนั้นการที่วัดไปเรื่อยๆทุกวันจนเป็นนิสัย มันจึงดีตรงที่ ตัวเลขมันจะทยอยขึ้นทีละวันทีละวันให้ผู้ทดสอบสังเกตเห็นได้ชัดเจน  ที่ถ้าหากไม่ได้วิธีนี้  แต่อยู่เฉยๆ คุณอาจไม่รู้สึกอะไรมากนัก            อะไรที่ผ่านมาและผ่านไปเหมือนลมพัด , นกบินผ่านและสายน้ำไหล ไม่ทันสังเกตตัวเลขที่ทยอยขึ้นจะขึ้นทั้งสองตัว  แต่ให้สังเกตตัวเลขที่สอง จะขึ้นมาให้ดูชัดเจนเลย

 

               นักวิจัยรัสโก ได้ใช้วิธีนี้  ประกอบการระแวดระวังแผนการฝึกสกีครอสคันทรี่ของทีมชาติฟินแลนด์ ที่ตัวเลขในข้อที่สองของนักสกีที่รับภาวะฝึกหนักไม่ไหวจะกระโดดขึ้นไปมากกว่าปกติ ถึง 10-15 ตุ้บต่อนาที  ในคาบระยะเวลา 4 สัปดาห์

 

               การวัดชีพจรแบบวิธีของรัสโกนี้  จะแม่นยำกว่าการจับวัดชีพจรขณะพักที่เป็นเลขตัวเดียวแบบที่นักวิ่งนิยมทำกันทั่วไป

 

               ผลได้อีกประการหนึ่งก็คือวิธีนี้จะเป็นการช่วยโค้ชดูแลพฤติกรรมนักกีฬา  ด้วยว่าแต่เดิมโค้ชจะต้องหยั่งใจนักกีฬาด้วยว่าที่นักกีฬาแจ้งอาการต่างๆให้ฟังนั้น  เป็นอาการที่เกิดขึ้นจริงๆหรือเป็นการเสแสร้งเพื่อผลอย่างอื่นที่นักกีฬาต้องการ  แต่วิธีนี้จะช่วยเหลือโค้ชให้โค้ชแน่ใจ (มากกว่าตัวนักกีฬาจะรู้สึกเองด้วยซ้ำว่า เขากำลังจะโอเว่อร์เทรนจริงหรือไม่  ถ้าจริงจะได้รีบเบาแผนฝึกได้ทันท่วงทีกว่าวิธีก่อนๆ  ชะตากรรมที่ต้องเจ็บแน่ๆ ก็อาจรอดพ้นไปได้

               ลองเอาวิธีการของรัสโกไปปรับใช้ดูนะรับ  ไม่ต้องเสียสตางค์และได้ผลดีมากทีเดียว

  

22:44  น.

31  ม.ค.  2548

จาก         Back  from  the  Brink

โดย          Porter  Shimmer

R.W. June 1995.  P.22