% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_no_legend_gritl.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %>
ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.49<%
L=Len(NewHits)
i = 1
For i = i to L
num = Mid(NewHits,i,1)
Display = Display & ""
Next
Response.Write Display
%>
ไร้ตำนาน
โดย กฤตย์ ทองคง
เมื่อแรกผู้เขียนเข้ามาวิ่ง มีเป้าประสงค์ที่แตกต่างจากนักวิ่งรายอื่นๆ ตรงที่นักวิ่งรายอื่นเกือบทุกรายเล่าว่า เข้ามาวิ่งเพื่อสุขภาพ แต่ในกรณีของผู้เขียน มิติสุขภาพเป็นแค่เพียงผลพลอยได้ แต่เป้าหมายหลัก คือต้องการตำนานของตนเอง ที่อยากจะเอาไว้เล่าให้ลูกให้หลานฟัง ว่าพ่อก็เคยวิ่งมาราธอนมาแล้ว เรียกว่าเข้าวงการมาเพื่อเอาความสามารถไปอวดแท้ๆ
เก้าเดือนหลังจากนั้น ก็ได้ตำนานมา แต่ในตำนานนั้น มิได้มีตัวเองเป็นพระเอกแบบหนังฮอลลีวู้ด ทั้งความอหังการที่ผสมปนเปกับความโง่เขลา คลุกเคล้ากันอย่างกลมกล่อมได้ที่ กลายเป็นตำนานชนกำแพงที่เละตุ้มเป๊ะ และขมขื่นไปทั้งเนื้อทั้งตัว ก็จะมีอะไรที่เละเทะไปกว่าการที่ยังจะต้องฝืนวิ่งต่อไปให้ได้ทั้งๆที่ตัวเองชนเข้าตูมเบ้อเร่อ ใครที่ชนกำแพงแล้วเขาก็เดินกันทั้งนั้น แต่ผู้เขียนปักใจวิ่งต่อไม่ยอมเดินแม้แต่น้อย มันจึงสะท้านไปทั้งตัว เมื่อเท้าแต่ละก้าวตุ้บพื้นแต่ละครั้งมันให้ผวาเฮือกเข้าไปถึงแก่นกลางคอหอยและจิตวิญญาณเป็นอย่างนี้ทีละก้าวทุกๆก้าว ถ้าใครถามว่า แล้วเพราะอะไรถึงไม่เดินเล่า จะฝืนวิ่งไปทำไม ตอบให้ตรงที่สุดก็เพราะมันโง่ไงเล่าครับ จำได้ไม่ลืมว่า หลังเข้าเส้นแล้ว ผู้เขียนถึงกับตัดสินใจแขวนนวม เลิกวิ่งอย่างเด็ดขาด ทั้งมาราธอน , ทั้งสิบโล ไม่เอาแล้ว แต่คิดอย่างนี้อยู่แค่สิบกว่าวันเท่านั้น
ตำนานที่จะเอาไปเล่าให้ลูกให้หลานฟัง จึงเปลี่ยนสีสันและบุคลิกอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากอัศวินม้าขาวคลิ้นท์ อีสวู้ด ข้ามา ข้าเห็น ข้ายิง กลายเป็นคำตักเตือนที่หวังดีจากนักวิ่งนิรนามผู้มาก่อน (ต้องนิรนามเพราะอับอาย)
จากวันที่ชนกำแพงนั้นเป็นต้นมา ผู้เขียนได้เริ่มให้ความสนใจกับแผนฝึกวิ่ง โดยเริ่มเชื่อมั่นว่า ถ้าเราฝึกซ้อมมาดี เราก็จะผ่านช่วงยากลำบากนั้นไปได้ แต่ประสบการณ์ในชั้นหลังๆต่อมาได้บอกรายละเอียดเพิ่มเติมอีกว่า ประโยค ถ้าเราฝึกซ้อมมาดี... เป็นอะไรบางอย่างที่กลวงเปล่า ไม่บอกความนัยอันใดเลย เปรียบเสมือนถ้อยคำที่เรามักเคยได้ยินอยู่เนืองๆว่า
ถ้าฉันเป็นนายกฯ ฉันจะ......... ถ้าฉันถูกล็อตเตอรี่ ฉันจะ.......
แต่ความเป็นจริงมีอยู่ว่า ฉันไม่ได้เป็นนายกฯ และชาตินี้ก็คงไม่ได้เป็นนายก และฉันก็ไม่เคยซื้อฉลากล้อตเตอรี่เลย ใช่แล้ว ประโยคสมมุติแบบไร้เดียงสาสองประโยคนั้นประกอบไปด้วยตรรกแบบกำปั้นทุบดินที่ว่า ถ้าฝึกซ้อมมาดี ก็จะผ่านช่วงที่ยากลำบากนั้นไปได้ แน่ละ มันต้องเป็นเช่นนั้น แต่การที่จะฝึกซ้อมได้ดีนั้นคืออย่างไรเล่า เราจะต้องไปแสวงหาองค์ประกอบที่ไหนด้วยมูลค่าเท่าไรเพื่อได้ครอบครองปัจจัยที่มีผลทำให้ฝึกซ้อมได้ดี ในเมื่อเราก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะซ้อมอย่างไรอีกด้วย ที่ต่อให้รู้ ก็ไม่แน่ใจว่าทำได้หรือเปล่า มันยังมีอะไรที่ต้อง ขึ้นต่อ อีกหลายทบหลายชั้นเสียเหลือเกิน แต่จนกว่าจะจับทางได้ถูก ผู้เขียนก็วกเข้าเส้นทางเขาวงกต วนเวียนกับความกระหายที่จะแซงคนนั้น คนนี้ และความกระสันต์อยากได้ถ้วยอันดับ จนผลักไสตัวเองเกือบดับดิ้นไปกับรางวัลล่อใจนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ถ้วยจะเต็มบ้านเต็มช่อง ก็ยังไม่หายโลภสักที กินเวลาไปตั้งหลายปี กว่าจะเริ่มตระหนักว่า ภาพจริงๆของการวิ่งนั้น ชัดๆมันจะเป็นรูปร่างอย่างไร ที่ต้องอุทิศใจไปใส่ในแผนโปรแกรม ว่ามันจะช่วยพัฒนาความสามารถของเราขึ้นมา โดยไม่ยอมให้ความหวั่นไหวจากอารมณ์ที่ต้องการเปรียบเทียบกับเพื่อนนักวิ่งด้วยกัน เข้ามารบกวนจิตใจให้ไขว้เขว ที่พูดๆกันว่า ให้วิ่งเพื่อชนะตัวเอง นั้นก็แค่คำกล่าว แต่การเจอกับมันจริงๆ ได้ลงมือจัดการกับมันอย่างเต็มไม้เต็มมือ จึงตระหนักว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มิติทางภาษาศาสตร์กับโลกจริงๆมันเป็นคนละเรื่องกัน จำเดิมผู้เขียนไม่ใช่คนเพอร์เฟค อะไรยากๆก็เผ่นแล้ว ถากไม้เหมือนหมาเลีย ประมาณนั้น แต่จากบทเรียนชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันสอนให้มั่นใจว่า บนเส้นทางนักวิ่ง เราไม่ควรยอมพ่ายแพ้แก่ความเหนื่อยยาก ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงมือ อย่าเพิ่งเริ่มติ , เริ่มแต่ , เริ่มมีเสียงอ้อแอ้ ตั้งแต่ต้น กว่าจะผ่านด่านนี้มา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตำนานที่จะเอาไว้บอกลูกหลาน เริ่มเข้มข้น แต่ไม่ใช่ทิศทางและลีลาที่คาดเอาไว้แต่เดิม ด้วยว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ กว่าจะได้อะไรมา มันต้องเสียอะไรเพื่อไปแลกเปลี่ยนซื้อหาเป็นมูลค่าที่ต้องจ่ายเสมอ ของฟรีไม่มีในโลก
ถ้าลองได้เอาเหงื่อชโลมโปรแกรมฝึกให้เปียกทั่ว ใจจึงสามารถน้อมคารวะจิตวิญญาณของแชมป์ทุกคน ไม่ฝึก ไม่รู้ แค่ดูคอร์ท ประมาณไม่ถูกว่าขนาดไหน เห็นแผนเห็นแต่ตัวเลข 30X200 , 20X400 แล้วเฉยๆเหมือนเห็นไม้ฟืน แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย ถ้าได้ลองจิบชิมรสชาติสัก 5 เที่ยว ได้แต่ยืนงง ใจจะขาดอยู่รอนๆ ขาสั่นอยู่ริกๆ ขนาดนี้เชียวหรือนี่ ! การได้ลองดู เข้าแผนและลองพยายามเกาะโปรแกรมให้ได้ แม้จะไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ผลที่ได้ มันคือโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงตน ที่เราย่อมรู้สึกได้เอง เรื่องราวที่ถูกบรรจุเข้าตำนานลูกหลาน ชักหนาปึกขึ้นทุกที แต่ไม่ใช่เล่ายากที่มันยาว แต่ตรงที่มันลึกต่างหาก มีหลายสิ่งหลายอย่าง ชวนให้เราเข้าใจไปว่า เราก็คงสามารถวิ่งได้แค่นี้แหละ ทุกวันนี้ก็เหนื่อยจนอธิบายไม่ถูกแล้ว ฝึกไปก็คงไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้น จนเราลืมไปเสียแล้วว่า มีไม่น้อยครั้งทีเดียวที่เราต้องตกตะลึงกับเพื่อนนักวิ่งที่เคยวิ่งตามเราต้อยๆในทุกสนามนั้น ได้แหวกวงล้อมของม่านพรางตาเหล่านั้นลงได้อย่างไม่น่าเชื่อว่า เขาคนนั้นหล่ะหรือ คนธรรมดาๆนี่แหละ หน้าตาก็ออกจืดๆ แต่ทำไมเดี๋ยวนี้เป็นแชมป์ของรุ่นไปแล้ว อย่างไม่มีใครคาดคิดได้มาก่อน
อะไรที่ทำให้เรามองพลาดไป ?
แต่ยังไม่ทันได้เฉลยโจทย์เดิม บทเรียนใหม่ๆที่น่าสนใจก็ถาโถมเข้ามาอีก แชมป์ใหม่กลับกลายเป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว เห็นดังนี้เข้าก็ตกใจน่ะซิ จู่ๆนักดาบท่องยุทธจักรอย่างเรา ไปเจอเอาเซียนไร้กระบี่ ถึงกับผงะ ด้วยวัยและประสบการณ์ของตัวเองที่อยู่โลกนี้มานาน(แก่แล้ว) เริ่มเห็นภาพพอเข้าใจนิยามของคำว่าแชมป์เปี้ยน , ยุทธภพ , ความเร็ว , กระบี่ , และชัยชนะเสียใหม่ จนกระทั่งไม่จำเป็นเสมอไปที่ต้องวิ่งให้เร็ว เพื่อจะได้เป็นแชมป์ ในสนาม ผู้เขียนเห็นสปิริตทั้งใหญ่และเล็กน้อย ในโอกาสจังหวะเหมาะๆที่มันจะค่อยๆเผยตัวให้เห็นธาตุแท้แต่ละคนออกมาเสมอๆเสียด้วย ที่ต่อให้ไม่เคยขึ้นโพเดี่ยมเลย แต่บางคนก็เชื่อว่า การได้โอกาสที่เกิดมาเป็นนักวิ่ง และได้วิ่งอย่างนี้ ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว ที่มันเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน อิ่มเอมใจที่ได้ตระหนักว่า เราได้มีโอกาสดีที่ได้ร่วมในกระแสธารประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่ง ได้มีโอกาสเป็นพยานพบเห็น การแสดงออกถึงน้ำใจอันงดงามของเพื่อนๆในวงการมากมายที่เต็มไปด้วยคุณค่า เราจึงเปี่ยมไปด้วยความหวัง และพลังอยู่เสมอ จะว่าไป ที่ตัวแชมป์วิ่งเร็วเอง ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้เร็วมันทุกครั้งไป ที่ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะมิไร้เดียงสาเกินไปหรือ เขาย่อมตระหนักตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอว่าทุกครั้งที่ออกวิ่ง จะวิ่งไปเพื่ออะไรและใคร ดังนั้นย่อมจะเหลือแต่ความโง่เขลาล้วนๆที่หากเราละเลยหลงลืมอะไรๆที่อาจทรงคุณค่าและงดงามกว่าความสามารถวิ่งได้เร็ว ประวัติศาสตร์วงการวิ่ง คือประวัติศาสตร์ที่มิได้จดจารแต่จำเพาะความเร็ว แต่ถ้าได้ลองเหลียวกลับไปดูและพิจารณาอีกที ก็จะพบได้ไม่ยากเลยว่า มีหลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความดิ้นรนต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับชะตากรรม ความรักและความผูกพันธ์ , ความเสียสละ ที่ล้วนแต่เป็นคุณธรรมที่แต่งแต้มให้โลกเส็งเคร็งนี้พอจะอยู่ได้บ้างไม่แค้นลำเค็ญจนเกินไป แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่า จะเลือกพลิกด้านมุมไหนของชีวิตและประวัติศาสตร์วิ่ง ขึ้นมาเล่นและชื่นชมกัน ตรงนี้แหละคือเงื่อนปมสำคัญที่อาจจะกำหนดชะตาชีวิตของพวกเรากันเอง
ความพยายามวิ่งให้เร็วแต่สถานเดียว มันจะทำลายศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่ประกอบด้วยลักษณะหลากมิติลง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ท้ายที่สุด มนุษย์เราก็จะไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ ความเร็ว
พลังที่จะเป็นเชื้อขับดัน ให้ขบวนของเราเคลื่อนไปข้างหน้าย่อมน่าจะเป็นความทรงจำที่น่าระลึกจากบุคคลและสถานการณ์ต่างๆที่เคยร่วมกิจกรรมวิ่งกันมาที่มีมากมายนับไม่ถ้วน รวมๆกันแล้วจะสามารถบดบังความโดดเด่นจรัสจ้าของความเร็วให้เจือจางลง ลองดูเถิดครับ ไม่ต้องถึงกับลงแรงสอดส่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ เราย่อมพบพานได้เสมอ
โลกนักวิ่ง ไม่ต้องถึงกับคอยชะเง้อรอแชมป์เปี้ยนรายต่อไปหรอก ด้วยว่าแชมป์รายต่อไปนั้นก็คือ พวกเรากันเองนี่แหละ ที่เป็นนักวิ่งเล็กนักวิ่งน้อยที่พร้อมจะร่วมเป็นเชื้อสายเชื่อมขบวนวิ่งที่ตามกันมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ด้วยความพยายามวิ่งให้ดีเท่าที่จะทำได้ สมกับที่เกิดมา ด้วยความไตร่ตรองอยู่เสมอ มันย่อมเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แค่นี้ ก็เป็นชัยชนะของแชมป์เปี้ยนอย่างวิเศษสุดแล้ว
จากตำนานเล่มหนา กลายเป็นเสมือน ไร้ตำนาน ที่ปราศจากอะไรให้เล่าขานอีกต่อไป จะเหลือก็แต่เพียง เว้นช่องว่างให้อนุชนทั้งหลาย เข้ามาต่อสายกระแสธาร แสวงหาความหมายของชีวิตผ่านขบวนวิ่งด้วยตัวของพวกเขาเอง
23:56 น. 3 เมษายน 2548
|