ซ้อมไม่ถึงแต่ต้องลงให้ได้ 2

 

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

ในบรรดาความรู้หรือคำแนะนำเกี่ยวกับการวิ่งระยะไกลต่างๆ  จะสามารถยังประโยชน์ให้กับผู้ปฏิบัติได้   ก็ต่อเมื่อผู้นั้นผ่านการฝึกฝนฝึกซ้อมมาในระดับหนึ่ง   การไม่ซ้อม  ต่อให้คำแนะนำจะหรูขนาดไหน  ก็ไม่เอื้อให้ผู้ปฏิบัติได้ผลนัก   อย่าว่าแต่ไม่ซ้อมเลย  การซ้อมน้อย  ผลก็ออกมาม่าน่าประทับใจแล้ว   ความข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดในหมู่นักวิ่งโดยถ้วนทั่ว

 โดยเฉพาะคำแนะนำในสองถึงสามสัปดาห์สุดท้ายเกี่ยวกับการ  Taper  หรือการโหลดคาร์โบจะแทบไม่มีผลใดๆกับผู้นั้นเอาเลยหากปราศจากการเตรียมฝึกซ้อมมาหลายเดือนก่อนหน้านั้น

 ดังนั้นคำแนะนำประการแรกที่ผู้เขียนจะตราไว้  ก็คือ   ท่ามกลางเงื่อนไขไม่สุกงอม  สำหรับเขาผู้นั้น  ไม่ควรลงมาราธอน  อย่าฝืนเพื่อจะให้ได้ชื่อว่าได้ลงได้ผ่านสนาม  ค่าที่ว่ามองไม่เห็นประโยชน์ใดๆอีกทั้งนำความเสื่อมทรุดกับสุขภาพมาให้โดยใช่เหตุ   อย่าถือเอาการลงสนามระยะนี้มาเป็นตัวทดแทนการฝึกซ้อมอย่างที่ได้ยินกันบ่อยๆนั้นเลย   การเอาสนามแข่งเป็นสนามซ้อมในตัว  ทำได้เฉพาะในความเร็วที่ถูกควบคุม  และในระยะเท่ากับที่คาดหมายว่าจะซ้อม  ที่มีข้อบ่งจำเพาะว่าทำไมถึงซ้อมทั้งระยะและความเร็วนี้ในวันนั้น  ไมใชโบรชัว์ลากพาคุณไปซ้อม  มิเช่นนั้น  โบรชัวร์จะซ้อมคุณซะน่วมเบ้าตาเขียวคล้ำบักโกรก  เพื่อให้มันได้อะไรขึ้นมากับความเป็นมาโซคีสต์ของคุณ

 ไม่ว่าคุณจะทำอะไร  ควรมีเป้าหมายว่าเราจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร   ไม่ใช่ทำไปตามแรงเพื่อนชวน   ตามกระแสฮิตในหมู่เพื่อนฝูงเขาลงกันหมด  เลยลงบ้าง  โดยไม่ได้ดูความเป็นตัวเรา   คนเราแตกต่างกันในหลายปัจจัยเหลือเกิน  ไม่ว่าความฟิต , อายุตัว , อายุราชการวิ่ง  ตลอดจนเป้าหมายในชีวิตวิ่งที่ตอบสนองแรงปรารถนาในใจ  ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปเหมือนกันหมดทุกราย

 ในกรณีที่คุณไม่พร้อม   กรณีที่ตัวเองก็รู้ทั้งรู้ว่า  ซ้อมไม่ถึง  ฝึกมาน้อยมาก   แล้วตั้งโจทย์ว่า  “ต้องลงให้ได้”   ขอความกรุณาจงถามตัวคุณเองใหม่ว่า   “ทำไมต้องลงให้ได้”   ถามเอง  ถามอย่างเป็นเหตุผล  คุณจงใช้ความสมเหตุสมผลมาเป็นเครื่องมือ   อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวนำร่องเจ้าเรือน    เมื่อคำตอบที่ทำไมต้องลงมาแล้ว  ให้พิจารณาดูคำตอบนั้นเป็นคำตอบที่เข้าท่าและเมคเซ้นส์หรือเปล่า  หรือเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดิน  วนเวียนกลับไปที่อารมรณ์อยากลงวิ่งเท่านั้น   และให้ถามลงลึกไปเรื่อยๆจากคำตอบที่ได้มา    หลายกรณี  คุณไม่พบเหตุผลใดๆแม้แต่ประการเดียวที่ทำให้คุณทำอย่างนั้น    เราตามใจอัตตาตนเองเหมือนเด็กๆอยากซื้อขนมซองใส่สีที่เป็นอันตราย  ไม่ฟังคำผู้ใหญ่   เราโตแล้ว  ยังเป็นกันเช่นนี้หรือไม่

 ใครที่ตอบว่า   “ก็กูอยากลงน่ะใครจะทำไม”  “ตัวอารมณ์นั้นมันก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งเหมือนกัน”   ล่ะก็   สิ่งที่คุณควรตระหนักรู้ต่อไปด้วยคือ  ผลการกระทำสุ่มเสี่ยงของคุณในครั้งนี้  มันอาจนำสิ่งเลวร้ายใดๆมาสู่ตัวตนอย่างที่เราเองเท่านั้นเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง

 มีตัวอย่างมากมาย  เจ็บมานานหลังจากสนามมาราธอนนั้น  จนบัดนี้หลายเดือนหลายปีแล้วก็ยังไม่หายสนิท   สร้างความอึดอัดกับเจ้าตัวเหลือเกิน  ทำไงจะหาย  หมอไหนก็ไปมาหมดแล้ว  ยาก็กินไม่รู้กี่ขนาน  ไม่เห็นหายเลย(แต่ไม่หยุดวิ่ง)   แล้วให้เหตุผลกับตัวเอง  และคนภายนอกว่า  ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันเจ็บ   มันไม่หายเสียที   ซึ่งผิดทั้งเพ   ที่จริง  เพราะความดื้อรั้น  ดันทุรัง  และไม่เอาเหตุผลเป็นหางเสือนำร่อง   จดจำที่ตัวเองพูดไว้ได้ไหม    ”ก็กูจะลงน่ะใครจะทำไม”    คราวนี้ได้เวลาชำระหนี้ทั้งต้นและดอกมาพร้อมกันแล้ว    ผู้เขียน  กล่าวเช่นนี้เหมือนกับซ้ำเติมคนทำผิดให้จมดิ่งกับความน่าละอายตนเองอย่างไม่ยอมให้ผุดได้เกิด   ซึ่งไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น

 ถึงต้องเตือนกันมา   ต้องเตือนก่อนจะคว่ำ  ไม่ใช่คว่ำแล้วมาเตือน  คว่ำแล้วมันย้อนอดีตไม่ได้   เดินหน้าลูกเดียวเตือนกันทุกปี   เตือนกันทุกหน้าเทศกาลมาราธอน  จนบทบาทความเป็นผู้แนะนำวิ่งมาราธอนของผู้เขียนกลายเป็นผู้ที่แนะนำไม่ให้วิ่ง  แทนที่จะแนะนำให้วิ่งเสียแล้ว   ด้วยว่าคำถามที่ยอดฮิตที่สุดที่ผู้เขียนได้รับก็คือ   จะวิ่งอย่างไรถ้าซ้อมมาน้อย   หรือซ้อมถึงจริงแต่เป็นไปอย่างฮวบฮาบเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

 ให้ย้อนระลึกตรึกตรองเป้าหมายที่คุณเริ่มมาวิ่งเพราะอะไร    “เพื่อสุขภาพใช่หรือไม่”   แล้วทำไมเราถึงกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ  ผิดเพี้ยนไปจากพฤติกรรมที่เอื้อต่อสุขภาวะเช่นนี้   การวิ่งใดๆที่เกินกว่า 5  ก.ม.แล้วไซร้  การนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพแล้วแต่เพื่อการอื่น

 กระทั่งเป้าหมายเพื่อ  Reaching for the stars.  ก็ยังต้องมีขั้นตอนปฏิบัติอย่างสมเหตุสมผล  ไม่ใช่ลุกขึ้นพรวดพราดบอกฉันจะมุ่งไปดาวพลูโต  ทั้งที่มีแต่มือเปล่า   เพียงแค่ไม่พ้นบรรยากาศโลก  ยานก็จะแตกสลายเป็นจุณ   ขับรถปกติยังไม่ชำนาญเลย  จะลงฟอร์มูล่าวันแล้ว   ถ้าการทำอย่างผิดๆแล้วไม่มีอันตรายเป็นเครื่องพ่วงมาจะไม่ว่าอะไรเลย  แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น

 ในบรรดานักวิ่งที่จำนวนไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฐานประชากรไทย   ในหลายปีที่ผ่านมา  ทั้งๆที่มีนักวิ่งใหม่เข้ามาสมทบทุกเดือนทุกปี  จาก  Running Boom  เมื่อวิ่งลอยฟ้า  22  พฤศจิกายน  2530  ป่านนี้บ้านเราน่าจะมีนักวิ่งเรือนหลายสิบล้านคนแล้ว  แต่ความเป็นจริงไม่ได้ขยับเพิ่มไปไหนเลย   ไม่ใช่นักวิ่งแนวหน้าฝึกความเร็วเท่านั้นที่หายไป   แต่นักวิ่งแนวหลังก็หายไปด้วยเพราะการปฏิบัติตัวที่ผิดๆถึงกับเลิกวิ่งไปเลย   คนใหม่เข้ามาพร้อมๆกับคนเก่าที่หายไป  ไม่สามารถเป็นนักวิ่งตลอดอายุขัยได้   น้ำที่ใส่โอ่งอยู่ทุกวันแต่ไม่มีวันเปี่ยมเพราะก้นโอ่งรั่วออกอย่างนี้เอง   ผลตามมาวงการจึงไม่สามารถผลักดันการวิ่งให้แพร่หลายได้  ไม่สามารถผลักดันสนามมาราธอนบ้านเราให้เป็นสนามอินเตอร์ได้อย่างแท้จริงโดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนให้เป็นงานประจำปีของชาติ   เนื่องจากเพราะสำนึกมวลชนไม่มีนั่นเอง   สำนึกที่มีไม่พอเพราะจำนวนนักวิ่งมีน้อยนิดเมื่อเทียบกับฐานประชากรนั้นเอง

 ก่อนหน้ามาราธอนหลายเดือน  ไม่เห็นมีใครมาถามผู้เขียนเลย  จะเริ่มฝึกอย่างไร   แต่จะมาเร่งรัดให้ตอบก่อนถึงกำหนดวันเพียงสามสัปดาห์   พวกเราประเมินมาราธอนที่มันกระทำกับร่างกายเราต่ำกว่าที่เป็นจริงมาก   การไม่ได้รับความบาดเจ็บใดๆจากลงสนาม  แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้วิ่งที่ซ้อมไม่ถึงจะไม่ได้รับผลร้ายจากมาราธอนคราวนั้น   พวกเรามองไม่เห็นมูลค่าที่แท้จริงที่จ่ายไปเพื่อแลกกับเหรียญอันนั้นมา

 ขอย้ำเพื่อให้เป็นที่เข้าใจว่าเป้าหมายการจัดมาราธอนประการหนึ่งก็เพื่อเป็นการนัดหมายมาวิ่งระยะทางไกล(ที่ฝึกมา)มาวิ่งพร้อมๆกันทั้งเพื่อการแข่งขันและความสนุกสนาน  โดยที่เจ้าตัวต้องู้ระดับความสามารถและรับผิดชอบความเสียหายอันอาจเกิดกับตัวเองด้วย  ดังข้อกำหนดในใบสมัครเขียนไว้ก่อนลงลายเซ็นต์จ่ายเงินค่าวิ่ง   ไม่ใช่เป็นธรรมเนียมที่เมื่อสนามครบวาระมาถึงแล้ว  นักวิ่งถูกระดมพลดังออกสนามรบ  ไม่ออกไม่ได้

 ดังนั้นนักวิ่งใดที่เข้าข่ายที่ผู้เขียนพรรณามาทั้งหมด  สมควรอย่างยิ่งที่จะคิดทบทวนอย่างรอบคอบเสียก่อน   จะเป็นไปได้ดังนี้ก็ต่อเมื่อพวกเราผ่านการประเมินทัศนคติเกี่ยวกับโลกทัศน์ในการวิ่งที่มีต่อตัวตนอยู่อย่างสม่ำเสมอ.

 

 22.25  น.

26  ตุลาคม  2550