เพิ่งจะเริ่มแข่ง 2
โดย กฤตย์ ทองคง
ตามที่กล่าว 8 ประการในตอนที่หนึ่ง เป็นข้อพึงปฏิบัติทั่วๆไปพื้นฐานสำหรับใครที่รักการวิ่งเร็ว บางคนอาจมองเรื่องนี้ว่า น่าจะรู้ๆกันอยู่แล้ว แต่เท่าที่ดูๆไป หลายคนยังไม่แจ่มแจ้งเรื่องพวกนี้ ที่เคยคิดกันว่าน่าจะรู้ๆกันก็กลายเป็น ไม่ได้รู้กันทุกคน เลยต้องจารไว้ให้ปรากฏ
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในอีกก้าวต่อไป เพื่อความเป็นนักแข่งที่ดีและประสบความสำเร็จ
9) ทำจิตใจให้สงบสบายไม่วิตกกังวล
เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก การใกล้เวลาสตาร์ทเข้ามา ความสามารถควบคุมอารมณ์และจิตใจมักเฉออกนอกรางโดยไม่รู้ตัว สามารถเช็คได้จากอัตราชีพจรและกระแสลมปราณ ยังไม่ทันจะวิ่งเลยแค่อยู่ในซองสตาร์ทก็ตื่นทั้งตัวตื่นทั้งใจกับสถานที่และผู้คน ไหนจะแสง , สี , เสียง Spectacular surround หัวใจเต้นไปคอยล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ปล่อยตัววิ่งไปได้แป๊บเดียว ก็เหนื่อยมาก นักวิ่งอาจจะแปลกใจว่าทำไมเป็นเช่นนี้ จึงยิ่งกดแรงขึ้นไปอีก สถานการณ์จึงยิ่งไปกันใหญ่
คงไม่มีคำแนะนำสำเร็จรูปให้แต่ละราย เพียงแต่บอกให้รู้ๆกันว่าที่วางแผนตั้งใจไว้ว่าจะไม่ตื่นเต้น พอวิ่งจริงอาจไม่เป็นไปตามนั้น ดังนั้นการเตือนตัวเองอยู่เป็นระยะๆอย่างไม่ประมาท มีความรู้เท่าทันตนเอง (Self Awareness) ย่อมช่วยได้บ้างระดับหนึ่ง
การที่มีประสบการณ์ไปสนามแข่งบ่อยเข้า ก็ทำลายความหน้าใหม่ไปได้ด้วยจำนวนครั้งของการลงทะเบียนสมัครวิ่ง ย่อมจะทำให้เรื่องวิตกเหล่านั้นเจือจางลง
จำไว้ว่า ไม่มีอะไรเลยที่จะทำได้ดีในครั้งแรก หรือเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการคัดลายมือ , การวาดภาพเขียน , ความแม่นยำยิงปืนหรือแม้กระทั่ง Sex เราเพียงแต่หวังว่า ขั้นตอนที่เรากำลังพยายามทำอยู่ จะเป็นบันไดให้เราเรียนรู้ ปรับปรุงแก้ไขไปเรื่อยๆ อย่าพยายามเร่งรัดให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเรา
10) ตำแหน่งที่ยืนการออกสตาร์ท
ควรเป็นแถวสองหรือแถวที่สามน่าจะดีที่สุด บางท่านอาจเห็นตำราอื่นหรือแม้แต่ของผู้เขียนเองเคยแนะนำให้อยู่หลังๆเข้าไว้ แต่นั่นเป็นคำแนะนำสำหรับผู้ไม่คาดหวังความเร็วและยังหน้าใหม่ ให้ปลอดพ้นจากการสะดุด , ถูกเหยียบ และป้องกันตัวเองในการแห่ตามเขาไปด้วยความเร็ว
แต่คำแนะนำในที่นี้เป็นสำหรับนักแข่งหน้าใหม่ที่รักความเร็ว ปรารถนา PR. ใหม่ (Personal record) เพื่อบันทึกและพากพูมใจ การที่คุณอยู่ข้างหลัง ย่อมทำให้สูญเสียเวลาไปจำนวนหนึ่งแน่นอน แต่การอยู่แถวหน้าสุด ก็ยังไม่จำเป็นไปซีเรียสขนาดนั้น สามแถวแรกแทบจะไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ใครจะแย่งแถวแรกก็ให้เขาไปดีกว่า การเบียดแทรกไปอยู่ที่ไม่ห่างมากนักจากแถวแรกคงไม่ยากนัก
11) การออกตัว
ควรเป็นไปอย่างพอประมาณ ไม่ช้าและไม่เร็ว เคยแนะนำให้ช้า นั้นเป็นทฤษฎีของการใช้พลังงานว่าด้วยการร่ายมนต์เรียกไขมัน ในกรณีแข่งขันที่ต้องแข่งกันเอาไขมันออกมาใช้โดยเร็ว ย่อมแตกต่างออกไป
จึงควรเตรียมพร้อมการวิ่งอย่างดีให้รอบคอบด้วยการวอร์มก่อนเข้าซองสตาร์ท น่าจะนานราว 20 30 นาที เพื่อให้ร่างกาย ลอย เสียก่อน แข้งขาที่เคยฝืดๆตั้งแต่ตอนตื่นนอนจะได้หายไป
ทำเช่นนี้เพื่อให้ตอนออกตัว ผู้วิ่งสามารถเข้า Pace ได้เลย หรืออาจจะช้ากว่า Pace เล็กน้อย ความเป็นจริงมีอยู่ว่า หากเราออกช้าตามทฤษฎีการวิ่งระยะไกล เราอาจได้เวลารวมจากสนามที่ไม่ดีนัก กว่าจะลอย เราจะควบตามไปไม่ทัน เราจึงดึงเอา Pace ช้าในตอนต้นออกไปจากการแข่งขันเสีย ด้วยการวอร์มนั่นเอง
คนอื่นๆส่วนมากจะพุ่งปราดออกไปด้วยความเร็วมาก เมื่อเสียงฆ้องลั่น ภายในไม่กี่วินาทีนี้ ขอให้คุณโฟกัสจิตใจที่จะดูแลควบคุมความเร็วของตัวเอง อย่าตามเขาไปเป็นอันขาด ในจำนวนที่คุณเห็นพรวดๆออกไป มีไม่ถึง 10% ของทั้งหมดที่เหลือสามารถครองความเร็วได้ นอกนั้นตกเร็วหมด ใครอ่อนฟิตกว่าก็ตกเร็วมาก ใครที่แน่นหน่อยก็ตกช้า ล้วยตกเร็วกันเกือบทั้งหมด ไม่มีใครที่ฝืนธรรมชาติได้
ขอเพียงแต่เราอย่าไปอยู่ในกลุ่มพรวดพราดนั้นก็แล้วกัน และหากกล่าวถึงความเร็วที่พอดีตรงนี้ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกหัดจากการทดลองที่เป็นตัวของคุณเองผ่านประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า
12) ความเร็วในการวิ่งแข่งขัน
เช่นเดียวกับความพอดีในการออกตัว เราต้องจำได้หมายรู้จากการฝึกซ้อมว่า ในวันซ้อมวิ่ง Tempo เราสามารถวิ่งได้ความเร็วประมาณกี่นาทีต่อ 1 กิโลเมตร ในระยะเวลาเกิน 20 นาทีอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วที่ไม่ตก ใครที่ซ้อมอยู่ อย่าสักแต่วิ่งๆไป ต้องใช้นาฬิกาและจับเวลาทุกครั้งให้รู้ระดับความเป็นตัวของตัวเราด้วย
จับเวลาเพื่อให้รู้ว่า Tempo เราวิ่งได้เท่าไร
จับเวลาเพื่อให้รู้ว่า วิ่ง LSD ของเราได้เท่าไร
จับเวลาเพื่อให้รู้ว่าวิ่งคอร์ท 400 , 800 , เมตร ของเราได้เท่าไร
จากตัวเลขเหล่านี้เอง จะทำให้เรากำหนดค่าความเร็วในการแข่งขันโดยประมาณการได้
และจากหลักการเดียวกัน รายที่มีเครื่อง Heart rate monitor ใช้เราก็สามารถหาค่าชีพจรขณะวิ่งได้เช่นกันจากการฝึกซ้อม
ความเป็นคนช่างสังเกตในปัจจัยต่างๆเหล่านี้เอง ทำให้เราสามารถสังเกตได้ล่วงหน้าโดยไวว่าชั่วขณะนั้นได้มีสิ่งผิดปกติใดๆเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ เช่น ได้ระยะทางต่อกิโลเมตรเท่ากันกับตอนฝึกซ้อมแต่ทำไมถึงเหนื่อยมากขึ้น หรือระยะทางที่ได้ในอัตราชีพจรเดิมถึงน้อยลงเป็นต้น
ความช่างสังเกตเหล่านี้ น่าจะช่วยให้พวกเรารอดชีวิตจากความผิดปกติต่างๆได้
ผู้เขียนเชื่อว่า นักวิ่งที่เสียชีวิตขณะวิ่ง ย่อมมีสัญญาณเตือนอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ แต่เจ้าตัวอาจไม่สังเกต ไม่พัฒนาความรู้เท่าทันหรือกระทั่งอาจเพิกเฉย ครั้งแล้วครั้งเล่า
13) อย่าใจร้อน อย่าใช้อารมณ์วิ่ง ใช้สมองไตร่ตรอง
ก็เหมือนกับมวยนั่นแหละ บางครั้งการจะต่อยได้ดี ผู้อยู่ในสังเวียนจะต้องร่ายมนต์เรียกโทสะจริตหรือความก้าวร้าวบ้างเพื่อผลออกมาได้พลัง แต่การใช้อารมณ์มากเกินไป ก็พาความผิดพลาดมหันต์มาสู่เราได้เหมือนกัน
เราจำต้องรู้มันตัวเองเสมอ เราเป็นคนไวต่อเรื่องอะไร ให้ระวังเรื่องเหล่านั้นเป็นพิเศษ ทุกอย่างที่ผ่านมาและออกไปจะต้องอยู่ในความควบคุมให้ได้ เช่น พอใครแซงเรา เป็นไม่ได้ ต้องเอาคืน เราเป็นนักวิ่งที่มีนิสัยเช่นนี้หรือเปล่า เรากำลังเข้าทางคู่ประกบที่กำลังต้อนเราลงเหวก็เป็นไปได้
เชิงมวยยังมี เชิงวิ่งก็ต้องมี เขากำลังออกเทคนิคกลยุทธ์ลากและดึงให้เราหมดสิ้นพลังไปกับความล้า ก่อนที่จะเชือดนิ่มๆหน่าเส้นชัยหรือเปล่า
ดังนั้น ให้จดจ่ออยู่กับแผนการณ์วิ่งที่เราดีไซน์มาว่าวันนี้จะวิ่งอย่างไร การสังเกตปฏิกิริยาคู่ประกบมีความจำเป็นแค่ปัจจัยประกอบเท่านั้น
14) อย่าตื่นแชมป์
ที่กล่าวว่าให้วิ่งแข่งกับตัวเอง อย่าคิดเทียบเคียงเรากับผู้อื่นนั้นถูกต้องอยู่ แต่ในทางปฏิบัติมีบางคนหรือบางครั้ง การมีคู่ประกบที่เหมาะสม ก็อาจช่วยให้เราวิ่งได้ดีขึ้น ไม่แน่เสมอไปว่าบรรยากาศการแข่งขันจะทำให้เครียดเพิ่มแรงวิตกกังวลและถ่วงให้วิ่งได้ไม่ดีเสมอไป ตราบใดที่ปรากฏว่า สถานการณ์แข่งขันมันให้ผลทางบวกกับเราแล้วล่ะก็ ไม่ต้องลังเลที่จะนำมันมาให้เป็นประโยชน์กับเราในทันที และทางกลับกันหากมันก่อผลลบในด้านตรงข้าม เราก็ควรหลีกเลี่ยง
แม้กระทั่งในรายเดียวกัน แต่ต่างวาระการแข่งขัน ก็อาจให้ผลอีกด้านคนละมุมได้เหมือนกัน เราต้องไหวทันตลอดเวลาว่าเรากำลังตกอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์ใด จะได้จัดการอย่างเหมาะสม
การที่เราพัฒนาฝีเท้าขึ้นและเห็นคู่ประกบรายใหม่ที่เขาเคยเป็นแชมป์ อาจมีผลทำให้เราเกิดความปั่นป่วน ลังเล เป็นในลักษณะสองด้าน ด้านหนึ่ง ปอดแชมป์ ยังผลให้ฝ่อไปเลย วิ่งไม่ออก กับอีกด้าน คือฮึกเหิม ลุยแหลก ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและเกื้อหนุนให้คุณวิ่งได้ดีในทั้งสองสถานการณ์ ตรงกันข้าม การ Stay Cool พยายามสงบเข้าไว้ เสมือนหนึ่งไม่มีเขา อย่าให้การปรากฏตัวของใครทำให้แผนวิ่งของเราเรรวนเป็นอันขาด
15) วิเคราะห์คู่ประกบ
ใช่แล้ว , การวิ่งแข่งกับตัวเองย่อมถูกเสมอ แต่ตราบใด ถ้าการตัดสินในการแข่งขันถือว่า ใครวิ่งได้เร็วเข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ นักวิ่งก็ต้องศึกษาคู่แข่งขันให้รู้จักไว้ พอกับการที่เราย่อมรู้จักตนเอง
ประสบการณ์วิ่งมีกันมาพอสมควร คู่ประกบที่เราเจอกันบ่อยๆในครึ่งหลังสนามชื่ออะไร เป็นคนมาจากไหน ถนัดสั้นหรือถนัดยาว เราต้องรู้ธรรมชาติเขาไว้ ถนัดสั้นหมายความว่า ถ้าเป็นการแข่งขันระยะสั้นเขาจะวิ่งได้ดี แต่ถ้าระยะยาวแล้วปลายจะเหี่ยว ส่วนถนัดยาวคือ เป็นคนที่วิ่งได้อึดทน แม้จะไม่เร็วนัก ถ้าเขาถนัดสั้น เราอย่าไล่ ปล่อยเขาไปเดี๋ยวหมดเอง ความเร็วที่เขาก่อสร้างขึ้นมาจะหันกลับไปทำร้ายตัวเขา และหากเขาถนัดยาวให้เราประกบหลังไว้ และ Surge เป็นช่วงๆ (อ่านบทความ Surge ของผู้เขียนประกอบด้วย)
เราควรรู้จักเขาให้มากขึ้นว่าสนามอื่นๆในอดีตเราเคยชนะเขามาบ้างหรือไม่ หรือเป็นในทำนองกลับกัน เราเคยเร็วกว่าเข แล้วปัจจุบันเขาเป็นดาวรุ่งขึ้นมาทาบรัศมี ข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยเราในเทคนิคแข่งขันต่างๆ งัดเอากลยุทธ ฉีก , หนี , ตาม , ไล่ ได้เหมาะสมกับความเป็นแต่ละรายต่อไป
16) ใจต้องแกร่งตามร่างกายด้วย
ในกระบวนวรยุทธต่างๆจะใช้แต่พลังที่หนักหน่วงกว่าทุ่มโถมเอาชนะลูกเดียวหาได้ไม่ การวิ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน ผู้วิ่งสมควรมีความแข็งแกร่งของจิตใจที่ไม่แพ้ร่างกายถึงจะเป็นยอดคน ซึ่งการที่จิตใจจะเข้มแข็งเยี่ยงนี้การต้องการการฝึกฝนด้วย ไม่ใช่ใครจะแกร่งมาแต่ต้น
ผู้เขียนแนะนำเสมอให้ผู้ที่มาฝึกเป็นตัวของตัวเองให้ได้ อย่าฝึกกับสหายวิ่งจนติดกันแกะไม่ออก เพื่อนไม่มาวิ่งไม่เป็น วิ่งกลางคืนไม่ได้กลัวผี วิ่งตากฝนไม่ได้กลัวฟ้าผ่า สารพัด Just a little bit to something แต่ละอย่างล้วนอุตส่าห์คิดค้นเหตุผลมาได้ทั้งนั้นไม่อย่างโง้นก็อย่างงี้ ล้วนแล้วแต่ตรงกันหมด คือเหตุผลที่ลดทอนการฝึกฝนและไม่ให้ความสำคัญต่อฝึกฝนจิตใจลง
สิ่งเหล่านี้ พวกเราอย่านึกว่าไม่มีผลนะ มีครับ การอยู่กับตัวเองไม่ได้เมื่อกลางเส้นทางแข่งขัน เมื่อเพื่อนนักวิ่งข้างหน้าห่างไกล ข้างหลังก็ทิ้งช่วง วิ่งอยู่คนเดียว ความเร็วจะตกลงโดยอัตโนมัติ ขาดการฝึกทักษะผลักดันตัวเองต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมอื่นเป็นตัวกระตุ้นเร้า สูญเสียการควบคุมตนเอง ในเมื่อสั่งจิตใจยังไม่ได้ แล้วจะสั่งร่างกายได้อย่างไร
เมื่อหลีกเลี่ยงทุกครั้งที่ฝนตกขณะซ้อม นอกจากแผนซ้อมจะถอยร่นไม่เป็นกระบวนทุกฤดูฝนแล้ว นักวิ่งก็ไม่สามารถห้ามสายฝนมิให้โปรยปรายในสนามแข่งได้เช่นกัน แค่ลงเม็ด ใจก็คิดว่า เราจะวิ่งได้ลำบากแน่ เราจะช้าลงแหง๋ๆ พอเฝ้าคิดเช่นนี้ก็เลยเป็นเช่นนั้ไปจริงๆ
17) มีน้ำใจนักกีฬา
ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร เราก็ต้องโอเค ไม่ใช่ต้องเก็บงำความรู้สึก ไม่ใช่อย่างนั้น แม้ตัวเราจะรู้สึกอยู่ภายในว่าต้องอดทนก็ถือว่าผิดพลาด ควรปรับปรุงตัวเองแล้ว จำเนื้อเพลง กราวกีฬา ได้ไหม มีท่อนหนึ่งที่บอกว่า แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน นั่นแหละใช่เลย ใครจะเก่งวิ่งขึ้นมา จนแซงเราได้ (ถ้าไม่ได้โกงนะ) ก็ย่อมต้องถือว่า เขาไม่ธรรมดา ต้องขอดูหน้า ต้องรู้จักชื่อ ต้องขอจับมือและคารวะอยู่ในใจ
18) อย่าประมาท
มองให้รอบ ไม่ใช่มองแต่ข้างหน้า ให้มองข้างหลังด้วย ทั้งในความหมายขณะวิ่งแข่งขัน อย่าคิดแต่จะแซงเขาลูกเดียว มีโอกาสที่เราจะถูกแซงด้วยเสมอ และในความหมายว่า นักวิ่งดาวรุ่งตั้งใจฝึกฝนดีจริง จนได้อันดับที่ดีกว่าเรา อย่านึกเป็นอันขาดว่านายคนนั้นเป็นเด็กวานซืน กาลเวลาผ่านไปเขาฝึกฝนจนแกร่งผิดหูผิดตาแต่เราย่ำอยู่กับที่ มันจึงกลายเป็นอย่างที่เห็น
อย่าประมาท ตราบใดที่ยังไม่เข้าเส้นชัย อะไรย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ แต้มนำอยู่ดีๆ ขาวเปลี่ยนลบเจ็ดเฉยเลย เพื่อนเช็ดดำลงหลุมปิดเกม ตั้งตัวแทบไม่ทัน ทำใจลำบาก ติดนำอยู่แล้วตะคิวล่อโลสุดท้าย รูดไปอยู่กันดับที่สิบเอ็ด
อย่าประมาท ไม่ใช่แต่เรื่องวิ่งเท่านั้น ทุกเรื่องเลยพระสอนไว้ แค่กระพริบตาคอขาดกระเด็น กระบี่ยังไม่ทันชัก ต่อให้เป็นอาวุธข้างกายศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าสำนักประทานมาก็ช่วยเจ้าไม่ได้หากเผลอ คอที่ขาดแล้วขาดเลย ต่อไม่ติด กรวดน้ำลูกเดียว
19) พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา
วิ่งอย่างไรให้ได้ดี ปฏิบัติอย่างไรจะเป็นการป้องกันความบาดเจ็บหรือล้มเหลว รวบรวมจัดระบบเป็นหมวดหมู่และบอกต่อเพื่อนๆอย่าหวงไว้กับตัว เพื่อนๆจะวิ่งได้ดีโดยลองถูกลองผิดน้อยลง วงการจะเจริญก้าวหน้า
13 ตุลาคม 2550
23.00 น.