<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_first_half_penang.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> Half แรกที่ Penang

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 46 <% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

Half แรกที่ Penang

 

โดย.....OTTO

 

เป็นการวิ่งยาวครั้งแรกระยะ Half Marathon ที่สนาม International Penang Bridge Run 2003 ประเทศมาเลเซีย วันที่ 8 มิถุนายน 2003

ผมเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ เริ่มวิ่งครั้งแรกเมื่ออายุขยับมาที่ 42 ปี หรือปีกว่าๆ ที่ผ่านมา จากงานวิ่งครั้งแรก UN Day ครั้งที่ 19 เมื่อปี 2001 ผมก็หลงใหลกับการวิ่งมาตลอด ลงสนามแข่ง 2 - 3 สนามต่อเดือน ไม่เคยติดอันดับ ลองคิดขยับมาวิ่ง Half Marathon ดูบ้าง แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ จะกระทั่งได้รับแผ่นพับจากคุณนิพนธ์ จาก NP Tour จัดพานักวิ่งไปลงแข่ง ที่ Penang และคุณนิพนธ์ โทรมาสอบถามบ่อยมาก ทำให้ผมใจอ่อน ทั้งที่กลัวสุดๆ จะวิ่งเกินเวลาที่กำหนด

เหลือเวลาอีก 4 สัปดาห์ ผมจึงจัดตารางฝึกซ้อมเองแบบง่ายๆ คือวิ่ง 8 กม. ในวันจันทร์ ,อังคาร, พุธ วันพฤหัสฯ ฝึกความเร็วซึ่งเอาวิธีการมาจาก Thairunning.com/Developrunning.Asp เพื่อนนักวิ่งลองเข้าไปดูสิครับดีมาก ส่วนวันศุกร์หยุด วันเสาร์วิ่งยาว 16 กม. และครอสเทรนนิ่งส์ ในวันอาทิตย์

รสบัสปรับอากาศพาคณะนักวิ่งรวม 38 ชีวิต ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เย็นวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2003 ส่วนใหญ่จะเป็นนักวิ่งอาวุโสและนักวิ่งระดับแนวหน้า จากชมรมพระราม 9 ซึ่งมีเพียงผมกับนักวิ่งจากชมรมอ้อมใหญ่ไม่กี่คนที่เป็นนักวิ่งหน้าใหม่ คณะเรามาถึงหาดใหญ่เช้าวันที่ 7 มิถุนายน 2003 และถูกแบ่งขึ้นรถตู้ 4 คัน ซึ่งคันผมเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ล้วนๆ ที่ยังไม่เคยลงสนามระยะ Half มาเลย โชคดีที่มีคู่หู คู่คุย คือเจ๊หมา กับเจ๊ไฝ (คุณป้าสมพิศ ฮิวการ์ดเนอร์ ) มาช่วยสร้างบรรยากาศ และแนะเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ให้กับน้องผู้ด้อยประสบการณ์ จากหาดใหญ่ถึง Penang ทั้งขาไปและขากลับ

จากหาดใหญ่เราข้ามแดนเข้ามาเลเซีย จนถึง Penang ใช้เวลา 3 ชั่วโมง รถเริ่มขึ้นสะพานข้ามไปเกาะ Penang ซึ่งเป็นสะพานยาว 10 กม. และเป็นเส้นทางการแข่งขันด้วย มองเห็นเกาะ Penang ลางๆ ข้างหน้า ซึ่งเจ้าภาพใช้โฆษณางานวิ่งว่า

“The Largest Run on the Longest Bridge in Asia” ถึงสนามแข่งพวกเราสมัครลงวิ่ง Full Marathon 4 คน ที่เหลือลง Half Marathon 22.3 กม. ส่วน Mini Marathon ที่มาเลเซียเขาให้เฉพาะนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ลงเท่านั้น

คณะเราเข้าที่พักที่โรงแรมห้องละ 2 คน ซึ่งผมถูกให้พักกับนักวิ่งแนวหน้าเห็นเค้าเตรียมตัวลงวิ่งแล้วทำให้เราเกร็งมากขึ้น

(เป็นการพูดคุย และสังเกตุเห็นนักวิ่งแนวหน้าท่านหนึ่งที่ติดอันดับต้นๆ ของระยะ Half Marathon ในงานวิ่งที่ Penang ซึ่งผมเพิ่งรู้ว่า นักวิ่งระดับแนวหน้าบางคนจะไม่สังกัดชมรมใดโดยเฉพาะ แล้วแต่ว่างานใหน ชมรมใดจะ Sponser ให้ เพื่อวัตถุประสงค์ใด

ผมในฐานะนักวิ่งแนวหลังได้มีโอกาสพักรวมกับนักวิ่งแนวหน้าเพียงแค่คืนเดียว ได้รับคำแนะนำจากท่านมากมาย ท่านเป็นคนสุภาพ ให้เกียรติเรามาก ท่านบอกว่า รุ่นเดียวกับท่านเป็นนักวิ่งล่ารางวัลกันหมดแล้ว ส่วนท่านมีภาระมากมายทำให้มีเวลานัอยมากในการซ้อม ท่านจึงซ้อมเข้มในแต่ละวันเพียงครึ่งชั่วโมง แต่จะหนักเท่าคนปกติซ้อม 1-2 ชั่วโมง

วันก่อนลงสนามแข่งท่านทานอาหารมากโดยเฉพาะอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรต และน้ำ เห็นท่านทานบะจ่างได้ถึง 2-3 ลูก (ช่วงนั้นน่าจะเป็นเทศกาลเพราะเห็นที่ตลาดมีขายมาก) รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลัง ไม่รวมถึงอาหารมื้อปกติ ท่านบอกว่าถ้าสนามใหนเครียดมาก (คู่แข่ง และรางวัลมาก) นักวิ่งบางคนจะมีอาการท็องเสีย จะทานยาแก้ท้องเสียก่อนนอน นักวิ่งแนวหน้าหลายคน และนักวิ่งทีมชาติบางคนก็ใช้วิธีนี้ และแนะว่านักวิ่งหน้าใหม่คืนก่อนลงสนามแข่งมักจะนอนไม่หลับ ให้ทานยาแก้ปวด แก้ไข้ประเภท ทิฟฟี่ หรือดีโคลเจน จะทำให้หลับสบายรวดเดียวจนเสียงนาฬิกาปลุก ให้ทานดื่มน้ำมากๆ ก่อนนอน และหลังตื่นนอน อย่างน้อยตื่นมาฉี่ออกมาแค่ไหน ก็ให้ดื่มน้ำไปแค่นั้น วิธีนี้ถ้าใครไม่เคย อย่าทำเป็นครั้งแรกในวันก่อนลงสนามแข่ง อาจจะจุกได้ ต้องฝึกดื่มน้ำในขณะซ้อมมาก่อน และหากวิ่งถึงระยะท้ายๆ หากไม่ไหวอย่าเดิน แต่ให้วิ่งแผ่วลง แม้จะช้ากว่าเดินก็ตาม พอคลายความเหนื่อยให้วิ่งระดับเดิมต่อ หากหยุดเดินสักครั้งจะหยุดเดินอีกหลายครั้งกว่าจะเข้าเส้น

เช้าวันแข่งท่านจะตื่นนอนก่อนนาฬิกาปลุกร่วม 1 ชั่วโมง อาบน้ำเสร็จเห็นท่านใส่ชุดวิ่งเรียบร้อย เตรียมอุปกรณ์ง่วนอยู่พักใหญ่ และกลับมานอนที่เตียงลักษณะเหมือนทำสมาธิ ได้เวลานัดท่านนำแผ่นผ้าพลาสเตอร์ ชึ่งท่านเรียกว่าอะไรผมนึกไม่ออกเป็นชิ้นๆ แผ่นหนาท่าทางเหนียวมากด้วย ติดลงไปที่นิ้วเท้าทุกนิ้ว โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้าทั้งช้าย และขวา ท่านบอกว่าท่านชอบใส่รองเท้าพื้นบาง และเบา วิ่งช้าไม่เป็น หากไม่ติดเท้าจะใหม้

ก่อนออกจากห้องท่านจะดื่มน้ำอีก สังเกตุว่าจะดื่มน้ำมาก เห็นเตรียมมาในห้องหลายขวด และเห็นนักวิ่งแนวหน้าคนอื่นๆ ก็เตรียมตัวคล้ายกัน ก่อนเข้า Check In ยังเห็นท่านเคี้ยว Power Bar แต่ไม่หมดแท่ง เดินไปทักทายคนโน้นคนนี้ที ไม่ได้ Warm มากแบบเรา

และนี่คือสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นการเตรียมความพร้อมก่อนการลงสนามแข่ง จากการที่ได้ทีโอกาสเข้าไปคลุกคลีกับนักวิ่งแนวหน้าในระยะสั้นๆ ชึ่งคงเป็นวิธีหนึ่งจากหลายๆ วิธี หากเพื่อนนักวิ่งท่านใดเคยเห็นวิธีการเตรียมความพร้อมก่อนลงสนามแข่งของนักวิ่งแนวหน้าที่ต่างไปจากนี้ ส่งมาให้นักวิ่งแนวหลังอย่างเราได้อ่านบ้างนะครับ)

คณะเราทานอาหารค่ำ บางคนเดินหาซื้อรองเท้าวิ่ง(ราคาถูกกว่าบ้านเรามาก) กว่าจะเข้าที่พักได้ร่วม 5 ทุ่ม นอนแค่ 3 ชั่วโมง ต้องออกจากโรงแรมตี 2 ครึ่ง เพราะผมติดรถไปกับนักวิ่ง Full Marathon ซึ่งสตาร์ทตี 4 (เวลาที่ Malasia เร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง) การจราจรรอบจุด Start ถูกปิดหมด 100% เราต้องเดินจากจุดจอดรถไปจุด Check in เกือบ 2 กม. ได้ยินโฆษกประกาศต้อนรับนักวิ่งระดับอินเตอร์ที่มาร่วมวิ่ง ซึ่งรวมถึงบุญชู จากไทยแลนด์ด้วย งานนี้มีนักวิ่งจากประเทศไทยมาร่วมวิ่งดูจากเสื้อชมรมแล้วกะประมาณร่วม 200 คน

และเช้าก่อนการแข่งขันก็เกิดเหตุการณ์ที่เกือบจะไม่ได้ลงวิ่งคือเกิดอาการท้องเสีย ทั้งที่ทานอาหารอย่างเดียวกับนักวิ่งคนอื่นๆ ทุกมื้อ และต้องเข้าห้องน้ำครั้งที่ 2 เมื่อแต่งตัวแล้วและลงมาที่ Lobby ของโรงแรม คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว ขณะที่ทางสนามประกาศให้นักวิ่งระยะ Half Marathon เข้า Check in ท้องเจ้ากรรมเริ่มอาละวาดอีกคราวนี้มาหนัก หากเข้า Check in จะไม่มีห้องน้ำแน่ๆ หันซ้ายหันขวาเห็นโรงเรียนมัธยมด้านหน้า ซึ่งเป็นค่ายพักแรมของนักวิ่งจากต่างจังหวัด ถามหา Toilet หลายคนชี้ทางเดียวกัน.......เดินไกลมาก.... มีคนเข้าแถวกันยาวมาก มันจะลาดอยู่แล้ว พูดภาษาก็ไม่รู้เรื่อง เลยทำมือทำไม้ข้าไม่ไหวแล้วนะ.......ขอแซงคิวก่อน ซึ่งเค้าก็ใจดีจริงๆ ทั้งที่หนักเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่มายืนต่อแถวยาวหรอก

เรียบร้อยเป็นครั้งที่ 3 รู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยยังพอทน จึงยื่นบัตรแสดงตนเข้า Check in และถูกต้อนไปคอกเก็บตัวก่อนปล่อย Start ขณะอยู่ในคอกเก็บตัวอาการปั่นป่วนที่ท้องมาอีกแล้ว ในใจคิดจะทำอย่างไรดีหนอ ?…… มือไปคลำเจอของขลังที่พกไปด้วยอยู่ในกางเกงวิ่งใช้ที่พึ่งทางใจ ยกมือท่วมหัวเลย ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถ้าหากไม่หยุดจะปล่อยให้มันไหลเลอะเทอะคากางเกงตลอดเส้นทางวิ่งเลย ไม่รู้จักใครก็ไม่รู้จะอายใคร

ได้เวลาเจ้าหน้าที่เปิดประตูปล่อยนักวิ่ง ซึ่งจะต้องเดินไปอีก 800 เมตร จึงถึงจุด Start ตี 5 ตรง สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้นดันหลังกันสักพักจึงพอขยับวิ่งได้ นักวิ่งเยอะมาก เฉพาะ Half เป็นหมื่นคน แยกปล่อย Half ชาย ตี 5 Half หญิง ปล่อยตี 5 ครึ่งออกจากจุด Start วิ่งขึ้นวงแหวน 2 - 3 วง ก่อนขึ้นสะพาน ซึ่งสะพาน Penang นี้ยาว 10 กม. นักวิ่งจะต้องวิ่งไปกลับรวม 20 กม. พระเจ้าช่วยอาการปวดท้องหายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ออก Start ....... สะพาน Penang นี้วิ่งไปได้เรื่อยๆ เพราะเป็นแนวราบธรรมดาในส่วนหัวและท้าย จะเป็นแนวโค้งสูงไปเรื่อยๆ ช่วงกลางสะพานประมาณ 3 - 4 กม. ถึงจุดนี้นักวิ่งเริ่มเดินขึ้นกันแล้ว ส่วนผมยังวิ่งได้เรื่อยๆ โดยฮึดวิ่งก้าวยาว 2 เสาไฟฟ้า สลับกับวิ่งปกติ 2 เสาไฟฟ้า จนถึงจุดสูงสุดของสะพานทั้งไปและกลับ สนามวิ่งที่ Malaysia จุดให้น้ำจะอยู่ห่างกัน 5 กม. และเป็นน้ำเปล่าธรรมดา ไม่ใช่น้ำเย็นหรือใส่น้ำแข็งอย่างบ้านเรา มีพยาบาลยืนถือขวดน้ำสีแบบน้ำมันมวยเป็นระยะตลอดทาง ตอนแรกไม่รู้ว่าเค้ายืนทำอะไรตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นน้ำมันนวดกล้ามเนื้อ ซึ่งพยาบาลเขาบริการแบบถึงลูกถึงคน เพียงเราวิ่งเข้าไปหายื่นขาออกไป เค้าจะทาน้ำมันแล้วนวดให้อีกด้วย โอ้โฮ ! อะไรจะปานนั้น กม.ที่ 8 ,9 นักวิ่ง Full Marathon เริ่มสวนกลับตามด้วยนักวิ่งแนวหน้า Half Marathon ถึงกม. ที่ 10 ดูนาฬิกา 1 ชม. พอดี พอใจมาก.... เพราะมีความรู้สึกว่าเราวิ่งช้ามากน่าจะ 1 ชม.เศษ

ถึงจุดกลับตัว กม.ที่ 11 วิ่งเข้าวงแหวนลอดใต้สะพานเห็นนักวิ่งชายยืนฉี่กันเป็นแถว 6 โมงเช้ายังมืดอยู่เลย(เท่ากับตี 5 บ้านเรา) กม. ที่ 13 เริ่มมีนักวิ่งหญิงซึ่งปล่อยตัวช้ากว่าเราครึ่งชั่วโมง แซงขึ้นหน้าไป และยินดีมากที่มีนักวิ่งหญิงอายุ 15 - 16 ปี 3 คนเกาะกลุ่มกันใส่เสื้อสีแดงมองดูรู้ว่าเป็นเสื้อชมรมวิ่งบ้านเราแต่ไม่รู้ว่าเป็นชมรมอะไร เพราะเบอร์วิ่งที่นี่ใหญ่มาก และติดทั้งหน้าและหลัง

ผมรับน้ำจากจุดให้น้ำจุดสุดท้ายยกขึ้นดื่ม แทบจะอ้วกเพราะกลิ่นฉุนมาก แต่ช่างมันเหอะ น้ำพันแก้วต้องมีสักแก้วแหละ วิ่งได้สักพักเห็นนักวิ่งชายรุ่นเดียวกัน ครึ่งนั่งครึ่งนอนมือสองข้างตกพิงราวสะพานอยู่ ผมจึงชะลอจะเข้าไปดู แต่นักวิ่งท่านนั้นยกมือปฏิเสธโบกมือให้ผมไปต่อ และผมเห็นพยาบาลเดินถือกระเป๋าเครื่องมือมาจึงวิ่งต่อไปจนถึงจุดกลับตัวของ Mini marathon วิ่งเต็มถนนไปหมด ซึ่งเหมือนกับการวิ่ง Fun Run บ้านเราซึ่งเกณฑ์ นักเรียนมาวิ่ง วิ่งไปเดินไปหยอกล้อกันไป ต้องใช้วิทยายุทธ์ซิกแซ็ก หลบหลีกกันเอาเอง

เหลือระยะทางอีก 3 กม. ฝีเท้าเริ่มแผ่วลง ในใจคิดว่าจะหยุดเดินแต่ยังแข็งใจไปต่อ มีนักวิ่ง Malaysia คนหนึ่งเข้ามาประกบดูท่าแกก็คงจะหมดเหมือนกัน ทักเป็นภาษา Malaysia หรือภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกๆ ฟัง ไม่รู้เรื่องดูท่าแกจะบอกว่า

 “ มา...ไปด้วยกัน ฮึดๆหน่อย” เราชวนกันคุยคนละภาษา ใช้มือใช้ไม้พยักหน้ากันหงึกๆ ไม่รู้เรื่องกันหรอก เหลืออีก 1 กม. แกเริ่มวิ่งออกหน้าผม แต่ยังหันหลังมากวักมือเรียกผมเป็นระยะๆ ให้กวดตามแกไป น่ารักมาก....... จนเกือบจะถึงเส้น Finish จึงโบกมือบ๊ายบายให้แก ไม่ต้องรอ .....ข้าไม่ไหวแล้ว แต่ผมยังกวดทันนักวิ่งที่มาคณะเดียวกันทันและเข้าเส้น Finish ด้วยกัน คุณลุงอะไรผมจำชื่อไม่ได้อยู่ชมรมนางนวล บางปู ซึ่งเราผลัดกันแซงไปมาตลอดตามประสานักวิ่งแนวหลัง ในระยะ 10 กม. สุดท้าย

ซองเข้าเส้น Finish กว้างมากร่วม 20 ซอง ผมไม่ได้นับกะว่า

Mini ประมาณ 5 - 6 ซอง

Half “ 7 - 8 ซอง

Full “ 4 ซอง

โดยแบ่งตามตัวอักษร A , B , C , D…… ตามเบอร์นักวิ่ง มีเจ้าหน้าที่หลายสิบคนคอยตรวจสอบเบอร์วิ่ง และชี้ให้เราเข้าซองที่ถูก

อีตอนเข้าซองนี่เองที่ทำเอาเราหน้าเด๋อ ......เจ้าหน้าที่ยืนแจกเหรียญ.....เรายื่นมือไปรับแต่ก็ไม่ยักกะส่งให้เราสักที ถือค้างเอาไว้....... หันซ้ายหันขวาก้มลงไปดูข้างล่างเห็นลังกระดาษ 2 ใบ ซึ่งเราต้องแสดงสัญลักษณ์ที่รับมาจากจุด Check Point 2 จุด เป็นยางยืดสีชมพู กับสีเขียวต้องถอดออกจากข้อมือเอาใส่ลังให้ครบทั้ง 2 เส้น จึงจะได้รับเหรียญและประกาศนียบัตรใส่ซองพลาสติกให้อีก 1 ใบ

ดีใจจนหายเหนื่อยเพราะเป็น Half Marathon งานแรกทำเวลา 2 ชั่วโมง 22 นาที 26 วินาที ซึ่งตั้งเป้าไว้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง (เวลาสนามให้ไม่เกิน 3 ชั่วโมง) หลังเข้าเส้น Finish นักวิ่งต้องมาใช้บริการที่จัดให้ไว้อีกฟากหนึ่งของสนาม โดยต้องใช้คูปองที่แจกมาให้ตอนสมัครหนาเป็นปึก ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำเกลือแร่ , เครื่องดื่มบำรุงร่างกายและสินค้าตัวอย่างพวกขนม, ลูกอม เขาจะใส่ถุงรวมใบใหญ่ให้ไว้ ไม่ต้องรอรับหลายเที่ยว ไม่มีบริการอาหาร ใครไม่พกคูปองมาด้วยอดอย่างเดียว....... มีเพียงน้ำดื่มบรรจุขวดที่ตั้งไว้เรียงรายเท่านั้นที่ไม่ต้องใช้คูปอง

จุดให้บริการแต่ละซุ้มแถวจะยาวมาก ยอมรับว่าคน Malaysia มีระเบียบวินัยมาก ไม่มีการแซงคิวให้เห็นเลย ยืนกันนิ่งเหมือนทหาร ขนาดคนเข้าไปเยี่ยมๆ มองว่าซุ้มนี้มีอะไร ยังถูกหางแถวตะโกนโหวกเหวกเอาเลย

หลังจากเรารอพวกเราบางคนที่ติดอันดับรับรางวัลเสร็จ ซึ่งนานมาก เพราะพิธีการจะเริ่มเมื่อหมดเวลาที่กำหนด หรือหากนักวิ่งคนสุดท้ายเข้าเส้นก่อน เรากลับโรงแรมเก็บของทันทีเพื่อกลับหาดใหญ่ และเปลี่ยนเป็นรถบัสเข้ากรุงเทพฯ ถึงตี 5 ของวันจันทร์ ทันทำงานสบายๆ แต่ตอนลงรถแรกๆ เดินกันแทบไม่ไหว เพราะวิ่งเสร็จต้องนั่งงอขากันในรถตลอดคืนจนถึงเช้า

นี่เป็นประสบการณ์วิ่งระยะ Half Marathon เป็นครั้งแรกและแน่นอนตั้งเป้าไว้จะต้องมีประสบการณ์ครั้งแรก Full Marathon ในปี 2004 และหวังว่าเพื่อนักวิ่งทุกท่านร่วมกันชักชวนคนรอบข้างอย่างน้อยก็คนในครอบครัวหันมาออกกำลังกายกัน เพื่อสุขภาพและจิตใจที่ดี