บันทึก ( ไม่ ) ลับ ส่วนตั๊ว…ส่วนตัว

 ......รุจิรา

 

อาทิตย์      ที่ 1 ต.ค. 43 เวลาตี 4 กับอีก 23 นาที

บันทึกก่อนออกไปวิ่งแข่งที่ รพ.นพรัตน์ 
ระยะทาง 5 กิโลเมตรเป็นการลงสนามวิ่งครั้งแรกในชีวิต

 

เมื่อคืนเข้านอนแต่หัวค่ำ 20.45 น. พอ 3 ทุ่มก็หลับสนิทรวดเดียว ( ไม่เป็นอย่างที่คิดว่า อาจจะนอนไม่หลับ  

เมื่อสองคืนก่อนกลับนอนไม่หลับแทน ) มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมองดูนาฬิกา       เพิ่งจะตี 3 เท่านั้น แต่สดชื่นมาก ไม่งัวเงียเลย 

ไม่รู้จะตื่นทำไม แต่มันไม่ง่วงแล้ว ก็เลยบริหาร ยกขา ยกแข้ง อยู่บนเตียง สัก 3 นาที ลงมาชั้นล่างดีกว่า มาเปิดเพลงฟัง ก็ต้องนี่เลย เทปเพลง      ชุดสาวน้อยคาเฟ่ ที่ จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชคเป็นคนร้อง ทำนองมันคึกคัก เร้าใจดี 

เป็นการสร้างบรรยากาศก่อนไปวิ่งดีนักแล

แล้วก็ไปอาบน้ำ แต่งตัว พอเอาเสื้อที่ติดเบอร์วิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว มาใส่เท่านั้นแหละ ดูมันคึกคักอยากออกศึก ครั้งแรกซะแล้ว

 

เช้านี้ รู้ว่าสดชื่นดีจริงๆ จิตใจก็แจ่มใสเบิกบาน      ไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น อาจเป็นเพราะ สนามวิ่งใกล้บ้านมาก 

ขับรถเพียงไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงสนามวิ่งแล้ว ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่หยุดซ้อม 1 วันก่อนแข่ง ซ้อมวิ่งมาทั้งหมด 45 ครั้งพอดี 

ซ้อมวิ่ง 4.8 กม. ประมาณ 3 ครั้ง จึงไม่มีความกังวลเรื่องระยะทาง ตอนแรกกะจะลงครั้งแรก 10 กม.เลย ตั้งแต่วิ่งครบ 4 กม. 

เพียงครั้งเดียวก็อยากจะลงสนามแล้ว เนื่องจากไปถ่ายภาพ      บรรยากาศมาหลายงานแล้ว และไปสัมภาษณ์นักวิ่งต่าง ๆ 

ได้เล่าถึงแรงจูงใจในการวิ่ง , เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศงานวิ่งที่สุดแสนประทับใจบ้างล่ะ และได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิ่ง 

เรียกว่ารู้ทฤษฏีมาไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะได้ อ่านกระทู้ทุกวัน เจอแต่พวกคลั่งไคล้การวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ ( 

ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะบ้าวิ่งกันได้ขนาดนี้ เป็นเอามาก เมื่อหลายปีก่อน ตอนน้องชายบอกว่าจะไปวิ่งแข่ง  วิ่งเสียเงิน ด้วยนะ  

และยังต้องตื่นตั้งแต่ตีตี 5  อีก ยังคิดว่า น้องเรานี่ถ้าจะบ้า )

ทั้งฟังทั้งอ่าน มีแต่วิ่ง ๆๆๆ จึงซึมเข้ามาอยู่ในใจ มากขึ้นทุกวันๆ กักตุนความอยากวิ่งไว้จนจะล้นใจอยู่แล้ว 

ขนาดที่แอบทดลองเขียนใบสมัครของงานวิ่งพุทธมณฑล เมื่อ 24 ก.ย.43 ( ซ้อมเขียนใบสมัครเล่นๆ เก็บไว้ในกระเป๋าก่อน) 

ทำท่าจะลงวิ่งตั้งแต่งานนี้แล้ว แต่ก็อยาก ๆ กลัวๆ ว่าจะวิ่งถึงหรือ   10 กม. พอใกล้    24   ก.ย. เข้าจริง ๆ ไม่ไหวแน่ 

กล้ามเนื้อขายังไม่แข็งแรงพอ ( ลองวิ่งนานเริ่มมีอาการเจ็บบ้าง   รู้เลยว่ามากเกินไป  ) วิ่งไม่ถึงแน่ เลยต้องบอกตัวเองว่า

" เย็นไว้โยม " และก็มั่นฟิตซ้อมต่อไป น้องชายรู้ว่าเจ๊เราคงอยากลงสนามเต็มแก่แล้ว เพราะชอบไปเลียบๆ เคียงๆ 

เรื่องงานวิ่งที่พุทธมณฑลอยู่เรื่อย เลยเชียร์  ให้ลองลงสนาม รพ.นพรัตน์ นี่แหละใกล้บ้าน แค่ 5 กิโล เอง ลองก็ลอง ทั้งๆ 

ที่อยากลงสนามแรกท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติมากกว่า ไม่ใช่บนถนนอย่างนี้ 

แต่ก็แปลกอะไรที่ไม่ได้คิดได้หวังก็มักได้มาเสมอๆ ที่อยากได้มักไม่ได้ตามที่คาดหวัง

 

ขณะจดบันทึกก็เพื่อฆ่าเวลารอน้องชายมารับที่บ้าน นัดกันไว้ ตี 5.20

จบบันทึกเหตุการณ์ครั้งแรกก่อนการวิ่งแข่งไว้เพียงเท่านี้ก่อน ตี 4.45 พอดี

                     

 

บันทึก เวลา 9.35 น.

กลับจากวิ่งสนุกและประทับใจมาก

 

เริ่มออก Start วิ่งคู่ไปกับ Mr.Stephen ชาวนิวซีแลนด์ ซึ่งเข้ามาเยี่ยมชมเวปเราเสมอ  ส่งอีเมล์มาว่าจะมาวิ่งงานนี้ 

 

เขาจะใส่ชุดสีดำและมีสีเขียวด้านข้าง  ก็เจอกัน ทักทายคุยกันไป และเขาก็ Say Good Luck ก่อนที่จะแยกไปวิ่ง 10 กม.

 

 วิ่งไปสัก 1 กม. ก็มีหนุ่มนักวิ่งมาวิ่งคู่กัน ชวนคุยถามโน่นถามนี่ ก็คุยด้วยสักพัก    ก็บอกให้เขาวิ่งนำไปก่อน ไม่ต้องรอ 

เพราะเราวิ่งครั้งแรก วิ่งช้า เดี๋ยวเวลาเขาจะเสีย เขาก็ตอบว่า " ไม่เป็นไร วันนี้มาวิ่งเบาๆ สบาย ๆ " พอวิ่งไปถึงจุดให้น้ำ 

ก็รับน้ำมาดื่ม เขาก็หยุดรอเรากินน้ำ และให้คำแนะนำน้องใหม่ ว่าอย่ากินเยอะ และให้ เอาน้ำลูบหน้า ลูบแขน ไว้ … ก็แอบยิ้มอยู่ในใจ 

งานนี้วิ่ง 5 กิโลไม่มีป้าย เลข บอกอายุว่าขึ้นต้นด้วยเลขอะไร หนุ่มๆ อาจจะเดาผิด นี่ถ้างานต่อไป เห็นตัวเลข แล้ว คงจะหนาว !!! 

ก็วิ่งไปด้วยกันอีกสักพักใหญ่ ๆ เจอ คุณ บุปผา เลยขอตัววิ่งไปทักทายกับเพื่อน ๆ คนโน้น คนนี้ อีก 2-3 คน สนุกสนานดี 

ขณะวิ่งไม่ได้มองสองข้างทางเลย เพราะเป็นเส้นทางที่คุ้นเคยรู้อยู่แล้วว่า มีแต่ตึก ทั้งสองข้างทาง มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว 

มาจุกตอนกิโลเมตรสุดท้าย นี่เอง แต่ก็วิ่งจนถึงเส้นชัยด้วยเวลา 35.12 นาที  ก็พอใจ เป็นไปตามที่กะประมาณ ไว้ว่า คงอยู่ ระหว่าง 

35-40 นาที

 

ติดใจอยากวิ่งอีก เห่อชุดวิ่งด้วย ใส่ชุดวิ่งแล้วเท่ห์ดี กลับมาถึงบ้าน รีบเอาเหรียญ มาห้อยคอ ยืนส่องกระจกดู ยิ้มด้วยความปลื้ม

 

ดีใจ กับ วิจารณ์ ได้เหรียญทองโอลิมปิคด้วย ดูมวย ตอน 9.15 น.   ยกสุดท้ายพอดี

 

 

                                                                                

 

บันทึก วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2543 ก่อนแข่งงานวิ่ง UN DAY

 

ตื่นเต้นบ้างแต่ไม่มาก มั่นใจว่าวิ่งถึงแน่นอน เพราะซ้อมวิ่ง 8 กม. 3 ครั้ง 

และซ้อมวิ่ง 9 กม. 1 ครั้ง 

ใช้เวลา 1.10  พอดี ก็ OK . ไม่เหนื่อยจนลิ้นห้อย  

พรุ่งนี้ได้ใส่ชุดวิ่งใหม่    สีแสดสะท้อนแสง    ชอบมาก                          

 ( ลองใส่ ตั้ง 2 ครั้งแล้ว ไม่ค่อยเห่อเลยเนอะ ) 

กางเกงสั้นจุ๊ดจู๋ ยังไม่เคยใส่กางเกงวิ่งอย่างนี้เลย                                   

ไม่รู้ว่าเวลาวิ่งแล้วจะหวิวๆ เย็นๆ หรือเปล่า จะวิ่งออกมั๊ย นี่   แต่คิด อีกที คงสบายอยู่แล้ว 

ชุดว่ายน้ำ   ยังใส่ว่ายน้ำเป็นประจำนี่นา  ต่างกันตรงที่ มีเสื้อคลุม ถอดออก  

เดินไม่กี่ก้าวก็ลงสระว่ายน้ำแล้ว แต่นี่ดันไปวิ่งอยู่กลางถนนเป็น 10 กิโล

 

นี่ถ้า อาม่ายังไม่ซี้ มาเห็นภาพ อาซุง หลานสาว มาวิ่งใส่กุงเกง ปิดก้นนิดเดียวอย่างนี้ 

และยังมาวิ่ง  อยู่บนทูหนน   กลางกรุง  มั่งก๊ก  แบบนี้

อาม่า ต้องร้อง     "  อ๋ายหย๋า !! ลื้อคื้อจ๋อเตี่ยมๆ ในบ้าน ดีกว่าน๊า อาหมวย น๊า "

 

เวลาก็กะไว้ว่า คงใช้เวลาวิ่ง ประมาณ  1.05   -  1.10 ชม. แต่เวลาที่อยากได้ ก็คือ 59 นาที 

เพราะดูเจ๋งหน่อย ไม่ถึง 1 ชั่วโมง

คืนนี้ขอให้นอนหลับให้สบาย อย่าได้นอนไม่ค่อยหลับก็แล้วกัน

รีบไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้กะว่าจะตื่น อีก 10 นาที จะตี ก็แล้วกัน

 เพราะนัดน้องให้มารับตี 4.50 น.

 

ราตรีสวัสดิ์จ้ะ

นักวิ่งขี้เห่อคนใหม่

( อีก 5 นาที ก็ 4 ทุ่มแล้ว )

 

                           

 

ไปถึง UN เวลา 5.30 ที่จอดรถแถว UN เต็มหมดแล้ว จึงไปจอดที่วัดโสมฯ

 

 ปล่อยตัวผู้แข่งขัน เวลา 6.30      ผู้หญิงอยู่ด้านหน้าโรงเรียนวัดมงกุฏฯ  ส่วนนักวิ่งชายอยู่หน้า อาคารสหประชาชาติ

ให้สัญญาณการปล่อยตัว โดยขอเสียงกริ๊ดจากนักวิ่งหญิงก่อน ก็ช่วยกันกริ๊ดกร๊าดดังๆ 1 ครั้ง และก็นับถอยหลังพร้อมๆ กัน 4-3-2-1  

ก็วิ่งลุยไปข้างหน้า วิ่งสักประมาณ 100-200 เมตร 

ก็มาบรรจบกับนักวิ่งชายซึ่งมีจำนวนมากกว่านักวิ่งหญิงมากมายนัก   ผู้หญิงคงสักประมาณ 600- 700 คน ตอนนั้นจิตใจคึกคัก 

กระดี๊กระด๊าดีเหลือเกิน คนวิ่งเต็มถนนไปหมด เยอะที่สุดตั้งแต่เห็นมา จากงานวิ่งต่างๆ ที่ไปเก็บภาพบรรยากาศมาหลายสนามแล้ว

ช่วงที่วิ่งมาปนกับกลุ่มนักวิ่งชาย กลิ่นต่างกันเลย โอ้ โห! กลิ่นน้ำมันมวย ตลบอบอวลไปหมด คนก็แน่น เลยวิ่งไปอยู่ริมๆ 

ดีกว่า มีอากาศ หายใจได้โล่ง ๆหน่อย ก็วิ่งไปสบายๆ แต่เร็วกว่าตอนซ้อม เพราะขาคงวิ่งตามคนหมู่มากไป 

แต่ก็พยายามไม่เร่งจนเกินไป ถึงจุดให้น้ำ ก็ดื่มน้ำ    ทุกจุด ตามข้อมูลที่อ่านมา 

และจากประสบการณ์ที่แต่ละคนเขียนมาเล่าวิ่งครั้งแรก ไม่กล้าดื่มน้ำกลัวจุก เราก็เลยไม่ต้องเชยตามรุ่นพี่ๆ ก็ speed เร็วขึ้นหน่อย 

น้องชายเขาแนะนำไว้ ว่า  จุดให้น้ำจุดแรก  ให้ speed  ขึ้นนิดหนึ่ง   พอจุดให้น้ำ ที่   ก็เร็วขึ้นกว่าจุดแรกหน่อย   

เจ๊ ก็ทำตามนะจ๊ะ  ก็วิ่งไป วิ่งไป เริ่มเหนื่อย เหมือนกัน แต่พอเห็นป้าย 6 K. รีบดูนาฬิกา 37 นาที

ใจมาเป็นกอง นึกว่า 5 กิโล  แต่นี่ 6 กิโลแล้ว 

 ทำเวลาได้ดีกว่าตอนซ้อมอีก เวลาซ้อม 800 เมตร ใช้เวลาตั้ง 7-8 นาที และก็วิ่งต่อไปอีกพักใหญ่ ๆ 

เริ่มเหนื่อยมากขึ้นซะแล้ว ลองหันไปมองข้างหลัง 2-3 ครั้งเป็นระยะๆ ดูว่ามีเพิ่อนวิ่งแนวหลังมากมั๊ย ก็เยอะดีเหมือนกัน 

แต่เมื่อเทียบกับนักวิ่งที่อยู่ข้างหน้าเราแล้ว  มีจำนวนมากกว่าหลายเท่านัก แปลว่าเราอยู่ท้ายๆ นี่หว่า   

ก็พยายามวิ่งไม่ให้หล่นไปอยู่ท้ายมากนัก

 

พอวิ่งมาถึงสะพานอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ที่มีสาวประเภทสองใส่ชุดบางหวาบหวิว    

สามารถ มองทะลุทะลวงไปเห็นเต้าปลอม ๆ  2  เต้า คู่เบ่อเริ่มเทิ่มเชียว ยืนถือป้าย 8 K. ( อีกนิ๊ดเดียว ค่า… )

เรียกเสียงหัวเราะ    จากนักวิ่งชายได้ ส่วนฉันขำไม่ออกแล้ว เหนื่อยฉิบเป๋ง!  เลย แค่ 8 กิโลเองเหรอ วิ่งมาตั้งนานแล้วนะ 

กะว่าน่าจะ 9 .5 กิโล   คงใกล้ถึงเส้นชัยแล้ว  ร้อน อบอ้าวด้วย   ยังเหม็นควันจากรถเมล์ที่จอดเป็นแถวรอนักวิ่งวิ่งผ่านไปก่อน 

 ยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีก แต่ก็ต้องวิ่งต่อไป     ดีนะที่ยังมีแรงฉุดจากภาพที่มองเห็นนักวิ่งที่อยู่ข้างหน้า กลุ่มใหญ่ 

แม้เหนื่อยแต่ขาก็ยังวิ่งตามไปได้เรื่อย ๆ   ไม่ได้หยุดเดินเลย นอกจากตอนดื่มน้ำ หรือก้าวขึ้นสะพาน จะใช้เดินพักเหนื่อยหน่อยนึง

 

พอเลี้ยวเข้าถนนพระสุเมรุ ก็ ดีใจ ว่าใกล้จะถึงภูเขาทองแล้ว แต่ทำไมวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปตั้งนาน ไม่ถึงภูเขาทองเสียทีนะ 

ทำไมภูเขาทองวันนี้อยู่ไกลจังเลย อย่างกับภูเขาทองที่อยุธยา แน่ะ   เริ่มเหมื่อยขา และก็เหนื่อยที่สุด ตั้งแต่ซ้อมวิ่งมา 

มีวันนี้แหละที่เหนื่อยที่สุดเลย ก่อนมาวิ่ง 10 K. เลือกโปรแกรมวิ่ง สนามโน้น สนามนี้ ดูแล้วดูอีก ที่โน่นก็อยากไป สนามนี้ก็อยากวิ่ง 

แต่ในขณะนี้ หายไปจากสมองเลย ไม่อยากวิ่งสนามไหนทั้งนั้น นึกเปรียบเทียบกับที่เคยว่ายน้ำทันที เราเคยว่ายน้ำตั้ง 30 เที่ยว 

 ( สระยาว 50 เมตร ) ไป-กลับ อย่างต่อเนื่อง  ก็ประมาณ 1,500 เมตร  ยังว่ายได้อย่างสบาย ๆ ไม่เห็นเหนื่อยอย่างนี้เลย ( วะ)

แต่ก็ต้องใช้ประโยค ในข้อเขียนของคุณพิทักษ์ พัดจุน " ต้องมีใจเกินร้อย " มา สร้างกำลังใจได้ดีทีเดียวในยามเหนื่อย ๆ อย่างนี้ 

ในที่สุดก็ถึงเส้นชัย ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง กับอีก 7 นาที     ก็ พอใจ   ที่เราก็วิ่งได้ 10 กิโลจริงๆ มีความมั่นใจขึ้นเยอะ

วิ่งเข้าเส้นชัยแล้วไม่ประทับใจเลย ที่ต้องมาต่อคิวคอยนานพอสมควรเพื่อรอรับเหรียญ 

แทนที่จะได้ไปอยู่ในที่อากาศเย็นสบายจะได้ไล่ความเหนื่อย นี่ดันมายืนออกันดมกลิ่นเหงื่อไคล้ และฟังเสียงหายใจฟืดฟาด ๆๆ 

ยืนหอบ แฮก ๆๆ ทั้งทางปาก และทางจมูก ดูสีหน้าแต่ละคนแล้ว เซ็งไปตามๆ กันกับวิธีรับเหรียญแบบนี้

แต่เมื่อหลุดออกมาจากคอกรับเหรียญ ก็เริ่มเจอเพื่อนๆ ซึ่งส่วนมากเข้ามากันหมดแล้วมั้ง ?

 ก็ทักทายคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนๆ 

ในชมรมต่างพูดให้กำลังใจ ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ เสนาะหู ทั้งนั้น ในทำนองเดียวกันว่า 

ทำเวลาได้ดีแล้ว กับการวิ่ง 10 กิโลครั้งแรก

 

เมื่อเดินเล่นอีกพักใหญ่ๆ หายเหนื่อยดีแล้ว 

ก็ชวนกันไปสมัครงานวิ่งที่เขาชะโงกในวันที่ 12 พ.ย . กับน้องชาย 

นี่แหละน่าเขาถึงบอกว่าความคิดคนเราก็เปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ ได้เหมือนกัน

 

ถามน้องชาย เรื่องเจ๊หมา วิ่งเจอหมาน้อย ๆ บ้างไหม นายยิ้มบอกว่าเจอ วิ่งกันอย่างสนุกสนานทีเดียว

เอ! เราไม่ยักเจอ  เห็นตอนเพิ่งมาถึงเจ๊หมากำลังจะเอาลูกๆ ทั้ง 7-8 ตัว ลงจากรถมอเตอร์ไซด์   

แม่น ! แล้ว  ข้อย ซิ วิ่ง แพ้เจ้าพวกหมา น้อย ๆ                 ไม่ได้แซงหมาเลย แม้แต่ตัวเดียว ต้องไปฟิตซ้อมใหม่ ไม่งั้นเดี๋ยวหมามันจะหัวเราะเยาะ                    เอาได้

 

( บันทึกจบ เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 29 ต.ค.43 )


เหรียญวิ่งระยะ10Kที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เมื่อ 9 ก.ย.49


Click ยางรองส้นเท้าNCR

                    

                                                                                                              

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.43