จากแชมป์แบดมินตันสู่นักวิ่ง

 

 

 

โดย...หนุ่มภาคกลาง

 


             กับหนึ่งชีวิตผ่านมาแล้ว30กว่าฝน30กว่าหนาว ก็มีเกร็ดชีวิตสักเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ให้อ่านกันจากเด็กเล็กเกิดที่นครสวรรค์ ถามว่าทำไมต้องนครสวรรค์ เพราะว่า สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งแม่อายุมากมีโรคความดัน รบกวนอยู่ เลยไปคลอดที่นครสวรรค์ใกล้ญาติและไว้ใจหมอ ก็เป็นจริงตามคาดก้นออกก่อน ออกมาไม่ร้องและตัวเขียวมาก เลยโดนตีก้นซะหลายทีเลย ก็รอดมาได้แต่แม่เลี้ยงดูดีไปสักหน่อยน้ำหนักตัวแซงเพื่อนรุ่นเดียวกันมาเลย ชอบเล่นกีฬาทุกชนิด ยกเว้นทางน้ำแต่ไม่ค่อยทันเพื่อนเพราะอ้วนมาก

เมื่อมัธยมปีที่1เริ่มเล่นแบด แต่ไม่จริงจังมาจริงจังเมื่อมัธยมปีที่2 มีโค้ชหลายคนเหมือนกันทั้งสอนทั้งลักจำฝีมือพอใช้ได้ แต่ที่กังวลคือน้ำหนักตัว เมื่ออยู่ที่มัธยมปีที่3น้ำหนักปาเข้าไป86กิโลฯเลยตั้งใจว่าปิดเทอมจะลดให้ได้ โดยใช้สูตรลดแบบมั่วๆผสมลูกบ้าเข้าไปและไม่แนะนำให้ ใช้คือทาน1มื้อต่อวันโดยทานส้มอย่างเดียว2-3ผลกับน้ำเปล่าซึ่งได้ผลกับเวลา2เดือนจาก86กิโลเหลือ56กิโลตัวเหี่ยวเลย แต่ผลข้างเคืองคือไม่มีแรงเลยเดินขึ้นบันได และ เดินธรรมดาก็หมดแรงแล้วเปิดเทอมมาอาจารย์จำไม่ได้เลยคิดว่าป่วยหนัก


เมื่อมีอาการที่ร่างกายบ่งบอกว่าลดไม่ได้แล้วหายใจยังเหนื่อยเลย  แบดฯหยุดเล่นเลยช่วงนั้น  ก็กับมาทานตามปรกติแต่แค่2มื้อก่อนน้ำหนักกลับมาที่63-64กิโล ก็ตัวเบาเล่นแบดได้คล่องตัวขึ้น ช่วงมัธยมปีที่5-6เป็นช่วงที่ได้คัดตัวเยาวชนแต่ไม่ติด เลยไปช่วยกิจกรรมของโรงเรียนแล้วชอบมาก เลยติดใจเลย

 เมื่อจบมาได้เป็นตัวจังหวัดพิจิตร2ปี ได้2เหรียญทองแดงมา2ปี ได้เป็นผู้ฝึกสอนเรื่อยมา แล้วยังร่วมกิจกรรมในท้องถิ่นคืองานประเพณีแห่เจ้าก็ร่วมกับเขาด้วย ก็แห่มังกรเป็นตัวล่อลูกแก้วเล่นมาเกือบ10ปีแล้วเช่นกัน

 เมื่อปี36ได้เล่นแบดให้ราชภัฎเพชรบูณ์ได้2เหรียญเงินกับ2เหรียญทองแดง ทั้งบุคคลและทีมแล้ว ปีต่อมาได้2เหรียญทองแดงทั้งทีมและบุคคล ต่อมาประธานชมรมแบดฯได้เสียชีวิตลง สนามแบดฯกลายเป็นที่จอดรถ  จึงทำเรื่องดำเนินการขอใช้สถานที่ในเทศบาลและจัดตั้งชมรมเองโดยทำเรื่องเองสำเร็จผล ใช้เวลา4ปีเต็มใช้ได้เมื่อปี49 แล้วรู้สึกว่ามันอิ่มตัวแล้วสำหรับเรา

 เมื่อเดือนตุลาคมปี49 ได้เจอเพื่อนจากนิตยสารฟอร์รันเนอร์ก็ชักชวนและแนะนำการวิ่งให้  แต่แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะรู้ตัวเองว่าวิ่งไม่เก่งเลย แต่มันเหมือนแรงกระตุ้นตัวเองลองวิ่งดู ใช้เวลาเดือนพฤศจิกายนซ้อมวิ่งดูจาก2กิโลหัวใจแทบหลุดมาเต้นข้างนอก


ก็เริ่มชินจาก2เป็น5 เป็น8 เป็น12 กิโลต้น ตอนนั้น เคยยืนดูถนนแล้วพูดกับตัวเองว่า "เราวิ่งได้ไงว่ะ ตั้ง12กิโล"

 ธันวาปี49ลงแข่งเลยลงมินิ10กิโลได้เข้าเส้นชัยช่วง กลางๆเป็นอย่างนี้2สนามเลย ขึ้นมาปี50มกราคม ทั้งส้มหล่นและบังเอิญไม่ทราบติด อันดับที่3วิ่ง ในระยะ21กิโลที่ มะขามหวานมินิ-ฮาล์ฟมาราธอนซึ่ง21กิโล  เรานั่งรถยนต์ผ่านยังมองดูถนนที่เราวิ่งมาเลยยิ้มกับตัวเองเราทำได้แล้วกับ21กิโล

และอันดับที่3อีก 21กิโลที่พิษณุโลก แล้วมาได้อันดับ5ที่สุโขทัย บ้านยางเอน

 มาได้อันดับ3ที่กงไกรลาศ และสุโขทัย   และได้อันดับ10ที่ ชากังราว

ที่ช่วงนี้เริ่มมาสิงสถิตย์ที่ไทยรันนิ่ง และ เริ่มรายงานการวิ่งด้วยภาพก็คงอยู่ที่ไทยรันนิ่งต่อไปเพราะเราเกิดจากทีไทยรันนิ่งก็ไม่ลืมที่เราเกิด เพราะความเป็นคนที่ชอบอะไรง่ายๆไม่ครียดกับชีวิต ทำให้เรากลายเป็นคนยิ้มง่ายคุยตลก ลืมบอกไปผมธำรงค์ศักดิ์ รังสิภาพรกุล หนุ่มคือชื่อเล่น และหนุ่มภาคกลางคือชื่อที่ใช้ในไทยรันนิ่ง อาชีพค้าขายและบริการครับผม

 คติประจำใจ

ก้าวสู่ถนนแห่งมิตรภาพ ไม่มีคำไหนสำคัญเท่ามิตรภาพ

 

 เราวิ่งไปเราไม่รู้จักแล้วเราวิ่งเพื่ออะไร ถ้วยคืออีกเรื่องหนึ่ง  ได้เพื่อนได้คนรู้จักดีกว่า  อนาคตยังไม่รู้เลยว่าจะได้วิ่งต่อไปมั้ยเพราะมีอาการเจ็บหัวเข่ามาตั้งแต่เล่นแบดฯ มาหลายปีแล้ว จะประคองตัวให้ได้วิ่งต่อไป ซ้อมวิ่งแถวบ้านใช้ถนนเป็นสนามซ้อม คิดว่าค้นหาอะไรในตัวเองเจอ และ กลายเป็นคนบ้าวิ่งขึ้นมาแล้วซิ

 

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 4พ.ค.50