คราวหน้าผม...ผมจะอุ้มเธอเอง

 

 

โดย...ทนายวิจิตร

 

ถ้าท่านสังเกต จะเห็นว่า บทความผมช่วงนี้จะเน้นไปทางด้าน จิตวิทยาการกีฬา (Sport Psychology) เสียเป็นส่วนใหญ่ ในความรู้สึกนึกคิดของผม ผมมีความเห็นว่า จิตใจคนนั้นมันเรื่องใหญ่ และยากยิ่งกว่าทุกสิ่งในโลก บรรดากิจกรรมการงานส่วนใหญ่แม้จะหนักหนาสาหัสเพียงใด ถ้าใจเอาซะแล้ว ต่อให้หนักเป็นภูเขาเท่าแผ่นดิน คนเราก็แบกไหวไปโลด แต่หากใจไม่เอาใจไม่สู้แล้ว เข็มเล่มเดียว ก็ถือไม่ได้ รับไม่ไหว ไม่อยากหยิบ

อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ อย่างเช่น ท่านนายกทักษิณนี่ ว่ากันจริงๆแล้ว ถ้าจิตใจไม่รักแผ่นดิน ไม่ห่วงใยเพื่อนร่วมชาติ ท่านก็นั่งนอนเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองได้อย่างสบายๆ ตลอดทั้งชาตินี้และชาติหน้าอีกหลายสิบชาติ แล้วมันเรื่องอะไรกันที่ท่านจะต้องมานั่งแบกทุกข์ของแผ่นดินเอาไว้บนบ่า เอาปัญหาสารพัดของชาติอัดแน่นไว้ในสมอง จนทำให้ตัวท่านเองต้องเครียด ต้องทุกข์ใจ ลำบากกายอยู่ทุกวันเช่นนี้เล่า

เพราะท่านมีจิตใจรักชาติห่วงแผ่นดิน…ใช่หรือไม่

มีความจำเป็นอะไรหนักหนาที่ท่านจะต้องทำเช่นนี้ หากใจไม่เอา ใจไม่รัก

อ้าว….เขียนอย่างนี้ ขนหน้าแข็งท่านทักษิณก็เต็มปาก เต็มลิ้นทนายวิจิตรนะสิ อย่ากระนั้นเลย เพื่อให้เป็นไปตามทฤษฎีว่าด้วย….ความสมดุล ขออนุญาตเขียนถึงท่านผู้นำฝ่ายค้านบ้าง หากท่านไม่รักชาติรักแผ่นดิน พูดง่ายๆว่า ใจไม่เอาละก้อ นอนอยู่บ้านเฉยๆก็สบายเหมือนกัน แม้ว่า ท่านจะเป็นคนสมถะมักน้อยก็เถอะ เหตุไฉนต้องมาตั้งตน ค้านโน่นค้านนี่ให้ผู้คนบางคนเขาหมั่นไส้ด่าว่าให้ต้องหงุดหงิดไม่สบายใจอยู่ทุกวันเล่า…หากเป็นบางคน เขาก็ ยุบแล้วย้าย เข้าเป็นพวกของท่านทักษิณซะเลย…..สบายไป

จะผิดหรือไม่หากผมจะกล่าวว่า ก็เพราะใจของท่านตระหนักในหน้าที่ รู้สำนึกถึงภาระกิจ….เพื่อประเทศชาติ ท่านชวน หลีกภัยจึงต้องมายืนหยัดคัดค้านเรื่องนั้นเรื่องนี้ อยู่เช่นนี้

เขียนมาถึงตอนนี้ก็ทราบข่าวว่า ท่านป่วย ต้องผ่าตัดหัวใจ ทนายวิจิตรก็ขอส่งกำลังใจไปให้ท่านหายเร็วๆ…คุณงามความดีที่ท่านมีต่อประเทศชาติบ้านเมืองย่อมส่งผลคุ้มครองให้ท่านอยู่รอดปลอดภัย

นี่เป็นตัวอย่างของ…..จิตใจ ที่มีต่อบ้านเมือง….เรื่องการเมือง

สิ่งที่ผมจะเขียนถึงต่อไปนี้เป็นเรื่อง…การกีฬา ซึ่งผมได้เคยเขียนลงในนิตยสาร “รันนิ่ง” เมื่อสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา ก็ขอเอามาลงอีกซักที หากมันจะเกิดผลในทางบวก ส่งผลในทางสร้างสรรค์บ้าง ผมก็ขอมอบให้ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการให้กับผมมาตลอดเวลาในอดีตจนถึงปัจจุบัน

เรื่องการฝึกกีฬานั้น ปัญหาว่า จะฝึกอย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องยาก ยากที่สุดมันอยู่ที่

จิตใจ ทำยังไงใจมันถึงจะเอา ใจมันถึงจะสู้ ใจมันถึงจะรักกีฬานี่ยากที่สุดครับ คนไม่รักต่อให้ชักแม่น้ำทั้งโลกมาสาธยาย เขาก็ไม่เอา อย่าว่าแต่แค่ห้าสายเลย ..จริงมั๊ย

ถ้าใจเอาแล้ว ฝึกอะไรก็ทำได้ ฝึกได้ ยากลำบากเพียงใดก็บากบั่นฟันฝ่า

สำหรับมิตรรักนักวิ่งชาว “ไทยรันนิ่งดอทคอม” แล้ว อยากจะติงว่า “ ขา” มิใช่ อวัยวะเพียงหนึ่งเดียวที่เรามีอยู่ พวกเรายังมีอวัยวะอื่นๆอีกมากหมายหลายส่วน เช่น มือ แขน ไหล่ เอวแล้ว เรายังมีกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆอีกตั้งหลายมัด เส้นเอ็นอื่นๆอีกหลายเส้น ซึ่งเหล่านี้ล้วนประกอบขึ้นเป็นร่างกายของเราและต่างก็มีความสำคัญเท่าเทียมกันทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่างก็จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติสุขของเราด้วย

มนุษย์ ต้องการร่างกายที่แข็งแรง

มนุษย์ ต้องการร่างกายที่ได้สัดส่วน สวยงาม

อย่าปล่อยให้ร่างกายอ้วนเหมือนหมู เพราะเราไม่ใช่ “หมู” ในขณะเดียวกันก็อย่าปล่อยให้ร่างกายส่วนอื่นๆต้องหดเหี่ยวไปเพราะขาดการเอาใจใส่บริหาร ธรรมชาติกำหนดไว้ว่า ร่างกายของสัตว์โลก ส่วนใดที่ไม่ใช้หรือไม่ค่อยจะได้ใช้ ในที่สุดมันก็จะค่อยๆหดเหี่ยวในที่สุด

มาถึงตอนนี้ก็อยากจะตั้งคำถามว่า….แล้วจะวิ่งอยู่อย่างเดียวหรือ

ทั้งตัวมีแต่ “ ขา ” เท่านั้นหรือ แล้วอวัยวะส่วนอื่นๆล่ะ รักมันบ้างมั๊ย จะเอาใจใส่ฝึกฝนแต่เฉพาะขาเท่านั้นหรือ อวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ต้องการ การเอาใจใส่ดูแลบริหารเพื่อพัฒนาการทำงานในหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพมากพอๆกันนะครับ อย่าลำเอียง อย่าเลือกปฏิบัติ มิฉะนั้นส่วนอื่นๆที่ละเว้นไว้มันจะรวมหัวกัน Strike หยุดทำงาน ปล่อยให้ขามันรับใช้ท่านแต่ฝ่ายเดียวแล้วจะเสียใจนะครับ

บ้านเมืองก็เป็นประชาธิปไตยไปตั้งนานแล้ว เราเองก็ต้องทำให้มีประชาธิปไตยในร่างกายของเราด้วย โดยการให้ความรักและให้การดูแลเอาใจใส่ต่ออวัยวะทุกส่วนอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกัน แล้วมันจะตื่นตัวช่วยกันทำงานประสานกันดี อย่างเป็นระบบตามหน้าที่ของแต่ละส่วน อย่างเต็มที่มีประสิทธิภาพ ผลของการทำงานประสานกันอย่างกลมเกลียวเช่นนี้ จะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงสดชื่นและแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา คึกคักกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ คุณจะดูเป็น “หนุ่ม” เป็น “สาว” อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด

การเล่นการฝึกไตรกีฬา ใช่ว่าจะมีแต่ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานและวิ่งเท่านั้น พวกเรายังต้องเล่นเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เสริมเข้าไปอีกด้วย เพื่อสร้างเสริมให้ร่างกายมีพลัง(Power)

การฝึก Weight Training นั้น ไม่เฉพาะนักไตรกีฬาเท่านั้น นักวิ่ง นักว่ายน้ำ นักจักรยานหรือแม้แต่นักสนุ๊กเกอร์ก็ยังต้องฝึกเลย

นักวิ่งระดับโลกทุกคนล้วนแต่ฝึก Weight Training เสริมสมรรถภาพของการวิ่งกันทั้งนั้น การเล่นเหมาะสำหรับทั้งชายและหญิง สำหรับหญิง อย่าเล่นให้หนักเกินไปก็แล้วกัน รับรองได้ว่า หลังจากที่ฝึกฝนไปไม่นาน คุณจะเป็นผู้หญิงที่มี หุ่นเซ๊กซี่(ของจริง)แน่นอน เนื้อหนังมังสาแน่นปึ้ก

ขอเรียนว่า ไม่มีผู้ชายคนใดในโลกนี้ ชอบผู้หญิงเนื้อเหลวๆกันหรอก เรือนร่างที่สวยงามแน่นปิ้ก คือเสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ ถามชายคนใดก็ได้ (ถ้าไม่เชื่อ)

การฝึกเล่น Weight Training นี้ วัตถุประสงค์ก็เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในสนามแข่งขันและในชีวิตประจำวัน ยิ่งได้นำไปทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยแล้ว….ท่านจะภูมิใจ

เคยบอกแล้วว่า ผมนี่มันมีเรื่องเล่าเยอะ จะจริงหรือเท็จ ลองอ่านดูกันหน่อยนะแล้วค่อยเอาไปปรึกษา……แม่ยาย

วันหนึ่ง…เมื่อนักไตรกีฬาไทยคนหนึ่ง เดินเข้าไปที่ชั้นล่างในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ที่ส่วนจำหน่ายเครื่องสำอาง ได้เห็นกลุ่มสาวๆพนักงานขายเครื่องสำอางยืนมุงดูหญิงสาวคนหนึ่ง ด้วยท่าทางที่ตกใจ หญิงสาวคนนั้นนั่งเหยียดขาอยู่บนพื้นในสภาพหมดสติคอพับ แต่ที่ยังไม่ได้นอนเหยียดยาวลงไปกับพื้นก็เพราะมีหญิงชราคนหนึ่งจับแขนสองข้างพยายามดึงขึ้น มีชายคนหนึ่ง(อายุประมาณสามสิบเศษๆ)พยายามจะอุ้มเธอขึ้น แต่พยายามออกแรงไปเท่าใดก็อุ้มไม่ขึ้น อีกทั้งตัวเองทำท่าจะล้มหัวคะมำลงไปด้วยซ้ำ น้ำหนักตัวของหญิงสาวคนนั้นมีมากกว่าความแข็งแรงของชายหนุ่ม……..ความแข็งแรงยังไม่มากพอที่จะอุ้มเธอขึ้นจากพื้นได้

เมื่อเขาเดินไปถึง หญิงชราได้หันมามองและร้องขอให้ช่วย ด้วยใบหน้าอันซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก “ คุณคะ ช่วยลูกดิฉันด้วยค่ะ…กรุณา….”

“ห้องพยาบาลอยู่ชั้นสามค่ะ”……..พนักงานสาวคนหนึ่งบอกพร้อมกับชี้มือขึ้นไปทางบันไดเลื่อน เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองตามมือที่ชี้บอก แล้วเข้าไปอุ้มหญิงสาวขึ้นมาแนบอก เดินขึ้นไปตามบันไดเลื่อน บันไดเจ้ากรรมช่างเชื่องช้าไม่ทันใจเหลือเกิน หากขึ้นไปช้า อาจไม่ทันการณ์และเกิดอันตรายแก่เธอได้ เขาคิดและก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรด้วย เพียงเป็นลมหรือป่วยเป็นอะไร ด้วยสัญชาติญาณของชายผู้ผ่านชีวิตมามาก…..เวลาล้วนมีค่า เร็วเท่าใด ช่วยชีวิตได้มากเท่านั้น เขาจึงก้าวเดินพรวดๆขึ้นไปด้วยความเร็ว มั่นคงและแข็งแรง ราวกับว่าหญิงสาวที่อุ้มอยู่แนบอกนั้นเป็นเด็กตัวเล็กๆ

บันไดก็เลื่อนขึ้น คนอุ้มก็รีบก้าวขึ้น ยิ่งทำให้ขึ้นไปสู่ชั้นสามเร็วยิ่งขึ้น เสียงปรบมือจากสาวๆพนักงานแผนกขายเครื่องสำอางดังลั่น หลายคนแหงนมองตามและปรบมือให้กำลังใจ ทั้งยังมีเสียงใสๆตะโกนออกมาด้วยว่า “ อื้อฮื้อ…แข็งแร้ง..แข็งแรง ”

เสียงปรบมือและเสียงตะโกนชมเชยจากสาวๆเหล่านั้นมันช่างมีค่ามากกว่าถ้วยรางวัลและเหรียญรางวัลใดๆที่เขาเคยได้จากการแข่งขันไตรกีฬาเสียอีก ความภูมิใจที่ได้รับจากการทำ

“ ความดีเพื่อผู้อื่น ” นั้น มันมีค่าเหนือทรัพย์สินเงินทองจริงๆ หยาดเหงื่อแรงกายที่เสียไปในการฝึกฝนมายาวนานได้รับการตอบแทนและส่งผลมาให้เห็นอย่างเป็น “รูปธรรม” แล้วในการกระทำครั้งนี้

จากชั้นล่างผ่านขึ้นสู่ชั้นสอง แล้วก็ถึงชั้นสาม เมื่อเข้าไปในห้องพยาบาล เขาได้วางเธอลงบนเตียงที่พยาบาลสาวประจำศูนย์การค้าชี้บอก เธอเข้ามาตรวจและทำการปฐมพยาบาล เมื่อแม่ของหญิงสาวตามมาถึง เธอถามพยาบาลอย่างละล่ำละลักว่า “เป็นไงคะ เป็นไงบ้าง” พยาบาลบอกว่า “ไม่เป็นไรมากนักหรอก..เธอเป็นลมไปเท่านั้นเอง ขอให้เธอนอนพักซักครู่ อย่ารบกวนเธอนะคะ..รู้สึกว่าเธอจะท้องด้วย..ใช่มั๊ยคะ” มารดาเธอพยักหน้า

เขายืนมองไปที่หญิงสาวที่นอนเหยียดยาวหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง พิจารณาจากผิวพรรณ การแต่งหน้า และแต่งตัว อาภรณ์เครื่องประดับ ตลอดจนกลิ่นหอมจากน้ำหอม ยืนยันได้ว่า…เธอเป็น “ไฮโซ…ผู้มีอันจะกิน” คนหนึ่งอย่างแน่นอน ขณะมองอยู่นั้น หญิงชราก็เอามือมาจับที่ไหล่นักกีฬาของเราด้วยสีหน้าแห่งความชื่นชม เหมือนกับญาติผู้ใหญ่แสดงต่อผู้เยาว์วัย ด้วยความเอ็นดูชื่นชม…. “ขอบคุณ ..คุณผู้ชายมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ” เธอเน้นย้ำ “ถ้าไม่ได้คุณผู้ชายช่วย ลูกสาวฉันคงแย่แน่ๆ” พร้อมกับหันหน้าไปพูดประชดชายหนุ่มหน้ามนที่ยืนหอบหน้าซีดราวไก่ต้มข้างเตียงว่า “เมียตัวเองยังอุ้มไม่ไหว จะไปทำอะไรได้ เอาแต่เที่ยว กินเหล้าเข้าคลับ แย่จริงๆ”

เขามองชายหนุ่มที่เพิ่งรู้ว่าเป็นสามีของหญิงสาวคนนั้น “จวนเป็น..หมูอยู่แล้ว” คือ ภาพที่เขาประมวลได้ อีกไม่เกินสองปีจากนี้แน่นอน เขาคิด ชายหนุ่มนั้นยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณเขาด้วยความรู้สึกในคุณความดี ลักษณะของชายผู้นี้บ่งบอกว่า เป็นคนได้รับการศึกษาสูง มีกริยามารยาทเป็น “ผู้ดี” คนหนึ่ง เพียงแต่ “อ่อนแอ” ทางร่างกายเท่านั้น

“ ดูพี่แข็งแรงยังกะเป็นนักกีฬา” ชายคนนั้นพูด

“ ครับ..ผมเป็นนักกีฬา” เขาตอบด้วยความภาคภูมิ

“เล่นอะไรครับ” ชายคนนั้นซักด้วยความอยากรู้

“วิ่งมาราธอนและไตรกีฬาครับ” เขาตอบ

“กีฬาอะไรครับ…ไตรกีฬาน่ะ…ผมไม่เคยได้ยินเลย” เขาว่า หลังจากที่ได้อธิบายสั้นๆแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะเคยเห็นและได้ดูในทีวีมาบ้างตอนเรียนอยู่เมืองนอก

“ผมว่า คุณควรจะเล่นกีฬาบ้างนะครับจะได้แข็งแรง” ถือโอกาสชักชวนซะเลย

“จริงด้วย ดูคุณคนนี้ซิ อายุมากกว่าเราแท้ๆยังดูแข็งแรงบึกบึนกว่าตั้งเยอะแยะ…แย่จริงๆ” หญิงชราพูดสอดขึ้นกลางวง อีกทั้งอดไม่ได้ที่จะกระทบลูกเขยด้วยคำ…แย่จริงๆ คงจะยังไม่หายเคืองที่ลูกเขยคนโปรดอุ้มลูกสาวของตนไม่ได้ จนต้องขอให้คนอื่นมาช่วยอุ้ม

ในขณะนั้นหญิงสาวก็ได้สติฟื้นขึ้นมา เธอมองหน้าเขาคล้ายๆกับจะพยายามจดจำใบหน้านี้ไว้และได้ยกมือขึ้นไหว้ ด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณอย่างแผ่วเบา เมื่อได้รับการบอกเล่าจากมารดาถึงการกระทำของเขา

เขาบอกลาและอวยพรขอให้เธอหายเป็นปกติโดยเร็ว

ชายหนุ่มเดินตามออกมาส่งนอกห้องพยาบาล ก่อนจากกันชายหนุ่มคนนั้น ได้หันมามองหน้าและยื่นสองมือจับกุมมือของเขาเขย่าขึ้นลงด้วยความขอบคุณในการกระทำและคำแนะนำ

เมื่อตามองตา ก็ได้คำตอบเป็นภาษาใจจาก “ลูกผู้ชาย” คนหนึ่งที่ยืนยันอย่างหนักแน่น ด้วยความตั้งใจที่มุ่งมั่นว่า…….. “คราวหน้า…ผมจะอุ้มเธอเอง”

“เริ่มฝึกฝนตนเองได้เลย…น้องชาย”

 

 

 

 

ทนายวิจิตรในชุดไตรกีฬากับภาพสมัยหนุ่มๆ

 

 

17 มกราคม 2545