เรื่องที่ 1
ผมอยากจะบอกว่า...........

บ่ายวันหนึ่ง บุญเลิศขับรถยนต์เข้าไปที่อำเภอแสนสุขสันต์ ด้วยความเร่งรีบเขาจึงขับรถฝ่าไฟแดง
ตำรวจจราจรนายหนึ่งเรียกให้เขาหยุดรถ

ตำรวจ : คุณขับรถฝ่าไฟแดงได้อย่างไร ?

บุญเลิศ : คือว่า ผมมีเหตุผลครับ ผมจะบอกว่า.......

ตำรวจ : คุณไม่ต้องมาแก้ตัว ผมฟังมามากแล้ว อย่างนี้ควรจับไปขังเสียให้เข็ด

บุญเลิศ : ไม่ใช่อยากจะแก้ตัว ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า..............

ตำรวจ : เงียบเถอะน่า ไม่ต้องพูด ไปสงบสติอารมณ์ในห้องขังเสียหน่อยไป เดี๋ยวผู้กำกับกลับมา คุณค่อยคุยกับเขาก็แล้วกัน

ตำรวจพาคนขับไปที่สถานีตำรวจแล้วเอาเขาใส่ไว้ในห้องขัง เวลาผ่านไปสักสองชั่วโมงเห็นจะได้ ตำรวจเดินมาพูดกับคนขับ

ตำรวจ : ผู้กำกับกำลังจะมาแล้วล่ะ เดี๋ยวคุณเตรียมหาเหตุผลดีๆคุยกับเขาก็แล้วกัน แต่ผมคิดว่า
คุณโชคดีนะ วันนี้ผู้กำกับคงอารมณ์แจ่มใสดี >เพราะบ่ายวันนี้เขาไปงานแต่งของลูกสาวคนโตของเขา

บุญเลิศ : ผมอยากจะบอกว่า ผมก็จะไปงานแต่งงานเหมือนกัน "ผมเป็นเจ้าบ่าวครับ"
 

-------------------------------------------------

เรื่องที่ 2
จากเท็ปสนทนาของ 191

 

ที่สถานีตำรวจในคืนวันหนึ่ง มีโทรศัพท์จากชายขี้เมาคนหนึ่ง
ตำรวจ : 191 ครับ แจ้งเหตุฉุกเฉินอะไร?

ขี้เมา : ผมบุญหลาย มีเหตุโจรกรรมครับ
ตำรวจ : แจ้งรายละเอียด โจรกรรมอะไร?

ขี้เมา : มีคนขโมยพวงมาลัยรถ คันเร่ง และคันเบรก ของรถผม
ตำรวจ : หา? ว่าอะไรนะ? พูดใหม่อีกทีซิ ผมได้ยินไม่ถนัด

ขี้เมา : ผมบุญหลาย บอกว่า มีคนขโมยคันเร่ง คันเบรก และพวงมาลัยรถของผมน่ะ
ตำรวจ : ช่วยบอกซิ คุณอยู่ที่ไหน?

ขี้เมา : ผมอยู่ในรถของผมครับ
ตำรวจ : ไม่ใช่ ผมถามว่ารถของคุณอยู่ที่ไหน?

ขี้เมา : อ้อ รถผมอยู่ในซอยดูดีดี
ตำรวจ : รับทราบ จะให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ ให้รออยู่ที่นั่นก่อน

ห้านาฑีให้หลัง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก
ตำรวจ : 191 ครับ แจ้งเหตุฉุกเฉินอะไร?

ขี้เมา : ผมบุญหลาย
ตำรวจ : มีเหตุฉุกเฉินอะไร?

ขี้เมา : ผมบุญหลาย โทรมาอีกครั้งหนึ่ง ผมพบพวงมาลัยรถ คันเร่ง และคันเบรกแล้วครับ

ตำรวจ : รับทราบ แล้วคุณยังต้องการความช่วยเหลืออยู่อีกหรือไม่
ขี้เมา : ไม่ครับ ขอบคุณ เมื่อสักครู่นี้ผมเข้าไปอยู่ที่เบาะหลังน่ะครับ
 

---------------------------------------------------------


เรื่องที่ 3
กติกาท้องถิ่น (Local rules)


ผู้จัดการสำนักทนายความพาลูกน้องไปพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว ด้วยการยิงนกตกปลาแถวจังหวัด
กาญจนบุรี ลูกน้องส่วนใหญ่เลือกที่จะไปล่องแพและตกปลา เหลือแต่ผู้จัดการคนเดียวเลือกที่จะไปยิงนก
ผู้จัดการหยิบปืนลูกซองห้านัดออโตเมติกแล้วเดินไปริมหนองน้ำใกล้หมู่บ้าน
เห็นนกเป็ดน้ำฝูงใหญ่กำลังหาปลากินเป็นอาหาร
หวังจะได้นกเป็ดน้ำสักหกเจ็ดตัวมาเป็นกับแกล้มเบียร์เย็นนี้
แต่นกเป็ดน้ำตกใจบินขึ้นจากหนองน้ำเสียก่อน ผู้จัดการไม่รอช้า เหนี่ยวไกปืน
เปรี้ยง ! เปรี้ยง !  เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ผลปรากฎว่านกเป็ดน้ำตัวหนึ่ง
ร่วงผลอยจากฟ้า ตกลงไปยังสนามหน้า
บ้านของบุญมั่นเจ้าของฟาร์มผู้กว้างขวาง 
ผู้จัดการวิ่งตามวิถีที่นกเป็ดน้ำตก เห็นนกเป็ดน้ำนอน
แอ้งแม้งอยู่ที่สนามหญ้าในรั้วของเจ้าของฟาร์ม
จึงพยายามปีนรั้วเข้าไปเพื่อเอานกเป็ดน้ำ

บุญมั่น : หยุด ! นั่นใคร? เข้ามาทำไม?

ผู้จัดการ : ผมเองครับ ผู้จัดการสำนักงานทนายความ มายิงนกเป็ดน้ำ บังเอิญมันตกอยู่ที่นั่น ผมจะเข้าไปเอา

บุญมั่น : ช้าก่อน ! นี่เป็นเขตที่ดินของผม ห้ามบุกรุก

ผู้จัดการ : นกเป็ดน้ำเป็นสมบัติของผม หากไม่คืนให้ผม ผมจะฟ้องคุณในข้อหายักยอกทรัพย์สินผู้อื่น

บุญมั่น : เรื่องเล็กๆอย่างนี้ ที่นี่เขาไม่ขึ้นศาลให้เสียเวลาหรอก

ผู้จัดการ : อ้าว ! แล้วเขาตัดสินข้อพิพาทกันอย่างไรล่ะ

บุญมั่น : อ๋อ เขาใช้กติกาท้องถิ่น คือคู่พิพาทจะผลัดกันเตะซึ่งกันและกัน คนละสามที

ผู้จัดการ : แล้วเมื่อไรจะรู้แพ้ รู้ชนะกันล่ะ

บุญมั่น : ก็ไม่ยาก จนกว่าฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้ อีกฝ่ายหนึ่งก็จะชนะ

ผู้จัดการเห็นบุญมั่นอยู่ในวัยกลางคนรูปร่างเล็ก ส่วนตนนั้นหนุ่มกว่า รูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรงกว่า น่าจะเอาชนะเจ้าของฟาร์มได้อย่างแน่นอน
จึงตอบตกลงที่จะใช้กติกาท้องถิ่นตามที่เจ้าของฟาร์มเสนอ 

บุญมั่นจึงเริ่มด้วยการเตะผ่าหมากผู้จัดการ ด้วยรองเท้าบู๊ทที่หนาเตอะ ผู้จัดการทรุด
ลงไปกองกับพื้นทันที ในขณะที่ผู้จัดการยังซมซานอยู่นั้น
บุญมั่นก็เตะครั้งที่สองเข้าที่ซี่โครงและยังไม่ให้ตั้งตัว

บุญมั่นก็เตะครั้งที่สามเข้าที่ปลายคางของผู้จัดการถึงขั้นเกือบสลบ แต่ด้วยความ
ที่เป็นหนุ่มแข็งแรงมาก ผู้จัดการฟื้นจากความมึนงงอย่างรวดเร็ว

ผู้จัดการ : เอาล่ะ ทีนี้เป็นตาของฉันบ้างล่ะ แกจะต้องยอมแพ้แน่นอน

บุญมั่น : โอเค โอเค ผมยอมแพ้ คุณเอานกเป็ดน้ำของคุณไปได้แล้ว

 

---------------------------------------------------------------

 

เรื่องที่ 4
ผมสบายดี

 

บุญเกินเป็นเกษตรกร ได้รับอุบัติเหตุถูกรถสิบล้อพุ่งชนรถปิกอัพที่เขาขับกลับจากในเมือง

บุญเกินต้องขึ้นศาลเพื่อเรียกร้องให้เจ้าของรถสิบล้อจ่ายค่าทำขวัญด้วยเงินก้อนใหญ่

ทนายจำเลย : ณ ที่เกิดเหตุ โจทก์ได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า "ผมสบายดี" ใช่หรือไม่

บุญเกิน : คือว่า ผมเอาเจ้าดิ๊ก หมาอัลเซเชี่ยนขึ้นนั่งที่เบาะหลัง.......

ทนายจำเลย : ข้าแต่ศาลที่เคารพ โจทก์ตอบไม่ตรงประเด็น ขอให้โจทก์ตอบว่า ในวันเกิดเหตุ
โจทก์บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า "ผมสบายดี" ใช่หรือไม่

บุญเกิน : ผมอยากจะบอกว่า ในวันเกิดเหตุ ผมพาเจ้าดิ๊กหมาอัลเซเชี่ยนของผมขึ้นนั่งเบาะหลัง
แล้วผมก็......

ทนายจำเลย : ข้าแต่ศาลที่เคารพ โจทก์ไม่ยอมตอบให้ตรงประเด็น
กระผมอยากให้โจทก์ตอบว่า ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบสวน โจทก์ได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า
โจทก์สบายดี จริงหรือไม่ เพราะเวลาผ่านไปตั้งเป็นสัปดาห์แล้ว โจทก์จึงแจ้งว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์มา
เรียกร้องค่าทำขวัญจากจำเลยมากมายอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่ามันขัดแย้งกัน

ศาล : ขอให้โจทก์เล่าให้จบ ศาลอยากฟัง เมื่อโจทก์พาเจ้าดิ๊กขึ้นนั่งเบาะหลัง แล้วอย่างไร?

บุญเกิน : ข้าแต่ศาลที่เคารพ เมื่อกระผมพาเจ้าดิ๊กหมาอัลเซเชี่ยนขึ้นนั่งที่เบาะหลัง และเจ้าบอส
หมาโดเบอร์แมนขึ้นนั่งที่เบาะหน้าแล้ว กระผมก็ขับรถออกมา
ทันใดนั้นรถบรรทุกสิบล้อก็วิ่งเข้าชนด้านขวา รถกระผมพลิกคว่ำ ทั้งตัวกระผม เจ้าดิ๊ก
และเจ้าบอสกระเด็นออกนอกรถ ตกอยู่ในคูข้างทางทั้งคู่ กระผมได้ยินเจ้าดิ๊ก กับเจ้าบอสมันร้องครวญคราง และโหยหวน
เป็นที่น่าเวทนา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง เขาเดินไปหาเจ้าดิ๊ก
ชักปืนออกมาแล้วจ่อเข้าที่หว่างคิ้วเหนี่ยวไกปืน เปรี้ยง ! เจ้าดิ๊ก
ตายคาที่ทันที ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินไปที่เจ้าบอส
เอาปืนเล็งไปที่หัวมัน เหนี่ยวไกปืนเปรี้ยง !  เจ้าบอสก็ตายทันทีด้วย
แล้วเขาก็เดินมาหาผมโดยที่เขายังถือปืนอยู่ในมือ

เขาพูดว่า "หมามันบาดเจ็บมาก ผมไม่อยากให้มันทรมาณ อ้าว !
แล้วคุณล่ะบาดเจ็บมากไหม?"

กระผมก็เลยจำเป็นต้องบอกว่า "ผมสบายดี"
 

---------------------------------------------------------------------

เรื่องที่ 5
เหตุเกิดที่ศรีธัญญา

ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา บุญเปลี่ยนสามี และสายเย็นภรรยา
อยู่รักษาตัวมาหกเดือนแล้ว ทั้งคู่เป็นคนโอภาปราศรัย รักใคร่ปรองดอง
จนเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยของบรรดาหมอและพยาบาล ทั้งคู่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ห่างเหิน
เช้าวันหนึ่ง ทั้งคู่เดินผ่านสระว่ายน้ำของโรงพยาบาล ทันใดนั้นโดยไม่คาดฝัน
บุญเปลี่ยนได้ กระโดดลงบริเวณส่วนลึกที่สุดของสระน้ำแล้วจมลงที่ก้นสระทันที
ด้วยความตกใจ สายเย็นก็ รีบกระโดดลงไปในน้ำ แล้วพยายามดึงบุญเปลี่ยนขึ้นมาที่ขอบสระ
หมอและพยาบาลเห็นเหตุการณ์นี้ตลอด นอกจากจะมาช่วยกันปฐมพยาบาลบุญเปลี่ยนแล้ว
ยังได้รายงานผู้อำนวยการเพื่อทราบด้วย

ผู้อำนวยการดีใจที่เห็นสายเย็นมีสติสัมปชัญญะดี
วีรกรรมเมื่อเช้านี้แสดงให้เห็นถึงสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ จึงคิดว่าน่าที่จะออกจากโรงพยาบาลและกลับบ้านได้แล้ว

ตอนสายของวันนั้น ผู้อำนวยการเรียกสายเย็นมาพบ

ผู้อำนวยการ : สายเย็น หมอมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะบอก

สายเย็น : .................................

ผู้อำนวยการ : ข่าวดีคือ คุณหายแล้ว กลับบ้านได้แล้ว แต่ข่าวร้ายคือ
บุญเปลี่ยน สามีคุณเสียชีวิตแล้ว มีคนเห็นสามีคุณผูกคอตายด้วยผ้าปูที่นอน ที่หน้าต่างห้องพัก

สายเย็น :  เขาไม่ได้ผูกคอของเขา ฉันเป็นคนผูกเขาห้อยไว้ที่นั่นเอง
ฉันเห็นตัวเขาเปียกมากจึงต้องตากเขาไว้ที่นั่นก่อนอีกนานไหมพวกเราจะกลับบ้านได้
ฉันจะเตรียมไปเก็บเขาได้แล้ว

ผู้อำนวยการ : ???????????????????????

 

------------------------------------------------------------------------

เรื่องที่ 6
มืออาชีพ

 

บุญน้อยเป็นชายหนุ่มรูปงาม มีฐานะ และมีรสนิยมในการแต่งตัว
แต่โชคร้ายที่บุญน้อยต้องทนทุกข์ทรมาณกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรงมาหลายปี
เขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลหลายแห่ง
หมอเอ็กซเรย์ก็แล้ว อุลตร้าซาวด์ก็แล้ว สแกนด้วยคอมพิวเตอร์ก็แล้ว
ยังหาสาเหตุของอาการปวดหัวอย่างรุนแรงนี้ไม่ได้
วันหนึ่งมีเพื่อนแนะนำให้บุญน้อยไปพบหมอหนุ่มที่เชี่ยวชาญด้าน
อายุรกรรมและมีคลีนิคส่วนตัว

หมอ : จะให้หมอช่วยอะไรได้บ้าง

บุญน้อย : ผมมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงมาหลายปีแล้ว
ไปโรงพยาบาลมาหลายแห่งก็ไม่ดีขึ้น
มันทรมาณมากจนบางครั้งคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ

หมอ : ถอดกางเกงให้หมด

บุญน้อย : ผมปวดศรีษะนะหมอ

หมอพยักหน้าไม่ตอบ บุญน้อยจึงจำยอมถอดกางเกงเพื่อให้หมอตรวจ
ภายหลังจากการตรวจอย่างละเอียด

หมอ : หมอทราบแล้ว สาเหตุที่ทำให้คุณปวดหัวอย่างรุนแรงนั้น
เนื่องจากสรีระคุณผิดปกติไข่สองใบของคุณแทนที่จะห้อยลงตามปกติ นี่มันย้วยไปข้างหลัง
ทำให้ไปกดทับกระดูกก้นกบ จึงเป็นสาเหตุของการปวดหัวอย่างรุนแรง

บุญน้อย : แล้ววิธีรักษา จะทำอย่างไร

หมอ : มีวิธีเดียว คือต้องตัดไข่ทั้งสองใบทิ้งไป อาการปวดหัวก็จะหาย

บุญน้อย : หมอแน่ใจเหรอครับ

หมอ : เชื่อหมอซี นี่เป็นอาชีพของหมอ

ด้วยความที่ต้องทนทุกข์ทรมาณมานานหลายปี และก็มองไม่เห็นทางเลือกอื่น
แม้ว่าจำต้องต้องตัดไข่ทิ้งก็ตาม ในที่สุดบุญน้อยก็ยอมให้หมอผ่าตัดเอาไข่ทิ้งไป
หลังการผ่าตัดปรากฎว่าอาการปวดหัวอย่างรุนแรงของบุญน้อยก็หายเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าอัศจรรย์

วันหนึ่งบุญน้อยไปเที่ยวศูนย์การค้า เห็นร้านขายเครื่องแต่งกายชายเลยแวะเข้าไปดู

คนขาย : สวัสดีครับ คุณผู้ชาย รองเท้ารุ่นนี้เพิ่งตกมาอาทิตย์นี้เองครับ
สำหรับท่านแล้ว คู่สีดำหนังมันเบอร์แปด เหมาะกับท่านที่สุด ทดลองใส่ดูได้เลยครับ

บุญน้อย : คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมชอบคู่นี้พอดี และผมก็ใส่เบอร์แปดด้วย
ตกลงผมขอคู่นี้แหละ

คนขาย : มันอาชีพของผมครับท่าน ท่านจะไม่ดูเสื้อเชิร์ตสักตัวหรือครับ
รุ่นนี้เนื้อผ้าดีใส่แล้วเย็นสบาย สีฟ้าอ่อนดูมีระดับนะครับ ของท่านนี่ต้องคอ 17 แขน 34 เข้ากับรูปทรงพอดี

บุญน้อย : เอ๊ะ คุณนี่เก่งจริงๆ นอกจากรู้ขนาดแล้วยังรู้ใจผมอีก ตกลงผมซื้อ

คนขาย : มันอาชีพของผมครับท่าน  ท่านเอากางเกงสักตัวซิครับ
สีดำนี้เข้ากับเสื้อเชิร์ตและรองเท้านั่นพอดี เอวท่าน 36 ใส่กระชับดีครับ
และท่านควรรับกางเกงในด้วยอีกตัวหนึ่งใช้ เบอร์ 36 ใส่สบายครับ

บุญน้อย : คุณผิดแล้วล่ะ ผมน่ะใส่กางเกงในเบอร์ 32
มาโดยตลอดตั้งแต่ผมอายุ 18 แล้ว

คนขาย : เชื่อผมเถิดท่าน มันเป็นอาชีพของผม หากท่านใส่เบอร์ 32
มันจะรัดมากเกินไป ใส่นานไปจะดึงไข่ให้ย้วยไปข้างหลัง
แล้วจะไปกดก้นกบทำให้ท่านต้องปวดหัวอย่างรุนแรงครับ


เรื่องที่ 7
ทีเด็ด

ในชั้นเรียนประถมปีที่สอง ครูสอนวิชาธรรมชาติวิทยาพยายามอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ปลาวาฬ ถึงจะมีขนาดใหญ่มากแต่มันก็ไม่สามารถกลืนกินคนเป็นอาหารได้ อาหารของมันคือแพรงตอนสัตว์ ขนาดเล็กๆจำนวนมาก

ดช.แก้ว : ไม่จริงครับ มีคนถูกปลาวาฬกินไปแล้ว

ครู : เป็นไปไม่ได้ เพราะปลาวาฬมีช่องคอที่แคบมาก มันจะกินกลืนคนไม่ได้เด็ดขาด

ดช.แก้ว : ทำไมจะไม่ได้ ดช.จุน ยังถูกปลาวาฬกินไปแล้วเลย เราไปถามเขาดูกันก็ได้นี่ครับ

ครู : แล้วจะไปถามเขาได้ที่ไหนกันล่ะ ก็ไหนบอกว่าปลาวาฬกินเขาไปแล้วไง

ดช.แก้ว : ก็ตอนไปสวรรค์ไงครับ เขาอยู่บนสวรรค์แล้ว

ครู : อ้าว ! แล้วถ้าเขาตกนรกล่ะ

ดช.แก้ว : ถ้าอย่างนั้น ครูก็ไปถามเขาคนเดียวแล้วกัน

 


เรื่องที่ 8
สาเหตุของผมขาว

สายพราว มีลูกสาวแปดขวบคนหนึ่ง ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กซุกซนแต่เธอก็เป็นเด็กที่ฉลาด มาก เธอมักจะมีคำถามๆสายพราวอยู่ตลอดเวลา

วันหนึ่งขณะที่สายพราวกำลังเตรียมอาหารค่ำอยู่ในครัว ลูกสาวที่ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างตัวก็ เปรยขึ้น

ลูกสาว : คุณแม่ขา คุณแม่แม่ หนูเห็นผมขาวบนหัวคุณแม่ด้วยค่ะ

สายพราว : ใช่สิจ๊ะ ก็ถ้าลูกทำตัวดื้อ ไม่เชื่อฟังแม่ครั้งหนึ่ง ผมของแม่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาว เส้นหนึ่ง

ลูกสาว : จริงหรือคะ ? อืม์ หนูคิดว่า คุณแม่ก็คงเป็นคนดื้อมาก และไม่เชื่อฟังคุณยายบ่อย มากด้วย ใช่ไหมคะ คุณแม่ ?

สายพราว : ทำไมลูกถึงพูดอย่างนั้นล่ะลูก

ลูกสาว : ก็เพราะคุณยายมีผมขาวเต็มหัวเลยนั่นซิคะ

แม่ : ??????

 


เรื่องที่ 9
อย่าฝากตำรวจ

ยายสาย อยู่อยู่เลี้ยงหลานสาวแปดขวบตามลำพังที่โคราช แกมีอาชีพเก็บขยะขายไม่มีที่พึ่งพิงอื่น กลางดึกคืนวันหนึ่งหลานสาวเป็นไข้ความร้อนขึ้นสูง ตัวแกเองก็ไม่มีเงินติดตัวเลย ด้วยความเป็น ห่วงหลานสาว แกออกจากบ้านเดินไปยังอนุเสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) เพื่อบนบาน ยายสายอยู่ : ข้าแต่ย่าโม ลูกช้างมาขอพึ่งบารมี ด้วยหลานสาวลูกช้างเป็นไข้สูง แต่ลูกช้างไม่มีเงินที่จะ พาไปโรงหมอได้เลย ใต้เท้าช่วยให้ลูกช้างได้เงินสัก 500 บาท ลูกช้างจะกลับมาขอบคุณใต้เท้าทันที

หลังจากบนบานศาลกล่าวแล้วยายสายอยู่ก็เดินกลับบ้าน ตอนนั้นประมาณตีสองอากาศหนาวเย็น แกจึง ใช้ผ้าห่มคลุมตัวจนมิดชิด เดินมาได้พักหนึ่งเจอตำรวจ

ตำรวจ : หยุด ! เราเป็นใคร? มาเดินทำไมดึกดื่นป่านนี้ เป็นพวกมิจฉาชีพล่ะสิ

ยายสายอยู่ : ข้าแต่คุณตำรวจ ข้าน้อยสายอยู่ไม่ใช่พวกมิจฉาชีพ เนื่องจากหลานสาวอายุแปดขวบของ ข้าน้อยป่วยเป็นไข้หนักนอนหนาวสั่นน่าเวทนา ข้าน้อยไม่มีเงินพาไปโรงหมอ จึงได้เดินไปบน ย่าโม นี่กำลังจะเดินกลับบ้านไปดูหลานสาว

ตำรวจผู้มีเมตตาฟังเรื่องราวจากยายสายอยู่แล้วเกิดความสงสาร แกควักกระเป๋าแล้วยื่นเงินให้ยาย

ตำรวจ : นี่ยาย เงิน 300 บาทนี่ยายเอาไปพาหลานไปโรงหมอ ถ้าเหลีอก็จะได้ซื้อข้าวกินด้วย

ยายสายอยู่ได้รับเงินจากตำรวจแล้วดีใจเป็นอย่างมาก แทนที่จะรีบกลับบ้าน ยายกลับรีบไปหาย่าโมก่อน

ยายสายอยู่ : ข้าแต่ใต้เท้า ลูกช้างมาขอบคุณที่ใต้เท้าส่งเงินมาให้ลูกช้างทันที แต่ว่า...เงินที่ส่งมานั้นลูก ช้างได้รับไม่ครบ คราวหน้าถ้าใต้เท้าจะส่งเงินให้ลูกช้าง อย่าฝากตำรวจมานะคะใต้เท้า

 


เรื่องที่ 10
ยอดทนาย

เจ้าพ่อมาเฟียคนดัง จ้าง บุญรักษ์ เป็นสมุห์บัญชี เขาเป็นคนใบ้หูหนวกและพูดไม่ได้ ด้วยหวังว่า สมุห์บัญชีจะไม่สามารถฟังเรื่องราวต่างๆที่เจ้าพ่อพูดคุย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องมิจฉาชีพและ เรื่องผิดกฏหมายทั้งสิ้นได้เพราะหูหนวก ถึงจะต้องถูกเรียกไปเป็นพยานศาลก็ไม่ได้ จึงน่าจะ ปลอดภัยดีสำหรับเจ้าพ่อ

แต่เจ้ากรรม ! บุญรักษ์สมุห์บัญชี ยักยอกเงินไปสิบล้านบาท เจ้าพ่อมาเฟียจึงถามบุญรักษ์สมุห์ บัญชีผ่านทนายผู้รู้ภาษาใบ้

เจ้าพ่อมาเฟีย: แกยักยอกเงินสิบล้านของฉันไปไหน?

บุญรักษ์สมุห์บัญชีตอบผ่านทนายด้วยภาษามือว่า "ท่านพูดเรื่องอะไร ? ผมไม่รู้เรื่อง"

เจ้าพ่อมาเฟียชักปืนขึ้นมาจ่อขมับของบุญรักษ์ พร้อมกับให้ทนายส่งภาษามือ "เขาจะยิงหัวแก ถ้าแกไม่บอกว่าเงินที่แกยักยอกไปนั้น แกเอาไปไว้ที่ไหน"

บุญรักษ์ตกใจกลัวเลยบอกทนายว่า "เงินสิบล้านที่ยักยอกไปนั้น เก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาล แล้วฝังไว้ใต้ต้นมะม่วงหลังบ้านของสายใจแฟนสาว"

เจ้าพ่อมาเฟีย: เขาบอกว่าอย่างไร?

ทนาย : เขาบอกว่า เขารู้ว่าปืนของท่านไม่มีกระสุนหรอก อย่ามาขู่เขาให้เสียเวลาเลย อยากยิงก็ยิง

 


เรื่องที่ 11
ความหลังและความทรงจำ

หลังเกษียณอายุแล้ว ลุงบุญทองและป้าสายศรี ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ภูมิลำเนาเดิม ความรักหวานฉ่ำ ทำให้วันหนึ่งลุงบุญทองชวนป้าสายศรีไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าที่อยู่ห่างจากบ้านสักสองกิโลเมตร โรงเรียนมีสภาพเกือบจะเหมือนสมัยลุงและป้าเรียนอยู่ด้วยกัน นั่นห้องเรียน นี่โต๊ะเรียนตัวเดิม สังเกตุได้จากรอยแกะสลักบนโต๊ะที่ลุงบุญทองใช้มีดพับแกะคำว่า "รักศรีสุดชีวิต" ป้าสายศรีเห็น รอยแกะสลักก็หันมายิ้มให้ลุงบุญทองอย่างมีความสุข พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนดื่มด่ำกับความ หลังอันแสนสุขจนบ่ายคล้อย ทั้งสองก็เดินจูงแขนกันกลับบ้าน ระหว่างทางปรากฎว่ารถบรรทุกธนบัตร ของธนาคารทำมัดธนบัตรฟ่อนหนึ่งหล่นและกลิ้งมาหยุดอยู่แทบเท้าป้าสายศรี

สายศรี : ลาภลอย บุญทอง : เอาไปคืนเขาดีกว่า ลาภอันมิควร

ป้าสายศรีไม่ยอมจึงหอบธนบัตรฟ่อนนั้นกลับบ้านไป นั่งนับดูแล้วพบว่าเป็นเงินถึงห้าล้านบาท ป้าจึง รีบนำไปซ่อนไว้ที่ใต้หลังคาบ้าน สองวันต่อมามีตำรวจสายสืบมาเดินถามชาวบ้านละแวกนั้นจนมา ถึงบ้านคนทั้งสอง ตำรวจ : มีใครพบฟ่อนธนบัตรที่หล่นจากรถบรรทุกเงินเมื่อสองวันก่อนบ้างไหมครับ?

บุญทอง : มี ป้าสายศรีภรรยาผมเองแหล่ะ เขาพบฟ่อนธนบัตรแล้วนำไปซ่อนที่ใต้หลังคา สายศรี : อย่าไปเชื่อ เขาเป็นอัลไซเมอร์ ความจำเลอะเลือน ตำรวจ : ไหนลุง ช่วยเล่าเรื่องราวให้ฟังหน่อยซิ มันเป็นมาอย่างไร?

บุญทอง : คือว่า...เมื่อบ่ายวันนั้น....เราสองคนจูงแขนกันเดินกลับมาจากโรงเรียน แล้วเราก็........

ตำรวจ : พอแล้ว พอแล้ว กลับกันเถอะพวกเรา วันนี้เหลวตามเคย ตำรวจทั้งหมดก็รีบจากบ้านทั้งสองอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่รอยยิ้มที่มีความสุขของป้าสายศรีกับความ งุนงงของลุงบุญทองเท่านั้น

 


เรื่องที่ 12
แม่ปลาช่อน

บุญถิ่น หนุ่มใหญ่ ไปซื้อกระบุงใบหนึ่งกับทั่งตีเหล็กอันหนึ่งที่ร้านสโตร์ แล้วก็แวะซื้อห่านตัวหนึ่ง กับแม่ไก่อีกสองตัวที่ร้านขายสัตว์ หลังจากซื้อเสร็จจะกลับบ้านก็มีปัญหาว่าจะถือข้าวของพวกนี้กลับ ได้อย่างไร ระหว่างที่ละล้าละลังอยู่ที่หน้าร้านอยู่นั้น บังเอิญมีหญิงสาวทึนทึกผู้หนึ่งเดินเข้ามา

สาวทึนทึก : ขอโทษอ่ะ อะฮั้นจะไป ซอยดูทีน่า ไม่ทราบว่าไปทางไหน

บุญถิ่น : อ๋อ ซอยดูทีน่าเหรอ บ้านผมก็อยู่ที่นั่น นี่ผมกำลังจะกลับบ้านอยู่พอดี ผมสามารถนำคุณ ไปได้ แต่ผมกำลังมีปัญหาเรื่องข้าวของที่ต้องถือ

สาวทึนทึก : เออ คุณก็เอาทั่งใส่ไว้ในกระบุงแล้วหิ้วด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็หิ้วห่านตัวนั้น ส่วนแม่ไก่สองตัว คุณก็หนีบไว้ที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้าง แค่นี้เอง คุณก็ถือได้สบายแล้ว

และแล้วหนุ่มใหญ่ก็เดินนำสาวทึนทึกไปยังซอยดูทีน่า ระหว่างทางที่เดินไปนั้นเขาหยุดที่ตรอกเล็กๆ

บุญถิ่น : เราควรเดินทางลัดดีกว่า ถ้าตัดเข้าตรอกสายไหม เราก็ร่นระยะทางได้สัก 300 เมตร

หญิงสาวเห็นตรอกนั้นแคบและมืด เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอก็หันมาทางบุญถิ่น

สาวทึนทึก : ตรอกนี้มันเปลี่ยวนะ อะฮั้นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณจะไม่ทำอะไรอะฮั้น อะฮั้นตัวคน เดียวไม่มีใครปกป้องคุ้มครองอ่ะ

บุญถิ่น : ผมจะทำอะไรคุณได้อย่างไรในขณะที่ต้องถือกระบุง ทั่ง ห่านและแม่ไก่อย่างนี้

สาวทึนทึก : ได้สิ ก็ถ้าคุณเอากระบุงครอบห่านไว้แล้วเอาทั่งทับบนกระบุง ห่านก็หนีไม่ได้ แล้วทีนี้ แม่ไก่สองตัวให้อะฮั้นถือไว้ในมือข้างละตัว แค่นี้คุณก็จัดการอะฮั้นได้แล้ว

 


เรื่องที่ 13
ไก่แก่

บุญลือ เจ้าของฟาร์ม เข้าเมืองแล้วซื้อไก่โต้งหนุ่มตัวหนึ่งเพื่อมาเป็นพ่อพันธุ์ของไก่ในฟาร์ม ไก่หนุ่มเดินวางท่าฉุยฉายท่ามกลางไก่สาวนับร้อย บังเอิญมาเจอไก่โต้งแก่ที่บุญลือเจ้าของฟาร์ม กำลังจะปลดระวาง

ไก่หนุ่ม: ฉันเป็นพ่อพันธุ์ตัวใหม่

ไก่แก่ : ฉันทราบดี แต่ความจริงฉันก็ยังแข็งแรงอยู่นะ หากแกจะกรุณา ฉันขอแบ่งไก่ตัวเมีย สูงอายุกลุ่มที่อยู่ฟากโน้น ให้ฉันสักสองสามตัว ก็จะเป็นพระคุณ

ไก่หนุ่ม : ไม่ได้ ฉันรู้สึกว่าไก่สาวในฟาร์มนี้ยังน้อยเกินไป เขาไม่เอาแกไปแกงก็บุญถมไปแล้ว

ไก่แก่ : ถ้างั้น ฉันว่าเรามาวิ่งแข่งกันไหม ถ้าฉันชนะ ฉันจะได้ไก่สาวครึ่งฟาร์ม แล้วเราก็ต่างคนต่างอยู่

ไก่หนุ่มชำเลืองตามองดูไก่แก่อย่างหยามเหยียด นึกในใจว่าสบายมาก ยังไงเราก็ชนะแน่ จึงพูดขึ้นว่า

ไก่หนุ่ม : ก็ได้ และเพื่อความเป็นธรรม ฉันจะให้แกออกวิ่งก่อนสิบวินาฑี

เมื่อตกลงกันได้แล้ว ไก่แก่ก็ออกวิ่งทันที สิบวินาฑีผ่านไป ไก่หนุ่มก็ออกวิ่งด้วยความเร็วดั่งพายุ วิ่งพักเดียวไก่หนุ่มก็ตามไก่แก่จนติดขนาดหายใจรดต้นคอ คิดว่าอีกแค่อึดใจเดียวก็จะแซงไก่แก่ ได้อยู่แล้ว ซึ่งก็พอดีผ่านหน้าบ้านบุญลือเจ้าของฟาร์ม บุญลือเห็นเพียงไก่หนุ่มวิ่งไล่ไก่แก่แต่ไม่รู้ ความเป็นมา จึงเกิดโมโหยกปืนขึ้นเล็งไปที่ไก่เหนี่ยวไกปืน เปรี้ยง ! ไก่หนุ่มกระเด็น ตายคาที่ทันที

บุญลือ : บ้าจริงๆ ! นี่เป็นไก่หนุ่มตัวที่สามของเดือนนี้แล้วนะ ที่ซื้อมาแล้วเจอแต่ไก่กระเทย สงสัยยังต้องเลี้ยงไก่แก่นี้ไว้ทำพันธุ์อีกสักพักเสียแล้ว

 


เรื่องที่ 14
เรื่องบังเอิญ

บุญญา นั่งดื่มเหล้าเงียบๆในบาร์แห่งหนึ่งมาเป็นชั่วโมงแล้ว เขานั่งจ้องหน้าชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ ติดกันสักพักหนึ่งแล้วเขาก็ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน บุญญา : หน้าคุณดูคุ้นๆนะ คุณอยู่แถวๆนี้หรือเปล่า?

ชายหนุ่ม : อ๋อ ผมอยู่ที่ซอยดูดีดี ไม่ไกลจากที่นี่ แล้วคุณล่ะ อยู่แถวไหน? บุญญา : จริงเหรอ ผมก็อยู่ที่ซอยดูดีดีเหมือนกัน แต่เอ๊ะ ดูคุณน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมนะ ผมจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนสันติชาติเมื่อปี 28 คุณล่ะ เรียนที่ไหน?

ชายหนุ่ม : ใช่ ผมก็เรียนที่นั่นเช่นเดียวกัน ผมจบแล้วไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมสวาสดิ์ทันทีเลย คุณไปเรียนต่อหรือเปล่า? บุญญา : เป็นไปได้อย่างไร ผมก็ไปเรียนที่นั่นด้วยเหมือนกัน แล้วคุณพักอยู่หอพักไหนล่ะ

ชายหนุ่ม : ผมหรือ? ผมพักอยู่ที่หอพรรณวดี บุญญา : เฮ้ย! อย่าล้อเล่นน่า ผมก็พักที่นั่นเหมือนกัน

แล้วก็หันมาพูดกับโจ บาร์เทนเดอร์ ซึ่งเดินเข้ามาพอดี

บุญญา : โจ นี่เป็นเรื่องที่บังเอิญที่สุดในโลก มีที่ไหนกัน คุณคนนั้นมีบ้านอยู่ในซอยเดียวกับผม จบชั้นมัธยมจากโรงเรียนเดียวกันและปีเดียวกันด้วย ยิ่งกว่านั้น ยังไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน และพักอยู่ในหอพักเดียวกันอีก คุณว่ามันมหัศจรรย์ไหม โจ?

โจ : ผมว่าก็งั้นๆแหละ

มีชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาในบาร์ ชายคนใหม่ : เฮ้ โจ เอาเหล้ามากินแก้วซิ หมู่นี้มีเรื่องราวอะไรใหม่ๆบ้างไหม โจ ?

โจ : ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เว้นแต่ฝาแฝดคู่ที่นั่งอยู่ตรงนั้น เมาตามเคยอีกแล้ว

 


เรื่องที่ 15
โชคร้ายหรือโชคดี

บุญลอย นั่งมองแก้วเหล้าของเขาอย่างเหม่อลอย อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงผ่านไป พ่อค้าหมูขี้เล่นคนหนึ่ง สังเกตุเห็นพฤติกรรมของเขาอยู่ตลอด จึงเดินเข้าไปหาบุญลอยแล้วยกแก้วเหล้าของเขาที่วางอยู่นั้น ขึ้นดื่มแก้รำคาญ รวดเดียวหมดแก้ว บุญลอยร้องไห้ฟูมฟาย

บุญลอย : โฮ..โฮ.. ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ

พ่อค้าหมู : เฮ้ย ! ผมล้อเล่นเฉยๆน่า เรื่องจิ๊บจ๊อยอย่างนี้ถึงกับร้องไห้เป็นเด็กไปได้ โธ่เอ๋ย มันไม่เท่า ไหร่หรอก ผมจะซื้อทดแทนให้สองแก้วเลยเอา

บุญลอย : เปล่า มันไม่ใช่อย่างนั้น

พ่อค้าหมู : อ้าว ! ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ

บุญลอย : มันเป็นเรื่องเศร้า และเศร้าซ้ำสอง

พ่อค้าหมู : ไหนลองเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยซิ

บุญลอย : คือว่า วันนี้มันเป็นวันแห่งความโชคร้ายของผม ผมตื่นนอนสาย เลยไปประชุมนัดสำคัญ ไม่ทัน ทำให้เจ้านายผมโกรธมากถึงกับไล่ผมออกจากงานทันที ผมจะกลับบ้านแต่พบว่ารถยนต์ที่ผม จอดอยู่ที่จอดรถได้หายไป ผมจึงนั่งแท็กซี่ไปแจ้งความ แต่ดันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนรถแท็กซี่อีก พอกลับมาถึงบ้าน ปรากฏว่าบ้านผมถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่านไปหมด ผมไม่เหลืออะไรเลย ผมไม่รู้ว่า จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ผมจึงมาที่บาร์แห่งนี้สั่งเหล้าหนึ่งแก้วแล้วผมก็ผสมยาพิษเข้าไป เตรียมจะ ดื่มเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ผมหวั่นไหวเล็กน้อย พอดีคุณเดินเข้ามายกแก้วนั้นขึ้นดื่มจนหมด

 


เรื่องที่ 16
โจ๊กที่สุด

บุญเกิด ได้เป็นสมาชิกใหม่ของบาร์เหล้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนที่พาเขาไปนั้นเป็นสมาชิกมานาน หลายปีแล้ว คืนวันศุกร์หลังเลิกงาน บุญเกิดและเพื่อนก็ไปกินเหล้ากันในบาร์แห่งนั้น มีผู้คน มากมายกินเหล้าไป คุยกันไป สรวลเสเฮฮา

มีอยู่ตอนหนึ่งบุญเกิดได้ยินเสียงคนตะโกนว่า 27 ปรากฎว่าคนในบาร์แห่งนั้นทั้งหมดหัวเราะ เป็นเสียงเดียวกัน อีกพักใหญ่ๆก็มีเสียงตะโกนว่า 43 เสียงหัวเราะก็ดังสนั่นหวั่นไหวทั่วทั้งบาร์ สร้างความประหลาดใจให้แก่บุญเกิดยิ่งนัก

บุญเกิด : ทำไมคนในบาร์นี้จึงหัวเราะแค่กับเสียงตะโกนว่า 27 หรือว่า 43 เท่านั้น เลขเหล่านั้น มีความหมายอะไร?

เพื่อน : อ๋อ คือที่นี่สมาชิกเล่าโจ๊กกันทุกวัน เล่ากันมาเป็นปีๆ โจ๊กเรื่องหนึ่งๆก็เล่ากันนับร้อยครั้ง จนทุกคนจำเนื้อเรื่องกันได้ดี ดังนั้น แค่บอกเลขที่โจ๊กทุกคนก็จะรู้เนื้อหาและหัวเราะได้ทันทีโดย ไม่ต้องเล่ารายละเอียดให้เสียเวลา

บุญเกิด : ถ้าอย่างนั้น ขอให้ผมทดลองตะโกนเลขที่โจ๊กหน่อยได้ไหม เพื่อน : ได้สิ คุณเป็นสมาชิกคนหนึ่ง คุณจึงมีสิทธิ์เล่าโจ๊กโดยตะโกนบอกแต่เลขที่ได้

บุญเกิดจึงตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า 191 ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของคนทั้งบาร์ก็ระเบิดขึ้นพร้อมกัน และมีเสียงตบมือกระทืบเท้าด้วย เสียงหัวเราะยาวนานหลายนาฑีโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหัวเราะ ลงเมื่อไร ทำให้บุญเกิดแปลกใจมาก

บุญเกิด : มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคนจึงหัวเราะเลขที่ 191 อย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ตอนเขา ตะโกนเลขอื่นๆคนหัวเราะไม่นานก็หยุด

เพื่อน : อ๋อ เนื่องจากโจ๊ก 191 นั้น พวกเขาเพิ่งเคยได้ฟังครั้งแรกจากคุณคืนนี้นี่ไง

 


เรื่องที่ 17
เมามันหยด

บาร์จะปิดแล้ว ตำรวจจราจรนั่งอยู่หน้ารถสายตรวจ คอยสังเกตุคนเดินออกจากบาร์ ระยะนี้ รัฐบาลกำลังรณรงค์เรื่องเมาไม่ขับ ผู้กำกับก็จ้ำจี้จ้ำไชไม่อยากให้เกิดเหตุในพื้นที่รับผิดชอบ แม้จะต้องอดหลับอดนอนมาเฝ้าคนเมาหน้าบาร์ก็ถือเป็นหน้าที่ที่จะป้องปรามคนเมาทั้งหลาย ให้เคารพกฎหมาย

ทันใดนั้นเขาก็เห็นชายคนเมาคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาภายหลังทราบชื่อว่า บุญฉาน เดินโซซัดโซเซ ออกมา สะดุดธรณีประตูบาร์เกือบหัวขะมำแล้วก็เดินเด้งหน้าเด้งหลังไปยังรถที่จอดอยู่ เสียบ กุญแจรถอย่างทุลักทุเล คันแล้วคันเล่าเสียบอยู่ห้าหกคันเห็นจะได้ ในที่สุดก็เจอรถของตน

เมื่อขึ้นนั่งในรถแล้วก็ยังหารูเสียบกุญแจสตาร์ทไม่ได้ ตำรวจก็เฝ้าดูอยู่ด้วยใจระทึก คนใน บาร์ก็ทะยอยกันขับรถกลับบ้าน บุญฉานเสียบกญแจสตาร์ทได้แล้ว เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น เขาเปิดที่ปัดน้ำฝนทั้งๆที่ไม่มีฝนแม้สักเม็ดเดียว เขาทดลองบีบแตรเบาๆ แล้วใส่เกียร์เดิน หน้า เบรค ใส่เกียร์ถอยหลัง เบรค ตำรวจก็สตาร์ทรถสายตรวจเช่นเดียวกัน

คนในบาร์กลับบ้านจนหมดแล้วเหลือบุญฉานชายขี้เมาคนนี้คนเดียวเท่านั้น

ในที่สุด บุญฉานก็ออกรถแต่ยังไปไม่ได้ถึงหนึ่งร้อยเมตร ตำรวจก็เรียกให้หยุดรถ ตำรวจนำ เครื่องเป่าลมหายใจเพื่อวัดระดับแอลกอฮอลมาด้วย แล้วให้เขาเป่า ผลการวัดระดับแอลกอฮอล เป็นศูนย์ สร้างความประหลาดใจให้ตำรวจยิ่งนัก

ตำรวจ : คุณเมามากขนาดนี้ แต่วัดระดับแอลกอฮอลแล้วไม่มี มันเป็นเรื่องประหลาด หรือว่า เครื่องมันเสีย อย่างนั้นผมว่าคุณควรไปโรงพักกับผมเดี๋ยวนี้ดีกว่า

บุญฉาน: ไม่ต้องหรอกครับคุณตำรวจ เครื่องวัดไม่เสียครับ วันนี้เป็นเวรของผมที่ต้องมาหรอก ตำรวจ เพื่อคนอื่นๆจะได้กลับบ้านอย่างสบายใจงัยครับ

 


เรื่องที่ 18
คู่แข่งจิตแพทย์

บุญสืบ ไปหาจิตแพทย์ บุญสืบ : หมอ ผมมีปัญหา คือว่าตอนผมนอนบนเตียง ผมจะรู้สึกว่ามีใครอยู่ใต้เตียง พอผมลงมาที่ ใต้เตียงก็จะรู้สึกว่ามีคนอยู่บนเตียง ใต้เตียงบนเคียง บนเตียงใต้เตียง มันเป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไป ผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วหมอ

จิตแพทย์ : อืม ! อาการที่ว่านี้เป็นอาการทางจิต คงต้องใช้เวลารักษานานสักหน่อย หมอว่าคุณควร มาหาหมออาทิตย์ละสามครั้ง เป็นเวลาสักสองปี

บุญสืบ : แล้วมันจะเสียเงินสักเท่าไหร่ครับหมอ

จิตแพทย์ : หมอคิดค่ารักษาพยาบาลครั้งละ 1,000 บาท

บุญสืบ : ครั้งละ 1,000 บาท อาทิตย์หนึ่ง 3,000 บาท สองปีมีหนึ่งร้อยสัปดาห์ คิดแล้วเป็นเงิน 300,000 บาท โอ้โห ! ผมขอคิดดูก่อนนะหมอ

บุญสืบไม่ได้กลับไปหาจิตแพทย์อีก แต่วันหนึ่งบุญสืบเจอจิตแพทย์ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ

จิตแพทย์ : อ้าว ! สวัสดีคุณบุญสืบ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ทำไมไม่ไปพบผมเพื่อรักษา

บุญสืบ : คือว่าค่ารักษาครั้งละ 1,000 บาทผมไม่ไหวครับ นายโจ บาร์เทนเดอร์คิดผมแค่ร้อยบาท เท่านั้น เดี๋ยวนี้ ผมหายแล้วครับ

จิตแพทย์ : จริงหรือ? ทำกันอย่างไรล่ะ

บุญสืบ : เขาแนะนำให้ผมเลื่อยขาเตียงทิ้งครับ

 


เรื่องที่ 19
ลูกกุญแจอยู่ที่ผม

ที่โรงพยาบาลโรคจิตแห่งหนึ่ง มีคนไข้แปดคนที่อยู่รักษาตัวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยปกติ ทางโรงพยาบาลจะจัดให้มีการทดสอบดูการพัฒนาการของคนไข้เป็นระยะๆอยู่เสมอเพื่อดูว่า ใครที่หายดีแล้วและสมควรจะออกจากโรงพยาบาลได้

เช้าวันหนึ่ง หมอนำคนไข้ทั้งแปดคนไปทำการทดสอบอีกครั้งหนึ่ง โดยนำพวกเขาเข้าไปอยู่ใน ห้องๆหนึ่ง หมอเอาปากกาสีเมจิกขึ้นมาวาดรูปประตูพร้อมมีลูกบิดลงบนฝาผนังห้องด้านหนึ่ง แล้วบอกให้คนไข้แต่ละคนลองเดินเปิดประตูที่ว่านั้น

คนไข้คนแรกพยายามจับลูกบิด ทำท่าหมุนเพื่อเปิดประตู คนไข้คนที่สองเห็นคนแรกทำก็ทำ อย่างเดียวกัน จนกระทั่งคนไข้เจ็ดคนได้ทดลองเปิดประตูในทำนองเดียวกันทุกคน

หมอรู้สึกผิดหวังกับอาการของคนไข้ทั้งเจ็ดคนมาก เพราะไม่เห็นมีการพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามหมอสั่งให้ บุญเข้ม คนไข้คนที่แปดลุกขึ้น แล้วไปเปิดประตูที่ว่าเหมือน คนไข้คนอื่นๆ แต่ปรากฏว่าบุญเข้มยังคงนั่งเฉยและยิ้มกว้างให้กับหมอแต่เพียงอย่างเดียว

หมอเกิดความสงสัยสงสัยว่า ทำไมเขาจึงไม่ลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูเหมือนคนไข้อีกเจ็ดคน เสียที หรือว่าเขาจะหายดีเป็นปกติแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะกลับบ้านได้แล้ว แต่หมอก็ดีใจ ได้เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น

บุญเข้ม : พวกเขาเปิดประตูไม่ได้หรอก

หมอ : เพราะอะไร ?

บุญเข้ม : เพราะผมเป็นคนถือกุญแจประตูไว้เอง

 


เรื่องที่ 20
สิ่งยั่วยุ

บุญจิต เป็นหนุ่มนักเรียนนอก เนื่องจากเขาคร่ำเคร่งกับการเรียนมากเกินไปจึงเกิดอาการเครียด และรู้สึกมีภาพหลอนอยู่เป็นประจำ

วันหนึ่ง เขาตัดสินใจไปหาจิตแพทย์

บุญจิต : หมอครับ ผมมักมีปัญหาเรื่องจิตหลอนอยู่เป็นประจำ

หมอ : เดี๋ยวหมอต้องทดสอบดูก่อนว่าจิตหลอนของคุณเป็นอย่างไร ?

หมอหยิบหลอดยาสีฟันขึ้นมาหลอดหนึ่ง ยื่นให้บุญจิตดู

หมอ : คุณเห็นอะไรนี่ ?

บุญจิต : หญิงสาวเปลือย

หมอหยิบยาสีฟันขึ้นมาอีกหลอดหนึ่งแล้วยื่นให้บุญจิตดูอีก

หมอ : แล้วนี่ล่ะ อะไร ?

บุญจิต : หญิงสาวเปลือยนอนอยู่บนเตียง

หมอหยิบยาสีฟันหลอดแล้วหลอดเล่าถามคนไข้ คำตอบก็ยิ่งลึกไปด้วยทุกที จนในที่สุดหมอก็สรุป

หมอ : คุณไม่ใช่มีภาพหลอนหรอก แต่คุณเป็นโรคจิตทราม เพราะเห็นแต่สิ่งลามกอนาจาร

บุญจิต : หมอสิครับที่เป็นโรคจิตทราม ชอบเอาแต่สิ่งยั่วยุมาให้ผมดู

 


เรื่องที่ 21
เจ็บที่ไหน

สายปัทม์ เป็นคุณหนูไฮโซ โดยปกติเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ชอบแดด ไม่ชอบลม วันๆจะอยู่ แต่ในห้องของตนเองเท่านั้น วันหนึ่งสายปัทม์ไปหาหมอที่โรงพยาบาล

หมอ : ไหน คุณเจ็บที่ไหนบ้าง?

สายป้ทม์ : มันเจ็บทั่วไปหมดเลยค่ะหมอ หมอช่วยหนูด้วยนะคะ

หมอ : คุณหมายความว่าอย่างไร คุณเจ็บทั่วไปหมดน่ะ คุณช่วยระบุให้ชัดๆหน่อยว่าเจ็บที่ตรงไหน ดีกว่า หมอจะได้ตรวจและวินิจฉัยได้ถูกถูก

สายปัทม์ยกนิ้วชี้ข้างขวาของตัวเองจิ้มไปที่เข่าข้างขวา " ตรงนี้ อุ๊ย ! เจ็บค่ะ"

แล้วก็ใช้นิ้วเดียวกันนั้นจิ้มไปที่ข้อศอกซ้าย "โอ๊ย ! ตรงนี้ก็เจ็บมากเลยค่ะ"

ทีนี้เธอก็จิ้มไปที่แก้มขวาของเธอ "ว้าว ! นี่ก็เจ็บมากด้วย"

และที่สุด เธอก็จิ้มไปที่ติ่งหูข้างขวาอีก " โอ๊ะ ! แม้แต่ที่นี่ก็ยังเจ็บจริงๆเลยค่ะ"

หลังจากนั้นหมอก็ทำการตรวจสายปัทม์อย่างละเอียด

สายปัทม์ : เป็นไงบ้างคะหมอ? หนูเป็นอะไร?

หมอ : อ๋อ ผมตรวจคุณละเอียดแล้ว ปรากฎว่านิ้วชี้ข้างขวาของคุณมันซ้นน่ะ

 


เรื่องที่ 22
ที่โรงเตี๊ยม

ที่โรงเตี๊ยมในคืนอันหนาวเย็นคืนหนึ่ง มีนักเดินทางสามคนมาขอเช่าห้องพักพร้อมกัน คนแรกเป็น นักบวชฮินดู คนที่สองเป็นอิหม่าม คนที่สามคือ บุญโดม ทนายความ

เจ้าของโรงเตี๊ยมแจ้งว่า ที่นั่นมีห้องพักอยู่เพียงห้องเดียว แต่มีเตียงอยู่แค่สองเตียงเท่านั้น ดังนั้นคน ทั้งสามต้องตกลงกันเองว่าสองคนไหนจะพักในห้องพัก ที่เหลือหนึ่งคนจำเป็นต้องไปนอนที่โรงนา นักบวชฮินดูยอมเสียสละโดยอาสาไปนอนในโรงนาเอง

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป มีเสียงเคาะประตูห้องนอน อิหม่ามและบุญโดมทนายความมาเปิดประตู ที่แท้ก็ เป็นนักบวชฮินดูนั่นเอง

นักบวชฮินดู: ในโรงนามีวัวตัวหนึ่ง เราถือว่าวัวนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก เราไม่สามารถนอนอยู่ในโรงนา กับวัวได้หรอก

อิหม่ามบอกว่าเขาไม่มีป้ญหาที่จะนอนอยู่กับวัวจึงอาสาไปนอนในโรงนาแทน อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ปรากฎว่ามีเสียงเคาะประตูห้องอีก บุญโดมกับนักบวชฮินดูมาเปิดประตู อ้าวนั่นคืออิหม่าม

อิหม่าม : ในโรงนาไม่ใช่มีแต่วัว หากแต่มีหมูอยู่ตัวหนึ่งด้วย เรารังเกียจหมู และรู้สึกขยะแขยงมาก จึงไม่สามารถนอนในโรงนากับสิ่งที่น่าขยะแขยงอย่างนี้ได้หรอก

บุญโดมทนายความบอกว่า สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัวหรือเป็นหมูไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย ความจริงแล้วเขาไม่อยากไปนอนในโรงนา แต่เพื่อเห็นแก่คนทั้งสองเขาจึงจำใจต้องไป ครึ่งชั่วโมง ผ่านไป ปรากฎว่ามีเสียงเคาะประตูห้องอีก ทั้งนักบวชฮินดูและอิหม่ามก็มาเปิดประตู พบว่า

ผู้มาเคาะประตูคือวัวหนึ่งตัว และหมูหนึ่งตัว ที่อยู่ในโรงนานั่นเอง

 


เรื่องที่ 23
นักหนีภาษี

ที่ด่านชายแดนบ้านผักกาด ลุงบุญมีขี่จักรยานบรรทุกกระสอบสองใบจะผ่านด่านข้ามไปเขมร เจ้าหน้าที่ศุลกากรเรียก ลุงบุญมี เพื่อขอตรวจสิ่งของ

เจ้าหน้าที่ : ในกระสอบนั้นมีอะไร เทออกมาดูหน่อย

บุญมี : ในนั้นมีทราย

เจ้าหน้าที่ฯเทของจากกระสอบทั้งสองใบแล้ว พบว่าเป็นทรายดังที่ลุงบอกจริงๆ แม้จะพยายามคุ้ย เขี่ยทรายทั้งสองกองอย่างไรก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงตักทรายใส่กระสอบแล้วปล่อยให้ลุงข้ามแดนไป

วันรุ่งขึ้น ลุงบุญมีก็ขี่จักรยานบรรทุกกระสอบมาสองใบอีก เจ้าหน้าที่ศุลกากรก็ขอตรวจโดยเทของ ในกระสอบออกมา พบว่ามีแต่ทรายทั้งสองกระสอบ จึงตักทรายใส่กระสอบแล้วปล่อยให้ลุงบุญมี ข้ามด่านไปเขมร

ในวันต่อมาและต่อเนื่องกันเป็นเดือน ลุงบุญมีก็จะขี่จักรยานบรรทุกกระสอบสองใบผ่านด่านทุกวัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรก็จะเทของออกจากกระสอบทั้งสองใบมาตรวจทุกวันเช่นเดียวกัน เพราะกลัวลุงแก ลักไก่ แต่ในที่สุดก็พบว่าของในกระสอบมีแต่ทรายเท่านั้น อย่างนี้ทุกครั้ง

เวลาผ่านไปหกเดือน ลุงบุญมีหายไป ไม่ขนกระสอบผ่านด่านดั่งที่เคยทำทุกวันอีกต่อไป วันหนึ่งเจ้า หน้าที่ศุลกากรไปพบลุงบุญมีที่ตลาดโดยบังเอิญ ลุงแกแต่งตัวภูมิฐานมีเครื่องทองหยองประดับกาย มากมาย จึงเดินเข้าไปทักทาย

เจ้าหน้าที่ : อ้าว ลุงบุญมี เดี๋ยวนี้ไม่ข้ามไปเขมรอีกแล้วหรือ รวยแล้วสิ ผมอยากจะบอกนะว่าลุงทำ พวกผมเหนื่อยน่าดูเลย การหนีภาษีของลุงนั้นแยบยลจริงๆนะ ลุงช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่า จริงๆแล้วลุงซ่อนของหนีภาษีอะไร แล้วซ่อนอยู่ที่ตรงไหน พวกเราจึงค้นหาไม่พบ ถ้าลุงบอกผม ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใคร

บุญมี : ผมเอาจักรยานไปขายฝั่งเขมรครับ


เรื่องที่ 24
น้ำใจนักวิ่ง

บุญจง ขับรถคนเดียวจากนราธิวาส จะไปธุระที่ร้อยเอ็ด ด้วยระยะทางค่อนข้างไกลและเวลาที่ต้อง รีบเร่ง บุญจงจึงต้องขับรถตลอดคืนโดยไม่ได้พักเลยจนกระทั่งเช้าของวันรุ่งขึ้น บุญจงคิดว่าควรจะ เหลือระยะทางอีกไกลโข ตอนนั้นเขาอยู่ที่สระบุรี โชคดีที่เขาเห็นสวนสาธารณะที่มีต้นไม้ร่มรื่นดี ท่าทางเงียบสงบ น่าที่จะงีบได้สบายโดยแดดก็จะไม่ส่องด้วย จึงจอดรถที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ทาง วิ่งออกกำลังกายในสวน มีนักวิ่งวิ่งออกกำลังกายอยู่หลายคน บุญจงเอนกายลงแล้วหลับด้วยความ อ่อนเพลียทันที ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงเคาะที่กระจกหน้าต่างรถ บุญจงตื่นขึ้น เห็นนักวิ่งคนหนึ่ง

บุญจง : ครับ มีธุระอะไร?

นักวิ่ง1 : ขอโทษครับ อยากทราบว่าตอนนี้กี่โมงแล้วครับ?

บุญจง : 7 โมง 25 นักวิ่ง1 : ขอบคุณครับ

หลังจากนักวิ่งวิ่งจากไป บุญจงก็งีบต่อทันทีเพราะยังรู้สึกง่วงมาก เพียงครู่เดียวก็มีเสียงเคาะที่ กระจกหน้าต่างรถอีกครั้งหนึ่ง บุญจงตื่นมาเห็นนักวิ่งอีกคนหนึ่ง

นักวิ่ง2 : ขอโทษ ! กี่โมงแล้วครับตอนนี้

บุญจง : 7 โมง 35

นักวิ่ง2 : ขอบคุณครับ

หลังจากนักวิ่งคนนั้นวิ่งจากไป บุญจงรู้สึกหงุดหงิดมากที่ถูกรบกวน เขาหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่น หนึ่งแล้วเขียนข้อความตัวโตๆบนกระดาษแผ่นนั้นว่า "ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้วครับ" แล้วเขาก็ แปะเอาไว้ที่กระจกหน้าต่างรถ หวังว่าต่อไปนี้คงจะไม่มีนักวิ่งมารบกวนถามเวลาเขาอีก ไม่นานบุญจง ก็หลับต่อด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่แล้วก็ต้องตื่นขึ้นเป็นครั้งที่สามเพราะมีเสียงเคาะกระจก หน้าต่างรถอีก บุญจงลืมตาขึ้นดูเห็นนักวิ่งคนที่สาม

นักวิ่ง3 : ตอนนี้หรือครับ? ตอนนี้ 7 โมง 45 แล้วครับ แล้วเขาก็วิ่งจากไป

 


เรื่องที่ 25
นักวิ่งกับหมา

อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องนักวิ่งแข่งกับหมา หรือคนพาหมาวิ่งเช่น คุณเจ๊หมา หรือ คุณน้อง nora~kitty นะครับ แต่เป็นเรื่องของ คุญบุญเจือ สมาชิก TRC เรานี่เอง

บุญเจือเป็นนักวิ่งมาราธอนในระดับแนวหน้าเขาจะฝึกวิ่งอย่างหนักและสม่ำเสมอทุกๆวัน แต่เขาจะมีปัญหาที่ไม่เหมือนใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณบุญเจือไปหาจิตแพทย์

จิตแพทย์ : สวัสดีครับคุณบุญเจือ วันนี้มีอาการอะไรหรือครับ

บุญเจือ : คือว่า ผมเป็นนักวิ่งครับ เวลาผมไปวิ่งผมมักจะรู้สึกว่ามีหมาวิ่งไล่ผมตลอดเวลาเลยครับ

จิตแพทย์ : อ๋อ เรื่องนี้มันเกิดจากความระแวงของคุณเอง ดังนั้นให้คุณหลีกเลี่ยงการวิ่งในหมู่บ้านหรือบริเวณวัด หรือที่ที่ที่คุณรู้สึกว่ามีหมาเยอะๆก็แล้วกัน

บุญเจือหายไปสองสัปดาห์แล้วก็กลับมาหาจิตแพทย์อีกครั้งหนึ่ง

บุญเจือ : หมอครับ ผมไปวิ่งที่สวนรถไฟมาสองอาทิตย์อาการของผมก็ยังเหมือนเดิมครับ รู้สึกว่ามีหมาวิ่งไล่ผมทุกวันอยู่ดี

จิตแพทย์ : อืม ! ผมคิดว่าคุณคงจะเคยเห็นคนพาหมามาเดินเล่นในสวนรถไฟมันก็เลยทำให้เกิดอาการจิตหลอน ทำให้คุณรู้สึกมีความระแวง

บุญเจือ : อ้าว ! แล้วผมจะต้องไปวิ่งที่ไหนล่ะครับที่จะไม่มีหมามาให้ผมต้องระแวง

จิตแพทย์หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกกับบุญเจือว่า " ก็ที่ท่าแร่ จังหวัดสกลนคร ยังงัยล่ะ "

 


เรื่องที่ 26
ใครเป็นใหญ่ในบ้าน

บุญทันขาย ที่ดินที่เป็นไร่ของเขาได้เงินก้อนโตแม้จะเทียบไม่ได้กับการขายหุ้นชินก็ตาม แต่เขาก็จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่กับบรรดาลูกๆที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงจำเป็นต้องจัดการกับสัตว์ในฟาร์มซึ่งประกอบด้วย ม้าหลายตัวและแม่ไก่ฝูงหนึ่ง จะขายก็คงไม่ง่ายและอาจต้องใช้เวลาจนถึงกับทำให้แผนเดินทางต้องเลื่อนไป

บุญทันเห็นว่าเพื่อนบ้านล้วนแต่เป็นคนมีน้ำใจไมตรีดีต่อบุญทันมาโดยตลอด จึงคิดว่าน่าจะแจกจ่ายม้าและแม่ไก่ให้แก่เพื่อนบ้านเป็นที่ระลึกโดยทั่วกันดังนั้นบุญทันจึงเดินถามเพื่อนบ้านทีละหลังว่าใครเป็นใหญ่ในบ้าน ถ้าคนที่เป็นใหญ่ในบ้านเป็นผู้ชายบุญทันก็ให้ม้าหนึ่งตัว ถ้าคนที่เป็นใหญ่ในบ้านเป็นผู้หญิงบุญทันก็จะให้แม่ไก่หนึ่งตัว บุญทันถามไปแจกม้าแจกแม่ไก่ไปจนกระทั่งมาถึงครอบครัวหนึ่ง

บุญทัน : ที่นี่ใครเป็นใหญ่ในบ้าน?

สามี : ผมเอง

บุญทัน : งั้นคุณเอาม้าไปหนึ่งตัว แต่ผมมีม้าสีดำกับม้าสีเทา คุณจะเอาตัวไหน?

สามี : ผมขอม้าสีดำ

ภรรยา : ไม่เอา ไม่เอา ขอม้าสีเทา

บุญทัน : งั้นคุณเอาแม่ไก่ไปแทนก็แล้วกัน

 


เรื่องที่ 27
แก่อย่างสุขุม

บุญเทียม เกษียณอายุแล้วได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่โชคร้ายบ้านหลังนั้นอยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมชายที่มีนักเรียนเกเรอยู่กลุ่มหนึ่งวันๆนักเรียนกลุ่มนี้จะถือไม้ตะพดเดินตีสิ่งของต่างๆที่จะก่อให้เกิดเสียงดังกังวาล ไม่ว่าจะเป็นรั้วเหล็กดัดประตูเหล็ก ราวสะพาน ถังขยะ ฯลฯ ชาวบ้านในละแวกนั้นจะรู้สึกรำคาญที่ถูกรบกวนซึ่งก็รวมถึงบุญเทียมด้วยเมื่อเห็นว่าบุญเทียมเป็นผู้ใหญ่จึงมาปรึกษาแทนที่บุญเทียมจะออกไปห้ามปรามหรือขอร้องให้เด็กเกเรเหล่านั้นเลิกกระทำดังกล่าวบุญเทียมกลับเดินไปหาเด็กเหล่านั้นในเช้าวันหนึ่ง

บุญเทียม : หนูๆทั้งหลาย ลุงเป็นคนชอบเสียงดนตรี ไม่ชอบอยู่เงียบๆลุงจะให้เงินหนูคนละ20 บาททุกวัน ถ้าพวกหนูมาเคาะรั้วหรือถังขยะให้เกิดเสียงอันดังอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง

เด็กเกเรเหล่านั้นรับเงินจากบุญเทียมวันละ 20 บาทต่อคนแล้วก็เดินเคาะประตูถังขยะ ฯลฯดังที่เคยปฎิบัติทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เช้าอีกวันหนึ่งบุญเทียมออกมาพบเด็กเกเรเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก

บุญเทียม : หนูๆทั้งหลาย เนื่องจากตอนนี้สถานะการณ์ทางการเมืองไม่สู้จะดีมีการประท้วงกันบ่อยส่งผลเศรษฐกิจซบเซารายได้ของลุงก็ลดลงไปด้วย ลุงขอจ่ายให้พวกหนูคนละ 10บาทต่อวันก็แล้วกัน หวังว่าพวกหนูคงเห็นใจลุงนะ

เด็กเกเรเหล่านั้นรับเงินจากบุญเทียมวันละ 10 บาทต่อคนแล้วก็เที่ยวเดินเคาะรั้ว ประตู ถังขยะฯลฯ อย่างที่เคยปฏิบัติ อีกสัปดาห์หนึ่งต่อมาบุญเทียมเดินออกมาพบเด็กเกเรเหล่านั้นด้วยความเศร้าสร้อย

บุญเทียม : หนูๆทั้งหลาย ลุงมีความเสียใจที่ต้องบอกว่าตอนนี้บ้านเมืองยุ่งเหยิงมาก เงินบำนาญของลุงก็ถูกตัดทำให้ลุงจำเป็นต้องลดค่าจ้างของพวกหนูเหลือแค่วันละบาทต่อคนเท่านั้น

หัวหน้าเด็ก : จะบ้าเหรอ วันละบาทต่อคนเนี้ย เราไม่ยอมทำให้โง่หรอก ขอบอกไปจ้างคนอื่นละกัน พวกเรา ไปกันเถอะ

แล้วเด็กเกเรเหล่านั้นก็โยนไม้ตะพดที่ใช้เคาะเสียงดังใส่ถังขยะและเดินจากไปชาวบ้านละแวกนั้นก็อยู่กันด้วยความสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้

 


เรื่องที่ 28
หูตึง

บุญชวน เป็นข้าราชการใกล้เกษียณอายุ เขามีภรรยาที่แต่งงานกันมาไม่น้อบกว่า 30 ปีเขารู้สึกว่าภรรยาเขาจะมีเป็นหาเรื่องการได้ยินเขาจึงไปหาหมอเพี่อขอยาให้แก่ภรรยาตน

บุญชวน : หมอครับ ผมว่าภรรยาผมถ้าจะหูหนวกแน่เลย เพราะเวลาผมพูดกับเขาเขาจะไม่ได้ยิน ผมต้องพูดซ้ำๆหลายๆทีทุกครั้ง ทำให้เราสื่อสารกันยากมากผมจึงอยากขอยาให้แก่ภรรยาผมหน่อย

หมอ : ภรรยาคุณไม่ได้หูหนวกหรอก แกคงจะหูตึงน่ะ แต่จะหูตึงมากน้อยแค่ไหนต้องตรวจวินิจฉัย ว่าแต่ว่า ...คุณอาจช่วยหมอได้นะกลับบ้านแล้วทดลองพูดกับภรรยาด้วยระยะห่างต่างๆกัน เริ่มต้นที่ระยะห่าง 5 เมตร,  แล้วก็ 3 เมตร, 1 เมตรตามลำดับแล้วให้สังเกตุดูการตอบสนองของเขาว่าเป็นอย่างไรตอนนั้นหมอคงจะบอกได้ว่าแกหูตึงเพียงใดแล้วจึงจะจัดยาให้ถูกได้

บุญชวนกลับบ้านไป พบว่าภรรยาอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหาร จึงทำตามที่หมอแนะนำยืนห่างจากภรรยาประมาณ 5 เมตร แล้วถามภรรยาว่า

" อาหารมื้อนี้มีอะไร? " เงียบไม่มีเสียงตอบจากภรรยา บุญชวนจึงเดินเข้ามาใกล้ในระยะ 3เมตรแล้วถามด้วยคำถามเดิม เงียบไม่มีเสียงตอบ บุญชวนจึงขยับใกล้เข้ามาที่ระยะ 1 เมตรทุกอย่างเหมือนเดิมทุกประการดังนั้น บุญชวนจึงเดินไปยืนข้างหลังภรรยาชิดจนขนาดสามารถพูดที่ข้างหูภรรยา

บุญชวน : อาหารมื้อนี้มีอะไร

ภรรยา : ขอตอบเป็นครั้งที่ 4 ว่า ไข่ต้มจิ้มน้ำปลา

 


เรื่องที่ 29
เขาไม่ชอบอมยา

สายพวง เคยทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมสวาสดิ์ปัจจุบันได้เกษียณอยุแล้วเช้าวันหนึ่งหล่อนพาสามีไปหาหมอที่โรงพยาบาลด้วยกัน

หมอ : สวัสดีครับ วันนี้มาหาหมอมีอาการอะไร ?

สายพวง : สามีดิฉันน่ะ ไม่ใช่ดิฉัน แกมีอาการซึมเศร้าไม่ค่อยพูดจาถามคำก็จะตอบคำ

หมอ : อาการนี้เป็นมาตั้งแต่เมื่อไร

สายพวง : เป็นมานานแล้วหมอ ดิฉันชวนเขาไปไหนแกก็ไม่ยอมไป นี่ขนาดชวนมาหาหมอนะ ยังเหนื่อยแทบแย่เลย คนอะไรไม่รู้ ไม่ห่วงตัวเองเลย

หมอตรวจสามีอยู่พักหนึ่ง เสร็จแล้วก็จัดยามาให้ โดยมียาเม็ดสีเหลือง สีเขียว สีแดง มาเต็มขวดโหล 3 ขวดใหญ่

สายพวง : โอ้โห ทำไมยาเยอะอย่างนี้ จะให้เขากินอย่างไร ? ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น เลยใช่ไหม? กินจนหมดสามขวดโหลนี้ คงต้องเป็นปีเลยนะซิ ทำไมต้องรักษานานอย่างนี้

หมอ : ยาเม็ดเหล่านี้ไม่ใช่ยากินแต่เป็นยาอม ใช้อมครั้งละเม็ดติดต่อกันตลอดเวลา เช้าอมเม็ดสีเหลืองถึงเที่ยง บ่ายอมเม็ดสีเขียวถึงเย็น ตอนค่ำรวมถึงตอนนอนให้อมเม็ดสีแดง

สายพวง : แต่สามีดิฉันไม่ชอบอมยาอม ขอเป็นยากินแทนได้ไหม?

หมอ : ยาอมนี้ไม่ใช่สำหรับสามีคุณ แต่สำหรับคุณต่างหาก

 


เรื่องที่ 30
ห้องวิเศษ

ลุงบุญชุบ ถูกรางวัลหวยบนดินได้เงินมาพอสมควรจึงพาเมียและลูกชายมาเที่ยวกรุงเทพเป็นครั้งแรกในชีวิต ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับสิ่งใหม่ๆที่ทันสมัยในกรุงเทพมาก

วันหนึ่งคนทั้งสามก็ไปเที่ยวเดินซื้อของในศูนย์การค้าแพ็กโก ข้าวของเสื้อผ้าลานตาไปหมด เมียลุงบุญชุบเกิดติดใจรองเท้าคู่สวย เธอทดลองสรวมใส่อยู่หลายคู่ ปล่อยให้ลุงบุญชุบรออยู่นาน แกจึงพาลูกชายปลีกตัวออกมาเดินเล่นอยู่ไม่ห่าง

ลูกชายเห็นลิฟท์ผู้โดยสารมีประตูสอง บานเดี๋ยวเลื่อนเปิดเดี๋ยวเลื่อนปิด มีคนเดินเข้าออกห้องเล็กๆห้องนั้น ไม่เข้าใจว่าพวกเขาเข้าไปทำอะไรกัน จึงถามลุงบุญชุบ

ลูก : พ่อๆ นั่นห้องอะไร มีประตูเลื่อนเปิดเลื่อนปิด และมีคนเดินเข้าเดินออกด้วย

บุญชุบ : ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน

ในขณะนั้นมีผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งเดินถือไม้เท้าเดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในลิฟท์คนเดียวประตูลิฟท์เลื่อนปิด มีแสงที่ปุ่มวับๆ วิ่งเป็นแถวขึ้นไปอีกประเดี๋ยวหนึ่งแสงที่ปุ่มวับๆวิ่งเป็นแถวลงมา ประตูลิฟท์เลื่อนเปิดออก

บุญชุบเห็นหญิงสาวสวยรูปร่างดีมากคนหนึ่งใส่รองเท้าส้นสูงก้าวออกมาจากลิฟท์อย่างสง่า บุญชุบตกตลึงรีบเรียกลูกชายเสียงหลง

บุญชุบ : ไอ้น้อยๆ เอ็งไปพาแม่เอ็งมาที่นี่เร็วๆ ๆๆ

ลูก : มีอะไรหรือพ่อ

บุญชุบ : จะให้แม่แกเดินเข้าห้องนี้ รองท้งรองเท้าไม่ต้องซื้อแล้วเดี๋ยวห้องนี้จัดการชุบให้ได้

 


เรื่องที่ 31
ถือสะดวก

บุญงาม กับสามีช่วยกันทำมาค้าขาย สามีเป็นคนค่อนข้างขี้เหนียวชอบสะสมเงินทองแต่ไม่ค่อยยอมใช้จ่าย วันหนึ่งสามีป่วยหนักจึงพูดคุยกับบุญงาม

สามี : นี่บุญงาม เราทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยากมาตลอดชีวิตก็เพื่อจะได้จับจ่ายใช้สอยในบั้นปลายชีวิต แต่นี่ฉันต้องจากไปก่อนโดยที่ยังไม่ทันได้ใช้ถูกเงินเลย ตอนนี้เรามีเงินเก็บอยู่ก็หลายล้านบาทแล้ว ฉันคิดว่าเมื่อฉันตายฉันอยากให้เธอเอาเงินสักสองล้านบาทใส่ในโลงศพของฉันด้วย ฉันจะได้เอาไปใช้ในภพหน้า เธอให้สัญญาสิว่าจะทำอย่างที่ฉันบอก

บุญงาม : จ้ะ ฉันให้สัญญา

หลังจากนั้นไม่นานสามีก็ตายจากไป ระหว่างงานศพ ก่อนที่จะปิดฝาโลง บุญงามเอากล่องใบหนึ่งใส่เข้าไปในโลงศพ การกระทำของบุญงามหาได้พ้นสายตาของเพื่อนสนิทซึ่งรู้ถึงการสั่งเสียของสามีไม่

เพื่อน : บุญงาม เธอใส่เงินเข้าไปในโลงศพตามที่เขาสั่งเสียจริงๆเหรอ ?

บุญงาม : ใช่นะซี ฉันรับปากเขาไว้แล้วก็ต้องรักษาคำพูด

เพื่อน : เธอจะบ้าเหรอ ไม่มีใครเขาทำอย่างนี้กันหรอก เงินมากมายในโลงนั้นเขาจะเอาไปได้อย่างไร?

บุญงาม : ข้อนั้นฉันรู้ดี ฉันจึงเอาเงินทั้งหมดใส่ในบัญชีธนาคารฉัน แล้วฉันก็เขียนเช็คให้ใบหนึ่งใส่ในกล่องใบนั้นแทน เขาจะได้ถือสะดวกหน่อย

 


เรื่องที่ 32
ของขวัญ

เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งจัดงานเลี้ยงอำลานักเรียนในชั้นนำอาหารเครื่องดื่มมาจากบ้าน แบ่งกันรับประทานแม้จะรู้ว่าเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดแล้วต่างคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียนต่อในโรงเรียนอื่นๆทุกคนก็สนุกสนานกับงานเลี้ยงจนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลาแล้ว นักเรียนแต่ละคนได้นำของขวัญมาให้คุณครูผู้ใจดีเป็นการแสดงความขอบคุณ เด็กหญิงพลอยลูกสาวร้านขายดอกไม้เอาของขวัญกล่องใหญ่เดินไปมอบให้ คุณครูสายโสม ที่หน้าชั้น

สายโสม : ในกล่องนี้อะไรเอ่ย? ครูทายว่าต้องเป็นดอกไม้แน่ๆเลย

เด็กหญิงพลอยยิ้มอย่างมีความสุข: ใช่แล้วค่ะ

สายโสมขอบใจเด็กหญิงพลอย  แล้วหันไปเห็นเด็กหญิงนุชลูกสาวเจ้าของร้านขนมเดินถือกล่องของขวัญมามอบให้คุณครู

สายโสม : แล้วกล่องนี้ล่ะเป็นอะไร? ครูทายว่าต้องเป็นขนมคุกกี้ใช่ไหมเอ่ย ?

เด็กหญิงนุชยิ้มกว้างเห็นลวดดัดฟัน: ถูกต้องค่ะ

คุณครูสายโสมขอบใจเด็กหญิงนุชยังไม่ทันขาดคำ เด็กชายแก้วลูกชายร้านขายเหล้ารีบวิ่งถือกล่องของขวัญไปหน้าชั้นมอบให้ครูเพราะมีน้ำไหลหยดออกจากกล่อง แล้วคุณครูรับกล่องของขวัญจากเด็กชายแก้วแล้วใช้อุ้งมือรองน้ำที่หยดอยู่ขึ้นไปชิม

สายโสม : ขอบใจมากนะ ครูทายว่าในกล่องนี้ต้องเป็นไวน์แน่ๆเลย

เด็กชายแก้ว: ไม่ใช่ครับ

สายโสมชักไม่แน่ใจจึงใช้อุ้งมือรองน้ำที่หยดขึ้นมาชิมอีกครั้งหนึ่ง

สายโสม : เอ้อ ! อย่างนั้นครูว่ามันต้องเป็นวิสกี้ใช่ไหม?

เด็กชายแก้ว: ไม่ใช่ครับคุณครู ในนั้นเป็นลูกหมาครับ

 


เรื่องที่ 33
รักษาถูกที่

คุณยายสายทอง เคยเป็นแม่ค้าขายของอยู่ในตลาดสดเมื่อตอนเป็นสาวๆด้วยสภาพที่จ้อกแจ้กจอแจของตลาดมักทำให้คนที่อยู่ในตลาดนานๆเกิดอาการหูตึงได้แม้ตอนนี้แกจะเลิกขายของในตลาดไปนานแล้ว นอกจากอาการหูคึงไม่ได้ดีขึ้นแล้วมันกลับเสื่อมลงไปอีกตามอายุที่เพิ่มขึ้นวันหนึ่ง คุณยายสายทองไปหาหมอเพื่อปรึกษาอาการที่เจ็บไข้ได้ป่วย

สายทอง : คุณหมอคะ ยายชอบมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำมันทำให้ยายต้องตดบ่อยๆมันไม่มีเสียง และมันก็ไม่เหม็นหรอก แต่ว่ามันทำให้ยายรำคาญน่ะ ระหว่างที่นั่งคุยอยู่กับหมอนี่ ยายตดออกมาแล้วเกือบยี่สิบครั้งคุณหมอยังไม่รู้เลย

หมอไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่หลังจากหมอตรวจอาการคนไข้อย่างละเอียดแล้วก็สั่งยาให้ยายสายทอง กลับไปกินที่บ้านหลายขนาน แล้วบอกให้ยายมาพบหมออีกครั้งหนึ่งในสองสัปดาห์

ยายสายทองได้กินยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด เมื่อครบกำหนดยายสายทองก็มาหาหมอด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก

สายทอง : คุณหมอคะ ยาที่คุณหมอให้ยายไปกินน่ะ เป็นยาอะไรก็ไม่รู้ มันแย่มากเลย ยายก็ยังตดบ่อยอยู่เหมือนเดิม มันไม่มีเสียงอย่างเคย แต่ว่า.....อืม์....มันเหม็นชะมัดยาดเลยค่ะหมอ

หมอ : อ๋อ ยาที่ให้ยายไปนั้นน่ะ มันใช้รักษาไซนัสอักเสบของยาย มันออกฤทธิ์ดีมากตอนนี้ไซนัส ของยายมันดีขึ้นแล้วนะ แต่คราวนี้หมอจะให้ยารักษาโรคหูตึงแก่ยาย

 


เรื่องที่ 34
บร๊อกโคลี่

 

ยายสายบัว มีอาชีพเป็นแม่ครัวมาตลอดชีวิต ปัจบันได้ออกมาพักผ่อนหลายปีแล้วเพราะงานครัวนั้นจะหนักเกินไปสำหรับผู้สูงอายุเมื่อไม่ต้องทำงานเธอจึงไปเดินที่ศูนย์การค้าบ่อยๆ เพราะช่วงที่ทำงานเธอจะไม่ค่อยมีเวลาไปเดินเท่าไรนัก ทุกครั้งที่ไปเดินยายสายบัวมักจะแต่งตัวให้ดูเลิศพอควร จะได้ฉุยฉายสมใจอยาก

วันหนึ่ง ยายสายบัวไปช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าแพ็กโกวันนั้นไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก ขณะที่กำลังขึ้นลิฟท์จากชั้นหนึ่งของห้างแพ็กโกเพื่อที่จะขึ้นไปชื้อของที่ชั้นสี่มียายสายบัวเพียงคนเดียวที่อยู่ในลิฟท์นั้น

เมื่อลิฟท์จอดที่ชั้นสอง มีสาวไฮโซคนหนึ่งรูปร่างดีมากเธอแต่งตัวด้วยชุดไหมอิตาลีดูเช้งวับเธอพรมน้ำหอมกลิ่นฟุ้งประหนึ่งขวดน้ำหอมแตกใส่ ขณะเดินเข้ามาเธอชำเลืองดูยายสายบัวนิดหนึ่งแล้วสบัดหน้าพร้อมกับพูดสั้นๆว่า

"แชนนอลขวดละสามพัน"

ยายสายบัวยังงงๆอยู่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่สาวไฮโซพูดนั้นมีเจตนาหรือความหมายอะไรก็พอดีลิฟท์จอดที่ชั้นสาม สาวไฮโซอีกคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวไม่น้อยหน้าคนแรกและพรมน้ำหอมแบบไม่ค่อยบันยะบันยังเช่นเดียวกันเดินเข้ามาพร้อมกับชายตามองยายสายบัวกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งแล้วเชิดหน้าขึ้นพูดว่า

"อาร์มานี่ขวดละสี่พัน"

ยายสายบัวรู้แล้วว่าสิ่งที่หญิงสาวสองคนพูดนั้นมีเจตนาและหมายความว่าอย่างไรแต่ยังไม่ทันได้พูดโต้ออกไปก็พอดีลิฟท์จอดที่ชั้นสี่ ประตูลิฟท์กำลังเปิดออกยายบัวก็ตดออกมาปู้ดใหญ่ กลิ่นเหม็นมาก แล้วก็เดินออกจากลิฟท์พร้อมกับพูดว่า

 "บร๊อกโคลี่กิโลละสิบ"

 


เรื่องที่ 35
มีสองสิ่งที่ต้องคำนึงถึง

 

บุญแย้ม เป็นนักจิตวิทยา เขามักจะได้รับเชิญไปพูดในโอกาสต่างๆมากมาย คนฟังก็ชอบหลักปรัชญาอันเป็นเหตุและผลของเขาซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของทุกคนได้เป็นอย่างดี

วันหนึ่งสมาคมโรตารี่บุญยืนยงได้เชิญเขามาพูดในงานเลี้ยงเพื่อเก็บเงินเป็นการกุศลหลังจากที่เขาได้พูดในเรื่องจิตที่มีอำนาจเหนือร่างกายได้อย่างอย่างจับใจแล้วผู้ฟังได้สอบถามเขาว่าปัจบันนี้ดูเหมือนคนเรามีแต่เรื่องเร่งรีบอยู่ตลอดทุกวันเนื่องจากต้องแข่งกันทำมาหากินก็เลยเกิดความเครียดมาก เขาจะมีอะไรแนะนำให้แก่ผู้ฟังบ้าง ดังนั้นเขาจึงได้พูดสิ่งที่น่าสนใจให้แก่ผู้ฟังดังนี้

" คนเรามีอยู่เพียง 2 สิ่งที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือ มีสุขภาพดี หรือมีสุขภาพเลว ถ้ามีสุขภาพดีก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร "

" แต่ถ้ามีสุขภาพเลว ก็มี 2 สิ่งที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือฟื้นฟูให้กลับมีสุขภาพดีขึ้นได้ หรือไม่ก็ต้องตาย ถ้าสามารถฟื้นฟูให้กลับมีสุขภาพดีขึ้นได้ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร "

" แต่ถ้าต้องตาย ก็มี 2 สิ่งที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือ จะขึ้นสวรรค์ หรือจะตกนรก ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร "

" แต่ถ้าตกนรกละก็

เราจะเจอเพื่อนๆ มากมายมาต้อนรับและคงจะคุยถึงความหลังกันอย่างสนุกสนานจนไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง "

 


เรื่องที่ 36
คุณแม่รู้ดี

 

คุณแม่ของ บุญสอง มาจากแม่ฮ่องสอนเพื่อเยี่ยมลูกชายที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพเมื่อมาถึงที่บ้านบุญสองก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งบุญสองก็รีบแนะนำให้คุณแม่รู้จักสายพิณเพื่อนนักศึกษาสถาบันเดียวกัน บุญสองสังเกตุเห็นคุณแม่มองดูสายพิณด้วยสายตาแปลกๆ

บุญสอง : ผมรู้ว่าคุณแม่คิดอะไร มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิดหรอก เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ถึงจะอยู่บ้านเดียวกันเราก็แยกห้องนอน

ในระหว่างที่คุณแม่พักอยู่หลายวันทั้งบุญสองและสายพิณก็ไม่เคยแสดงอะไรเกินไปกว่าการเป็นเพื่อนนักศึกษา หลังจากคุณแม่กลับไปแล้ว สายพิณพบว่าขันเงินใบหนึ่งได้หายไปบุญสองไม่แน่ใจว่าคุณแม่จะหลงติดกลับไปแม่ฮ่องสอนด้วยหรือเปล่าจึงได้เขียนจดหมายไปถามคุณแม่

เรียนคุณแม่ที่เคารพ

เนื่องจากขันเงินใบหนึ่งได้หายไปในช่วงที่คุณแม่มาเยี่ยมผมผมไม่อยากปรักปรำว่าคุณแม่เป็นคนเอาไป แต่มีเพียงคุณแม่เท่านั้นที่อยู่ในบ้านกับพวกเรา

ด้วยความเคารพ
บุญสอง

อีกสองอาทิตย์ถัดมา บุญสองได้รับจดหมายตอบจากคุณแม่

บุญสองลูกรัก

แม่ไม่อยากปรักปรำว่าลูกและสายพิณมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินกว่าการเป็นเพื่อนนักศึกษา แต่ถ้าสายพิณนอนในห้องตัวเองก็จะพบว่าขันเงินอยู่ที่ใต้หมอนบนเตียงของสายพิณ

รัก
จากแม่

 


เรื่องที่ 37
ว่าด้วยเรื่องรองเท้า


ที่โรงเรียนอนุบาลเนียนสนิท ตอนเลิกเรียนในบ่ายวันหนึ่ง ครูสายใจ กำลังช่วยเด็กชายแก้วใส่รองเท้า ครูสายใจพยายามดึงรองเท้าด้วยมือข้างหนึ่งส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ช่วยดันเท้าเด็กชายแก้ว อากาศก็ร้อนรองเท้าก็คับกว่าจะปลุกปล้ำกับการใส่รองเท้าทั้งสองข้างเสร็จก็ทำให้ครูสายใจถึงกับเหงื่อตก

ครูสายใจ : เอ้า ! เสร็จแล้ว กลับบ้านได้

เด็กชายแก้ว : คุณครูครับ รองเท้าใส่ผิดข้างครับ

ครูสายใจมองดูแล้วก็จำเป็นต้องถอดรองเท้าที่ใส่อยู่ทั้งสองข้างออกถึงแม้จะเป็นการถอดมันก็ไม่ใช่งานง่ายนัก หลังจากเสียเวลาถอดอยู่พักใหญ่ก็เรียบร้อยเมื่อจับรองเท้าสลับข้างให้ถูกแล้ว ครูสายใจก็เริ่มขบวนการใส่รองเท้าให้เด็กชายแก้วใหม่ตอนนี้ไม่เพียงแต่อากาศจะร้อนแล้ว ในใจของครูสายใจก็ร้อนด้วย นักเรียนทยอยกันกลับบ้านแล้วแต่ครูสายใจยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการใส่รองเท้าทั้งสองข้างให้เด็กชายแก้วแล้วในที่สุดการใส่รองเท้าก็แล้วเสร็จพร้อมกับการถอนหายใจเฮือกใหญ่ของครูสายใจ

เด็กชายแก้ว : รองเท้าคู่นี้ไม่ใช่ของผมครับ

ครูสายใจกัดฟันข่มความรู้สึกรีบถอดรองเท้าออกจากเท้าเด็กชายแก้วพร้อมกับบ่นไปด้วยเล็กน้อย

ครูสายใจ : แล้วทำไมไม่บอกก่อน

พร้อมๆกับการถอดรองเท้าเสร็จพอดี

เด็กชายแก้ว : มันเป็นรองเท้าของน้องผมครับ คุณแม่บอกว่ารองเท้าของผมขาดเอาของน้องมาใส่ก็ได้ครับ

ครูสายใจอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ก็ตั้งสติได้จึงเริ่มต้นใส่รองเท้าให้เด็กชายแก้วอีกครั้งหนึ่งนักเรียนกลับบ้านหมดแล้ว คุณครูก็ทยอยกันกลับบ้านเช่นเดียวกันครูสายใจใช้ความอุตสาหะในการใส่รองเท้าให้เด็กชายแก้วจนแล้วเสร็จ

ครูสายใจ : เฮ้อ ! โล่งอกไปที เอาล่ะกลับบ้านกันได้แล้ว แต่ว่า..เอ๊ะ !แล้วถุงเท้าของหนูอยู่ที่ไหนล่ะ?

เด็กชายแก้ว : ผมยัดอยู่ในรองเท้าของผมครับคุณครู

 


เรื่องที่ 38
รสนิยม

เครื่องบินลำหนึ่ง บรรทุกเป๊บซี่เต็มลำเพื่อไปส่งที่ทวีปอาฟริกา บังเอิญโชคร้ายเครื่องเกิดขัดช้อง จึงทำให้เครื่องบินตกอยู่ชายป่าของหมู่บ้านมนุษย์กินคน

สองอาทิตย์ถัดมา บริษัทเป๊บซี่ส่งหน่วยกู้ภัยไปตามหาเครื่องที่ตก พวกหน่วยกู้ภัยบินไปเห็นซาก เครื่องบิน จึงนำเครื่องลงแล้วเดินไปที่ซากเครื่องบินนั้น พวกเขาไม่เห็นใครและก็ไม่เห็นเป๊บซี่ใน เครื่องบินด้วย จึงเดินไปหาหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นพวกมนุษย์กินคน

หน่วยกู้ภัย 1 : พวกท่านเห็นคนที่อยู่บนเครื่องบินลำที่ตกไหม?

หัวหน้าเผ่า : เห็น

หน่วยกู้ภัย 1 : แล้วพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันหมด?

หัวหน้าเผ่า : เรากินพวกเขาหมดแล้วพร้อมกับเป๊บซี่

หน่วยกู้ภัย 1 : โอโห ! กินไม่เหลือซากส่วนไหนให้เห็นเลยเชียวหรือนี่? แม้แต่ขาของนักบิน ท่าน ก็กินด้วยละซี

หัวหน้าเผ่า : ใช่แล้ว เรากินขาของพวกเขาแล้วก็กินเป๊บซี่ด้วย

หน่วยกู้ภัย 1 :แล้วหัวของพวกเขาล่ะ? ท่านก็กินจนหมดไม่เหลือแม้แต่กระโหลกเลยใช่ไหม?

หัวหน้าเผ่า : แน่นอน เรากินหัวพวกเขาจนหมด แล้วก็กินกับเป๊บซี่ด้วย

หน่วยกู้ภัย 2 : แล้วไอ้นั่นของพวกเขาล่ะ ท่านกินไปด้วยหรือเปล่า?

หัวหน้าเผ่า : เปล่า เปล่า ไอ้นั่นต้องกินกับโค้ก

 


เรื่องที่ 39
นับเลขเก่ง

 

หลังจากทุลักทุเลกับการใส่รองเท้าให้เด็กชายแก้วไปเมื่อวันก่อนนี้แล้ว เช้าวันหนึ่ง ครูสายใจ สอน วิชาเลขให้นักเรียนชั้นอนุบาล

ครูสายใจ : เด็กชายแก้ว หนูอ่าน ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก ยังไม่ค่อยคล่องเลย แล้วหนูนับเลขเป็นไหม?

เด็กชายแก้ว : นับเป็นครับ คุณพ่อสอนผมทุกวันเลยครับ

ครูสายใจ : ไหนบอกครูหน่อยซิว่า สี่แล้วอะไร?

เด็กชายแก้ว : ห้าครับ

ครูสายใจ : ดีมาก เอ้า ! ที่นี้ หกแล้วอะไร?

เด็กชายแก้ว : เจ็ดครับ

ครูสายใจ : อืม์ เก่งนี่ แล้วต่อจากแปดเป็นอะไร?

เด็กชายแก้ว : ก็เก้ายังไงล่ะครับ

ครูสายใจ : เก่งมาก เก่งมาก ขออีกทีซิ เอ้า ! ทีนี้ สิบแล้วอะไร?

เด็กชายแก้ว : แจ็คครับ

 


เรื่องที่ 40
ใครโง่

 

ครูสายใจ เดินดูนักเรียนของตนทำงานบนโต๊ะเรียนจนครบทุกคนแล้ว รู้สึกว่านักเรียนในชั้น จะมีปัญหาเล็กน้อย ด้วยความหงุดหงิด ครูสายใจเดินไปที่หน้าชั้น

ครูสายใจ : ในห้องนี้ ใครคิดว่าตัวเองโง่บ้าง ให้ยืนขึ้น

ทุกคนในห้องนั่งนิ่ง เวลาผ่านไปพักใหญ่ เด็กชายแก้วก็ยืนขึ้น

ครูสายใจ : เด็กชายแก้ว หนูคิดว่าหนูโง่ใช่ไหม?

เด็กชายแก้ว : เปล่าครับ

ครูสายใจ : อ้าว ! ถ้าหนูไม่โง่ แล้วหนูยืนขึ้นทำไม

เด็กชายแก้ว : ผมเห็นคุณครูยืนอยู่คนเดียวนานแล้วครับ ครูสายใจ : ???

 


เรื่องที่ 41
หยดสุดท้าย

 โจ บาร์เทนเดอร์ เป็นคนที่มีมือที่แข็งแรงมาก เขาบีบมะนาวเพื่อผสมเหล้าเป็นประจำทุกวัน มะนาวที่เขาบีบแต่ละลูกจะให้น้ำมะนาวออกมาจนเกลี้ยงผล ดังนั้น โจจึงท้าลูกค้าของเขาทุกคน ที่จะพนันกับเขาว่า ใครสามารถบีบมะนาวที่โจบีบเอาน้ำออกมาแล้วได้อีกแม้แต่หยดเดียว โจจะให้ 1,000 บาท แต่ถ้าบีบแล้วไม่ได้น้ำแม้แต่หยดเดียว ก็ตองเสียให้โจ 100 บาท

เมื่อคืนวันศุกรที่ผ่านมา มีนักยกน้ำหนัก นักมวยปล้ำ นักคาราเต้ ฯลฯ มาเดิมพันด้วยการ บีบมะนาว ปรากฎว่าไม่มีใครบีบได้น้ำมะนาวแม้แต่หยดเดียว ทุกคนจึงต้องเสียเงินให้โจ คนละ 100 บาท

ตกดึกคืนนั้น บุญมีชายหนุ่มรูปร่างเล็กและบอบบาง ใส่แว่นสายตาหนาเตอะเดินเข้ามาในร้าน เห็นคนเดิมพันแล้วแพ้โจไปทุกคน จึงอาสาเดิมพันกับโจ ทุกคนในบาร์ได้ยินบุญมีท้าประลอง กับโจก็พากันหัวเราะ เมื่อโจบีบมะนาวจนแห้งแล้วก็ส่งกากให้บุญมี กากนั้นแทบจะหลือแต่เปลือก มะนาวเท่านั้น เมื่อบุญมีรับมาแล้วก็จัดแจงบีบทันที เป็นที่อัศจรรย์มาก มีน้ำมะนาวออกมาอีก หกหยด ทุกคนในบาร์ถึงกับเงียบกริบ ตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตา โจเองก็ประหลาดใจมาก หลังจากจ่ายเงินให้บุญมี 1,000 บาทแล้ว

โจ : คุณเป็นนักมวยปล้ำหรือ?

บุญมี :เปล่า

โจ : อย่างนั้นก็คงเป็นนักยกน้ำหนักละสิ?

บุญมี : ไม่ใช่

โจ : เอ๋.........ถ้างั้น....คงเป็นนักกีฬาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่เลย

บุญมี : ผมไม่ใช่นักกีฬา

โจ : อ้าว ! แล้วอย่างนั้น คุณมีอาชีพอะไรล่ะ?

บุญมี : ผมเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรครับ

 


เรื่องที่ 42
จูบแล้วตบ

 

บุญปลูก วิศวกรหนุ่มต้องเดินทางไปเชียงใหม่กับหัวหน้าโดยทางรถไฟ เมื่อขึ้นไปบนโบกี้รถไฟ บังเอิญมีที่ว่างเพียงสองที่พอดีที่อยู่ตรงข้ามกับที่นั่งของหญิงสาวสวยและยายของตนซึ่งนั่งอยู่ก่อน แล้ว บุญปลูกและหญิงสาวนั่งตรงกันข้ามกัน ประสานตากัน รู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างชอบซึ่งกันและกัน คนทั้งสี่นั่งเงียบ มีแต่หนุ่มสาวสองคนเท่านั้นที่หัวใจเร่าร้อน

เมื่อรถไฟต้องวิ่งเข้าถ้ำขุนตาล ความมืดก็เกิดขึ้นฉับพลัน ทันใดนั้นก็มีเสียง จ๊วบ... (จูบ) แล้วตามด้วยเสียง เพี๊ยะ...(ตบ) แล้วรถไฟก็วิ่งออกจากถ้ำพอดี แสงสว่างเกิดขึ้น คนทั้งสี่ นั่งนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ยายคิดในใจว่า "ไอ้หนุ่มนี้ทะลึ่งมาก ดันมาจูบหลานสาวของฉัน เลยโดนหลานสาวฉันตบเอา ดีแล้ว สมน้ำหน้า"

หัวหน้าคิดในใจว่า " ฉันไม่คิดว่าไอ้บุญปลูกมันจะใจกล้าไปจูบผู้หญิงตอนรถไฟเข้าถ้ำ เลยโดนเขาตบ เอาแต่มันดันพลาดมาถูกเรานี่สิ ซวยจริงๆ"

หญิงสาวคิดในใจว่า " หวังว่ายายคงไม่คิดว่า คนที่จูบฉันจะเป็นเขา แล้วก็เลยตบเขานะ"

บุญปลูกคิดในใจอย่างมีความสุขว่า " วันนี้โชคดีจริงๆที่ได้จูบแก้มสาวสวย พร้อมกับได้ตบหัวหน้า พร้อมกันไปด้วย แค้นมานานแล้ว"

รถไฟถึงเชียงใหม่แล้ว คนทั้งสี่เดินลงจากรถไฟเงียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 


เรื่องที่ 43
ข้อสอบแก้ตัว

บุญนำ บุญมาก และบุญยง สามสหายไปฉลองวันเกิดของเพื่อนที่จังหวัดตราดเมื่อวันเสาร์ ก่อน ซึ่งตามกำหนดแล้วคนทั้งสามต้องกลับถึงกรุงเทพในเย็นวันอาทิตย์เพื่อทันสอบไล่วิชา เศรษฐศาสตร์ในเช้าวันจันทร์ แต่ปรากฎว่าคนทั้งสามเพลิดเพลินติดพันจนถึงเช้าวันจันทร์ จึงได้ตาลีตาเหลือกบึ่งรถกลับกรุงเทพ แต่มันสายเกินเวลาสอบไล่แล้ว

บุญนำ : เราจะทำไงดี ? ขออาจารย์สอบใหม่ดีกว่า

บุญมาก : แล้วจะใช้เหตุผลอะไรบอกอาจารย์ดีล่ะ?

บุญยง : ก็บอกว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับรถยนต์ของเราก็แล้วกัน อาจารย์คงเห็นใจแน่

แล้วคนทั้งสามก็ไปพบอาจารย์เล่าว่า พวกเขาไปงานที่จังหวัดตราดเมื่อวันเสาร์ พอวันอาทิตย์ ก็เดินทางกลับ ระหว่างทางยางรถเกิดแตกไปหนึ่งเส้นแต่เผอิญไม่มียางอะไหล่ติดไปด้วย กว่า จะหาคนมาช่วยได้ก็เช้าวันจัทร์แล้ว จึงมาสอบไม่ทัน จึงขออาจารย์ให้โอกาสพวกตนสอบแก้ตัว

อาจารย์ : ก็ได้ ให้มาสอบในเช้าวันอังคาร

เพื่อนทั้งสามดีใจที่มีโอกาสสอบใหม่ คืนนั้นทุกคนนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย เช้าวันรุ่งขึ้น อาจารย์จับให้คนทั้งสามแยกห้องสอบคนละห้อง ส่งข้อสอบให้แล้วให้เริ่มสอบได้ ข้อสอบมีอยู่ ด้วยกันสองหน้า

หน้าแรก 5 คะแนน จงเปรียบเทียบการผันแปรของราคาสินค้าเมื่ออุปสงค์และอุปทานเปลี่ยนไป คนทั้งสามรีบทำข้อสอบเพราะรู้สึกว่าไม่ยากอะไร ไม่นานก็แล้วเสร็จ

หน้าที่สอง 95 คะแนน อยากทราบว่ายางรถยนต์เส้นไหนที่แตก?

 


เรื่องที่ 44
ทำไมผมจึงสอบตก

 บุญเติม เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในการเรียนที่แล้วๆมาก็ไม่สู้ดีนัก แต่แทนที่เขาจะเป็นคนขยันหมั่นเรียน เขากลับเป็นคนชอบเที่ยวเตร่แม้จะเป็นช่วงระหว่างการ สอบไล่ก็ตาม หลังจากการสอบไล่ผ่านไปแล้ว บุญเติมสอบตกในขณะที่บุญปลอดสอบได้ บุญเติมจึงไปพบอาจารย์

บุญเติม : อาจารย์ครับ ทำไมผมจึงสอบตก? วิชาของอาจารย์มีอยู่ 10 ข้อ ผมว่าผมทำได้ถึง 9 ข้อ คนอื่นๆที่สอบได้นั้น เขาต้องทำได้ทั้ง 10 ข้อเลยหรือครับ?

อาจารย์ : เปล่า ไม่จำเป็น คนที่ถูก 6 ข้อขึ้นไปก็อยู่ในข่ายสอบได้ บุญปลอดก็ทำได้ 9 ข้อเหมือน กับคุณแต่เขาสอบได้

บุญเติม : ถ้างั้น มันก็ไม่ยุติธรรมเลยนี่ครับ

อาจารย์ : มันยุติธรรมแล้ว เพราะเราตัดสินจากข้อที่ทำไม่ได้

บุญเติม : ตัดสินจากข้อที่ทำไม่ได้? แล้วข้อที่ทำไม่ได้เพียงข้อเดียวมันจะสำคัญไปกว่าข้อที่ทำถูก 9 ข้อได้อย่างไร

อาจารย์ : สำคัญมากเลย เพราะในข้อที่ 6 ที่บุญปลอดทำไม่ได้นั้น เขาตอบว่า " ไม่ทราบครับ "

ส่วนข้อที่ 6 ที่คุณทำไม่ได้เช่นกัน คุณตอบว่า" ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน " คุณก็เลยสอบตกยังงัย

 


เรื่องที่ 45
มาลับสมองกันหน่อย

สองวันก่อน บุญสายไปกินอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ระหว่างกินอาหารอยู่นั้นก็มองเห็น ที่โต๊ะติดกันกำลังเรียกเช็คบิล พอพนักงานมาเก็บเงินพวกเขาสามคนก็ควักสตางค์ขึ้นมา จ่ายพร้อมๆกัน แต่แทนที่จะแย่งกันจ่ายเหมือนที่เราเคยเห็นอยู่เนืองๆ กลับกลายเป็นแชร์ กันทำให้บุญสายคิด ถึงเรื่องลับสมองเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอามาให้ลองคิดดูสนุกๆ

บุญเจิด บุญเจิม และบุญจร ไปกินอาหารกลางวันที่ร้านชอบชิม หลังจากได้รับบิลค่าอาหาร เป็นเงิน 300 บาทพอดี

สายสมรพนักงานเสิร์ฟจึงเก็บเงินจาก บุญเจิด บุญเจิม และบุญจร คนละ 100 บาทแบบอเมริกัน แชร์ เมื่อนำมาให้แคชเชียร์แล้วพบว่า แคชเชียร์คิดเงินเกินไป 50 บาท

สายสมรจะนำเงิน 50 บาทมาคืนก็เห็นว่าไม่สามารถแบ่งคืนเท่าๆกันได้ สายสมรจึงคืนให้ คนละ 10 บาท เหลือ 20 บาทสายสมรเลยเก็บไว้เอง(ทึกทักว่าเป็นค่าทิป)

รวมความแล้วเท่ากับ บุญเจิด บุญเจิม และบุญจร จ่ายค่าอาหารไปคนละ 90 บาท เป็นเงิน ทั้งสิ้น 270 บาทและเมื่อรวมกับอีก 20 บาทที่อยู่กับสายสมรแล้วก็เป็น 290 บาทเท่านั้น

ถามว่า แล้วอีก 10 บาทหายไปไหน?

 


เรื่องที่ 46
วาสลิน

 

บุญเฉลิม เป็นเซลล์ขายสินค้าแบบ Direct sale วันหนึ่งบุญเฉลิมไปขายของที่หมู่บ้านสุขาธาร นิเวศน์ เมื่อกดกริ่งประตูบ้านหลังหนึ่ง สายชลแม่บ้านลูกสองก็มาเปิดประตู

บุญเฉลิม : ผมมาจากบริษัทเฟื่องฟูอนามัย ผู้จำหน่าสินค้าขายตรงที่เกี่ยวกับอนามัยที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงเคยได้รู้จักสินค้าของพวกเราไหมครับ?

สายชล : ฉันไม่รู้จักค่ะ

บุญเฉลิม : อ้าว ! ตายจริง แล้วเคยได้ยินวาสลินจอมสุรางค์บ้างไหมครับ สินค้านี้เป็นที่นิยม แพร่หลายมากในปัจจุบัน

สายชล : อ๋อ ! เคยได้ยินค่ะ

บุญเฉลิม : คุณผู้หญิงเคยใช้ใช่ไหมครับ?

สายชล : อืม ! เคยใช้ค่ะ ปกติฉันจะใช้ตอนที่จะมีอะไรกับสามี

บุญเฉลิม : คนทั่วไปชอบตอบเลี่ยงๆว่าเคยใช้ใส่โซ่จักรยานของลูก หรือไม่ก็จะบอกว่าเคยใช้ ใส่บานพับประตูเพื่อหล่อลื่นกันทั้งนั้น รู้สึกว่าคุณผู้หญิงจะเป็นคนเดียวที่ตอบคำถามนี้อย่าง ตรงไปตรงมามากที่สุด ดังนั้นขอให้คุณผู้หญิงช่วยอธิบายให้ละเอียดอีกนิดหนึ่งว่า เวลาคุณผู้หญิง ใช้มันคุณผู้หญิงใช้มันอย่างไร

สายชล : ฉันใช้มันทาที่ลูกบิดประตูห้องนอน ลูกๆจะเปิดประตูไม่ได้ค่ะ

 


เรื่องที่ 47
คอเดียวกัน

 ระหว่างที่เดินอยู่แถวถนนราษฎร์จำเริญ มหาทำนอง เกิดปวดท้องเบาขึ้นมาแต่มองหาห้องน้ำไม่เจอ นอกจากมีบาร์บุญขจรเปิดอยู่เพียงแห่งเดียว มหาทำนองจึงเข้าไปในบาร์เพื่อไปปัสสาวะ ขณะที่เดินเข้าไปในบาร์เสียงคนร้องรำทำเพลง เสียงคุยกัน และเสียงหัวเราะดังอึกทึกครึก โครม เมื่อเห็นมหาทำนองเดินเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างในบาร์ก็เงียบสนิททุกคนหันมามอง มหาทำนองพร้อมกันยังกับนัดหมายไว้ มหาทำนองเดินไปหาบุญถาวรบาร์เทนเดอร์

มหาทำนอง : ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อย

บุญถาวร : ท่านเข้าไม่ได้ครับ

มหาทำนอง : ผมขอเข้าไปปัสสาวะเท่านั้น

บุญถาวร : ผมคิดว่าท่านไม่ควรเข้าไปครับ

มหาทำนอง : ทำไมไม่ควรเข้าไป? ในนั้นมีสิ่งผิดกฎหมายหรืออย่างไร?

บุญถาวร : มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ บังเอิญในห้องน้ำชายมีรูปปั้นหญิงสาวเปลือยกาย มี เพียงตับปิ้งที่ปิดอวัยวะเพศอยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้นครับ

มหาทำนอง : ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรนี่ เวลาผมเดินเข้าไป ผมก็ไม่หันไปมอง ก็เท่านั้นเอง

บุญถาวรบาร์เทนเดอร์จำใจพามหาทำนองไปที่ห้องน้ำที่อยู่ชั้นสอง ภายหลังจากเสร็จกิจแล้ว มหาทำนองก็เดินลงมาที่บาร์ชั้นล่าง ปรากฎว่าในบาร์มีเสียงร้องรำทำเพลง เสียงคุย เสียง หัวเราะดังอึกทึกครึกโครมยิ่งกว่าเดิม และยิ่งมหาทำนองเดินไปหาโจ เสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้นอีก

มหาทำนอง : คุณช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่า ตอนผมเดินเข้ามาเสียงอึกทึกครึกโครมเงียบลง ดังปลิดทิ้ง พอผมไปห้องน้ำกลับมาเสียงอึกทึกครึกโครมดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้น?

บุญถาวร : ก็คนในบาร์เขาถือว่าท่านเป็นคอเดียวกับพวกเขาแล้ว ท่านจะดื่มสักแก้วไหมครับ?

มหาทำนอง : เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี

บุญถาวร : อ๋อ ! คืออย่างนี้ครับ เวลาตับปิ้งของรูปปั้นถูกยกขึ้นเมื่อไร แสงไฟในบาร์จะ สว่างขึ้นวูบวาบทั้งห้องพร้อมเสียงแตรดังสนั่นเลยครับ ลูกค้าที่นี่เมื่อเข้าห้องน้ำจะยกตับปิ้ง ทุกคน เพราะเป็นคอเดียวกัน ท่านจะดื่มหรือยังล่ะครับ ?

 


เรื่องที่ 48
มันอธิบายลำบาก

บุญเชิด สังเกตุเห็นบุญเฉลียวเจ้าของฟาร์มโคนมนั่งดื่มเหล้าคอตกอยู่ในบาร์เป็นเวลานับชั่วโมง อย่างผิดสังเกตุ จึงได้เดินเข้าไปหา

บุญเชิด : เป็นไงเพื่อน วันนี้เป็นอะไร มานั่งคอตกอยู่ในบาร์เสียตั้งนาน มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือ? บุญเฉลียว : มันอธิบายลำบาก

บุญเชิด : จะมีอะไรนักหนา คนเราก็เจอปัญหากันทุกคนนั่นแหละ ถ้ามีสติแล้วค่อยๆคิดอ่าน ปัญหาทุกเรื่องย่อมแก้ไขได้ แล้วปัญหาของเพื่อนมันมีอะไร?

บุญเฉลียว : บอกแล้วไงว่ามันอธิบายลำบาก คือว่าเช้าวันนี้ผมไปรีดนมวัว รีดได้เกือบจะเต็มถัง อยู่แล้ว ไอ้วัวเจ้ากรรมมันใช้ขาหลังข้างซ้ายเตะถังนมคว่ำไปเลย ผมโมโหก็เลยใช้เชือกมัดขาหลัง ข้างซ้ายติดกับเสาเสียเลย

บุญเชิด : ก็ดีแล้วนี่นา จะมานั่งกลุ้มใจอยู่ทำไม

บุณเฉลียว : มันอธิบายลำบาก เพราะหลังจากนั้นผมก็รีดนมวัวต่อไป รีดจนเกือบจะเต็มถังอยู่แล้ว ไอ้วัวบ้าตัวเดิมมันใช้ขาหลังข้างขวาเตะถังนมคว่ำอีก ผมก็ใช้เชือกมัดขาหลังข้างขวาติดกับเสาอีกต้นหนึ่ง

บุญเชิด : แล้วไงต่อไป

บุญเฉลียว : ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกจึงรีดนมวัวต่อด้วยความสบายใจเพราะได้มัดขามัน ไว้ทั้งสองข้างแล้ว ครั้นผมรีดจนเกือบจะเสร็จ มันก็ทำถังนมผมล้มคว่ำอีก

บุญเชิด : อ้าว ! แล้วมันทำได้อย่างไรละ?

บุญเฉลียว : ก็มันใช้หางมันปัดนะสิ ผมก็เลยจะมัดหางมันเอาไว้อีก แต่พอดีเชือกผมหมดเสียก่อน ผมก็เลยถอดเข็มขัดของผมออกมามัดหางมันแล้วดึงขึ้นไปผูกติดกับขื่อ พอผูกเสร็จกางเกงผม ก็หลุดมากองที่เท้า พร้อมๆกับที่เมียผมเดินเข้ามาในคอกวัวพอดี มันก็เลยอธิบายลำบาก

 


เรื่องที่ 49
พันธสัญญา

บุญชาติ เดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ บุญชาติ : วิสกี้โซดา 3

โจบาร์เทนเดอร์ผสมเหล้าให้บุญชาติตามที่สั่ง ไม่เห็นมีใครมานั่งดื่มด้วย เห็นแต่บุญชาติยกแก้วเหล้า ขึ้นมาจิบคนเดียวทีละแก้ว วนจนครบ 3 แก้วอยู่หลายรอบจนในที่สุดเหล้าก็หมด บุญชาติ : วิสกี้โซดาอีก 3

โจ : คุณควรสั่งทีละแก้วดีกว่า ผมว่าดื่มทีละแก้วจะได้รสชาติมากกว่านะ

บุญชาติ : คุณไม่รู้อะไร ผมสั่งเหล้าเผื่อพี่ชายผมสองคน บุญชุมแกทำงานเป็นช่างเหล็กอยู่จังหวัด ระยอง ส่วนบุญชอบเป็นช่างเครื่องอยู่ที่กาฬสินธุ์ พวกเราทั้งสามคนจะดื่มเหล้าด้วยกันเสมอ เมื่อจะต้องอยู่ห่างกัน พวกเราก็จะดื่มเหล้าเผื่อกันและกัน มันเป็นพันธสัญญาที่ต้องถือปฏิบัติอย่าง เคร่งครัดตลอดชีวิตเลยทีเดียว จะไปดื่มเหล้าหาความสุขเพียงคนเดียวแบบเจาะช่องน้อยแต่พอตัว เราจะไม่ทำกันเป็นอันขาด

โจชื่นชมในน้ำใจของบุญชาติมาก เพราะบุญชาติจะแวะเวียนมาที่บาร์สัปดาห์ละสองครั้งเป็นอย่าง น้อย และทุกครั้งที่บุญชาติมา ก็จะสั่งวิสกี้โซดาครั้งละ 3 แก้ว 2 รอบทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ สองเดือนผ่านไป ในคืนวันหนึ่งบุญชาติเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์อย่างเคย

บุญชาติ : วิสกี้โซดา 2

โจ : ขอประทานโทษ

บุญชาติ : วิสกี้โซดา 2

โจรู้สึกแปลกใจมาก ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ โจ : อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะครับ ไม่ทราบว่า เป็นบุญชุม หรือ บุญชอบกันแน่ แต่จะเป็น ใครก็แล้วแต่ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียในครั้งนี้ ขอให้เขาไปสู่สุขคตินะครับ

บุญชาติ : เฮ้ย ! เขายังไม่ตาย พวกเขาทั้งสองคนแข็งแรงมาก ไม่เจ็บไม่ป่วยด้วย

โจ : อ้าว ! ถ้าอย่างนั้น คืนนี้จะไม่ผิดพันธสัญญาหรอกหรือ เพราะคุณสั่งเหล้าแค่ 2 แก้วเท่านั้น

บุญชาติ : อ๋อ ! ไม่ผิดหรอกครับ เหล้าสองแก้วนี้เป็นของ บุญชุม และบุญชอบพี่ชายผม ส่วนผมนั้น เข้าพรรษาครับ

(ป.ล. ใครจะเอาแนวนี้ไปใช้กับตัวเองตอนเข้าพรรษาก็ได้นะ )

 


เรื่องที่ 50
จากแม่หม้าย

บุญเต็มกับบุญเติม ขับรถไปท่องเที่ยวในชนบท ในระหว่างทางของคืนวันหนึ่ง รถยนต์ที่ขับเกิดเสีย ขึ้นมาที่หน้าฟาร์มแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นกลางคืนคงยังจัดการอะไรกับรถไม่ได้ประกอบกับความ อ่อนเพลีย บุญเต็มและบุญเติมจึงตัดสินใจขอนอนค้างคืนในฟาร์มแห่งนั้นก่อน หวังว่าวันรุ่งขึ้นจะ ได้มีเรี่ยวแรงจัดการซ่อมรถแล้วเดินทางต่อได้

ดังนั้นคนทั้งสองเลยเดินไปกดกริ่งประตูบ้าน คนที่เดินมาเปิดประตูเป็นหญิงสาวสวย

บุญเต็ม : ขอประทานโทษ เราเดินทางมาไกลบังเอิญรถเกิดเสียกระทันหัน คิดว่าพรุ่งนี้จึงจะซ่อมได้ ดังนั้นคืนนี้ใคร่ขออนุญาติค้างแรมที่ที่หน่อย

หญิงสาว : ดิฉันเป็นหม้ายสามีตายไปหกเดือน ถ้าจะให้คุณค้างแรมที่นี่เพื่อนบ้านเขาจะนินทาเอา แต่ดิฉันก็เห็นใจที่พวกคุณไม่มีที่พึ่ง ดังนั้นถ้าพวกคุณไม่ถือสาละก็ ดิฉันยินดีให้พวกคุณพักที่ โรงเก็บรถ

บุญเต็มและบุญเติมขอบคุณหญิงสาวแล้วก็ลาไปพักผ่อนในโรงเก็บรถ

เก้าเดือนต่อมา บุญเติมได้รับหมายจากทนายความจึงรีบไปหาบุญเต็ม บุญเติม : บุญเต็ม คุณจำเรื่องที่เราไปเที่ยวแล้วรถเสียกลางทางจึงต้องไปนอนค้างคืนที่ฟาร์ม แห่งหนึ่งเมื่อเก้าเดือนที่แล้วได้ไหม?

บุญเต็ม : จำได้ๆ มีอะไรหรือ? บุญเติม : คืนนั้นเรานอนกันในโรงเก็บรถ ผมอ่อนเพลียมากจึงหลับเป็นตาย คุณได้แอบเข้าไป ในบ้านแล้วไปมีอะไรกับหญิงสาวแม่หม้ายคนนั้นใช่ไหม?

บุญเต็ม : อืม์ ใช่ คุณรู้ได้อย่างไร? บุญเติม : แล้วคุณไม่ยอมบอกชื่อจริงของคุณ แต่ดันไปบอกชื่อของผมแก่เขาด้วยใช่ไหม? บุญเต็ม : ผมขอโทษด้วยครับ เพราะผมกลัวว่าถ้ามีเรื่องแล้วมันจะถึงตัวผมน่ะ

บุญเติม : ไม่เป็นไรหรอก หญิงหม้ายนั้นเสียชีวิตไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขาให้ทนายเขามาแจ้งผมว่า เขายกฟาร์มและทรัพย์สินทั้งหมดของเขาให้เป็นมรดกของผมน่ะ


เรื่องที่ 51
สวนสัตว์บึงฟ้า

ในช่วงที่มีการเดินขบวนประท้วงกันยืดเยื้อทำให้มีผลต่อเศรษฐกิจพอสมควร บุญโทน ถูกให้ออก จากงานเนื่องจากแผนลดค่าใช้จ่ายของบริษัท จากนั้นบุญโทนก็ยังหางานใหม่ไม่ได้ ครั้นจะซื้อ ยาบ้าหนึ่งเม็ดแล้วไปมอบตัวตำรวจเพื่อจะได้ถูกจับขังคุกกินข้าวฟรีเหมือนที่มีคนเคยทำก็ดูจะมาก ไป เพราะยังไม่เข้าตาจนขนาดนั้น เพียงแต่ถ้ามีคนมาจ้างให้ทำงานอะไรก็ได้หนักเอาเบาสู้โดยจะ ไม่เกี่ยงงานเป็นอันขาด

วันหนึ่งบุญโทนเดินผ่านสวนสัตว์บึงฟ้าจึงเดินเข้าไปเที่ยวแก้เซ็ง หลังจากเดินเล่นอยู่พักใหญ่แล้ว ก็มานั่งพักเหนื่อยด้วยสายตาที่เหม่อลอย ผู้จัดการสวนสัตว์เห็นเข้าจึงเข้ามาสอบถาม เมื่อทราบว่า บุญโทนตกงานและยอมทำงานอะไรก็ได้ จึงได้เสนอให้บุญโทนปลอมตัวเป็นลิงอุรังอุตังเป็นการ ชั่วคราวเพราะลิงอุรังอุตังของสวนสัตว์เพิ่งตายลงเมื่อเช้านี้เอง กว่าสวนสัตว์จะได้รับอุรังอุตังตัวใหม่ ก็คงจะกินเวลาหลายเดือน ถ้าบุญโทนรับงานนี้เขาจะให้ค่าจ้างเริ่มต้นวันละสามร้อยบาท ถ้าคนดูชอบ เขาจะขึ้นค่าจ้างให้อีก

บุญโทนตกลงรับปลอมตัวเป็นอุรังอุตัง ปรากฎว่าคนดูชอบมาดูอุรังอุตังมากกว่าสัตว์ชนิดใดใน สวนสัตว์ เพราะอุรังอุตังตัวนี้แสนรู้มาก ฟังภาษาคนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเด็กๆจะสั่งให้อุรังอุตัง แสดงท่าทางอะไรก็ทำได้หมด ผู้จัดการสวนสัตว์ก็เพิ่มค่าจ้างให้บุญโทน เป็นวันละสี่ร้อยแล้วก็ ห้าร้อยตามที่ได้ให้สัญญาไว้

สองสัปดาห์ผ่านไป ปรากฎว่าคนดูอุรังอุตังลดลงอย่างน่าใจหายเนื่องจากมีเสือลายพาดกลอน ตัวใหญ่ที่อยู่กรงติดกันดึงคนดูไปหมด บุญโทนเกรงว่าค่าจ้างของตนจะถูกลดลงจึงพยายามแสดงเพื่อ ให้เป็นที่ถูกใจของคนดู โดยปีนขึ้นไปบนรั้วกั้นระหว่างกรงเพื่อแหย่ให้เสือโกรธ ปรากฎว่าได้ผล คนดูชอบอกชอบใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

บุญโทนจะปีนรั้วเช่นนี้ทุกวันจนกระทั่งวันหนึ่ง บุญโทนพลาด จึงพลัดตกลงไปในกรงเสือ เสือซึ่งโกรธบุญโทนมาหลายวันแล้วได้ทีก็กระโดดขึ้นขย้ำบุญโทนทันที บุญโทนตกใจหลับตาร้องเสียงหลง

บุญโทน : ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย !

ขณะเดียวกันก็แปลกใจมากทำไมเสือขย้ำแล้วไม่เจ็บปวดแต่อย่างใด แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบข้างหูจึงลืมตาขึ้นดู

เสือ : ไอ้บ้า ! อย่าแหกปากได้ไหม เดี๋ยวคนดูเขาก็รู้กันหมดพอดี

 


เรื่องที่ 52
ของเก่า

บุญขจร ไปเที่ยวที่อำเภอวิเศษชัยชาญซึ่งได้ชื่อว่ามีวัตถุโบราณมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย หลัง จากเดินดูมาหลายร้านแล้ว ปรากฎว่าบุญขจรซื้อไม่ได้สักชิ้นเดียว เนื่องจากว่าปัจจุบันนี้วัตถุโบราณ เหลืออยู่น้อยเต็มที นอกจากจะสวยไม่ถูกใจแล้วยังราคาแพงลิบลิ่วจนซื้อไม่ลง

ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว บุญขจรไปกินก๋วยเตี๋ยวในตลาด(ตอนนั้นไฟยังไม่ได้ไหม้) ระหว่างกิน อยู่นั้นบุญขจรเหลือบไปเห็นแมวตัวหนึ่งกำลังกินอาหารของมันอยู่ที่มุมห้องใกล้ๆกับที่บุญขจรกิน ก๋วยเตี๋ยวอยู่พอดี บุญขจรสังเกตุเห็นว่าชามที่ใส่อาหารแมวนั้นเป็นชามสังคโลกที่สวยและสมบูรณ์ มากที่สุดใบหนึ่งประเมินอายุแล้วต้องไม่น้อยกว่า 700 ปี ราคาคงไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ด้วยความอยากได้เหลือประมาณจึงหันไปถามเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว

บุญขจร : แมวตัวนี้ขายไหม? ผมให้ราคา 200 บาท

เจ้าของ : ไม่ขายหรอก

บุญขจร : ทำไมไม่ขาย? ถ้าผมให้ 1,000 บาทจะขายไหม?

เจ้าของ : ขาย

บุญขจรชำระเงินค่าก๋วยเตี๋ยวและชำระเงินค่าแมวแล้วเดินไปอุ้มแมวพร้อมๆกับหยิบชามสังคโลก ใบนั้นด้วย

บุญขจร : ผมขอชามใส่อาหารแมวใบนี้ไปด้วยนะ เพราะผมคิดว่าเวลาแมวเปลี่ยนเจ้าของ เปลี่ยนที่อยู่ มันอาจเซื่องซึม แต่ถ้าแมวมันได้กินอาหารจากชามใบเดิมของมัน มันคงจะรู้สึกดี

เจ้าของ : ไม่ได้หรอก ผมขายแต่แมวเท่านั้น ชามใบนี้เป็นชามนำโชคผมไม่ขายเด็ดขาด ตั้งแต่ผมได้มันมาเมื่อสามเดือนก่อน ผมขายแมวได้วันละหกตัวทุกวันเลย

 


เรื่องที่ 53
ผักสวนครัว

ในสภาวะที่เศรษกิจไม่ค่อยดีสืบเนื่องจากการประท้วงและการเดินขบวนของฝ่ายต้านฝ่ายหนุน อยู่อย่างพัลวันพัลเกอย่างนี้ ประชาชนเลยต้องประหยัดกันขนานใหญ่ การปลูกผักสวนครัวกลายเป็น เรื่องจำเป็นเสียแล้ว นอกจากจะช่วยประหยัดแล้วยังได้อาหารที่ปราศจากยาฆ่าแมลงและสารเคมี อื่นๆ สายแข พนักงานสาวโสดของบริษัทซีทีก็เช่นเดียวกัน เธอปลูกผักสวนครัวหลายชนิดแต่สิ่งที่ ทำให้เธอไม่สมใจก็คือมะเขือเทศ เนื่องจากมะเขือเทศของเธอมีสีผลที่ไม่แดงสดใสเหมือนกับ มะเขือเทศของบุญถนอม หนุ่มใหญ่จากบริษัทบดก.ที่มีบ้านอยู่ติดกัน

เย็นวันหนึ่งสายแขเห็นบุญถนอมเดินเก็บผักสวนครัวอยู่หน้าบ้าน ด้วยความสงสัยเรื่องมะเขือเทศ จึงได้สอบถามบุญถนอมให้หายข้องใจ

สายแข : คุณบุญถนอม ฉันปลูกมะเขือเทศแล้วสีผลมันไม่แดงสดใสเหมือนของคุณเลย ทั้งๆที่ ฉันรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยอยู่เป็นประจำ คุณช่วยบอกเคล็ดลับของคุณให้หน่อย

บุญถนอม : อ๋อ ! ผมไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ ผมเพียงแต่ฉี่ใส่มันเช้าเย็น วันละสองครั้งเท่านั้น

สายแขได้ยินแล้วรู้สึกว่ามันก็ไม่ยากเย็นอะไร เพื่อให้ได้มะเขือเทศสีแดงสดใส สายแขก็ไปฉี่ใส่ ต้นมะเขือเทศของตนบ้าง แต่เนื่องจากเป็นผู้หญิง จึงเลือกไปฉี่ตอนเช้ามืดและตอนดึกๆทุกวัน แทนตอนเช้าเย็น หลังจากสองสามเดือนผ่านไป มะเขือเทศของสายแขก็ยังเป็นสีเขียวเหมือนเดิม ไม่มีสีแดงสดใสเหมือนมะเขือเทศของบุญถนอม ในตอนเย็นอีกวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองออกมาเก็บผัก สวนครัว

บุญถนอม : เป็นอย่างไรบ้างครับคุณสายแข ได้ผลไหมครับ? มะเขือเทศของคุณเป็นไงบ้าง?

สายแข : ไม่ได้ผลเลย มะเขือเทศของฉันมันยังเป็นสีเขียวเหมือนเดิม แต่ว่า.....อืม์....... แตงกวาของฉันน่ะสิ....มันใหญ่กว่าปกติ !

 


เรื่องที่ 54
ลูกหมาบางแก้ว

บุญแท้ ไปหาซื้อลูกหมาพันธุ์บางแก้วที่ตลาดนัดจตุจักรเพื่อจะนำไปเลี้ยงที่หาดใหญ่ แต่เนื่องจาก ม็อบอีแต๋นไปปักหลักเชียร์ทักษินอยู่ที่นั่นทำให้จราจรติดขัดมาก กว่าบุญแท้จะไปถึงสนามบิน เครื่องก็ใกล้จะออกแล้ว บุญแท้ไม่มีเวลาไปทำเรื่องนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง แค่เช็กอินอย่างเดียว ก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเอาลูกหมาบางแก้วยัดใส่ไว้ในกางเกงในแล้วเดินขึ้นเครื่อง

โชคดีที่ผ่านด่านตรวจได้โดยไม่มีใครรู้ เพราะที่ตัวบุญแท้ไม่มีวัตถุที่เป็นโลหะ แม้เป้ากางเกง จะดูตุงอยู่บ้างก็ตาม เมื่อขึ้นนั่งบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว บุญแท้นั่งบิดไปบิดมาจนเป็นที่สังเกตุ ของแอร์โฮสเตส

แอร์โฮสเตส : ขอโทษ คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

บุญแท้ : เปล่า เปล่า ผมไม่มีปัญหาอะไร

เครื่องบินบินขึ้นแล้ว แอร์โฮสเตสเดินมาที่บุญแท้อีก เพราะนอกจากจะเห็นบุญแท้จะนั่งบิดไปบิดมา แล้ว ยังสังเกตุเห็นที่เป้ากางเกงบุญแท้ขยุกขยิกอยู่ตลอดเวลา

แอร์โฮสเตส : คุณแน่ใจหรือว่าไม่มีปัญหาอะไร?

บุญแท้ : อืม์ ! ไม่มีครับ

แอร์โฮสเตส : แล้วนั่นอะไร? ฉันหมายถึงที่เป้ากางเกงคุณนั่นน่ะ

บุญแท้ : เออ... คือว่า.....อืม์....ผมขอสารภาพกับคุณตรงๆนะ ในนั้นเป็นลูกหมาบางแก้ว ผมจำเป็นต้องเอากลับหาดใหญ่พร้อมผมวันนี้ เนื่องจากผมทำเรื่องนำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องไม่ทัน ถ้าผมไม่ซ่อนมันแล้วนำขึ้นเครื่องมาด้วยผมก็ต้องทิ้งมันไว้ที่สนามบิน

แอร์โฮสเตส : โธ่ ! ลูกหมาที่น่าสงสาร ที่ต้องทนอึดอัดอยู่ในเป้ากางเกง แต่ว่า...มันยังดีกว่า ที่จะต้องพลัดพรากจากครอบครัวนะ เอาเถอะ ! ฉันจะไม่รายงานเรื่องนี้ แต่คุณก็อย่าเอามัน ออกมาให้คนอื่นเขาเห็นก็แล้วกัน

บุญแท้ : ขอบคุณมากครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่ลูกหมาตัวนี้ มันยังไม่หย่านมครับ

 


เรื่องที่ 55
ประหยัดเวลา

บุญหนุน ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่รับประทานอยู่นั้นบุญหนุนทำ ช้อนหล่นจากโต๊ะ แต่ไม่ทันที่บุญหนุนจะเรียกให้พนักงานเสิร์ฟเอาช้อนมาเปลี่ยนให้ พนักงานเสิร์ฟรายหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆบุญหนุนก็จัดการรีบหยิบช้อนคันใหม่จากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้กับบุญหนุนอย่างรวดเร็ว สร้างความประหลาดใจให้กับบุญหนุนยิ่งนัก

บุญหนุน : ที่ภัตตาคารแห่งนี้ พนักงานทุกคนจะต้องพกช้อนสำรองติดตัวไว้เสมออย่างนั้นใช่ไหม?

พนักงานเสิร์ฟ : ใช่ครับ จากการวิจัยของที่นี่เราพบว่า สถิติการทำช้อนหล่นของลูกค้ามีสูงถึง 19.28 เปอร์เซนต์ ดังนั้น การมีช้อนสำรองไว้ในกระเป๋าเพื่อบริการลูกค้าจะได้ไม่ต้องเดิน ไปเอาในครัวบ่อยๆ ทำให้ประหยัดเวลาครับ

บุญหนุนชื่นชมในแนวความคิดนี้มาก แต่เผอิญไปเห็นว่าพนักงานเสิร์ฟทุกคนมีเชือกเส้นหนึ่ง ห้อยอยู่บนบ่า จึงเกิดความสงสัย

บุญหนุน : เรื่องพนักงานพกช้อนสำรองนั้นผมเข้าใจแล้ว แต่ผมสงสัยเรื่องเชือกที่ห้อยอยู่บนบ่านี่ ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร?

พนักงานเสิร์ฟ : อ๋อ เชือกนี้หรือครับ คือว่าที่นี่มีการวิจัยเรื่องการใช้ห้องน้ำของพนักงานเสิร์ฟ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ทุกคนจะใช้ปลายเชือกข้างหนึ่งผูกติดกับจู๋ของตัวเอง เวลาไปฉี่ก็แค่ดึงเชือก จู๋ก็จะโผล่จากกางเกงฉี่ได้โดยมือไม่ต้องสัมผัสจู๋เลย หลังฉี่เสร็จก็จึงไม่จำเป็นต้องล้างมือให้เสียเวลา แต่อย่างใด

บุญหนุน : อืม..ตอนดึงจู๋ออกมา ผมพอเข้าใจ แต่..เอ....ผมสงสัยว่าแล้วเวลาจะเก็บจู๋กลับคืนในกางเกงทำกันอย่างไร?

พนักงานเสิร์ฟ : คนอื่นเขาทำกันอย่างไรผมไม่ทราบ ส่วนผมนั้น ผมใช้ช้อนสำรองที่ผมพกอยู่นั้น ควักมันเข้าไปครับ

 


เรื่องที่ 56
ผู้ยิ่งใหญ่

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538

ต่อไปนี้เป็นรายงานจากบันทึกการโต้ตอบทางวิทยุระหว่างเรือบรรทุกเครื่องบินของ สหรัฐอเมริกา กับเจ้าพนักงานของแคนาดา ที่บริเวณนอกฝั่งนิวฟาวนด์แลนด์

แคนาเดียน : ขอให้ท่านหันหัวเรือของท่าน 15 องศาทางใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกัน

อเมริกัน : เราขอแนะนำว่าท่านนั่นแหละ ที่ต้องหันหัวเรือของท่าน 15 องศาทางทิศเหนือเพื่อ หลีกเลียงการชนกัน

แคนาเดียน : ไม่ ท่านจะต้องเป็นผู้หันหัวเรือของท่าน 15 องศาทางทิศใต้เพื่อหลีกเลี่ยงการ ชนกัน

อเมริกัน : นี่ผมกัปตันเรือแห่งราชนาวีสหรัฐอเมริกา ผมขอย้ำว่าคุณต้องหันหัวเรือของคุณ 15 องศาทางทิศเหนือเดี๋ยวนี้

แคนาเดียน : ไม่เด็ดขาด ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ท่านจะต้องหันหัวเรือชองท่าน ตามที่สั่ง เดี๋ยวนี้

อเมริกัน : นี่เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอส ลินคอล์น เรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของกองเรือ สหรัฐประจำภาคพื้นแอ็ตแลนด์ติก เรามีเรือที่มาด้วยกันซึ่งประกอบด้วยเรือประจัญบาน 3 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 3 ลำ และยังเรือสนับสนุนอื่นๆอีกหลายลำ ผมขอแนะนำให้คุณหันหัวเรือ ของคุณ 15 องศาทางทิศเหนือ ผมขอย้ำ หนึ่ง-ห้า องศาเหนือ ไม่เช่นนั้นเราก็จำเป็นต้อง ตอบโต้ด้วยมาตรการรุนแรงเพื่อปกป้องเรือของเราให้ปลอดภัย

แคนาเดียน : เราหันไม่ได้ เพราะที่นี่คือประภาคาร

 


เรื่องที่ 57
นักพนันตัวยง

บุญเฉลิม เดินเข้าไปในบาร์ พูดกับบาร์เทนเดอร์ บุญเฉลิม : นี่โจ ผมพนันกับคุณ 500 บาท ว่าผมสามารถกัดตาข้างขวาของผมได้

โจบาร์เทนเดอร์คิดว่ามันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ จึงตกลงพนันกับบุญเฉลิม บุญเฉลิมจัดการควัก ตาลูกแก้วซึ่งเป็นตาปลอมออกมาจากตาข้างขวา แล้วเอาไปกัด โจแพ้พนันจึงต้องจ่ายให้บุญเฉลิม 500 บาทตามที่พนันไว้ด้วยความโกรธแค้น บุญเฉลิมรับเงินแล้วก็เดินออกจากบาร์ไป

ครึ่งชั่วโมงต่อมาบุญเฉลิมเดินเข้ามาในบาร์อีก แล้วก็พูดกับบาร์เทนเดอร์ บุญเฉลิม : นี่โจ ผมพนันกับคุณ 1,000 บาท ว่าผมสามารถกัดตาข้างซ้ายของผมได้

โจบาร์เทนเดอร์เห็นบุญเฉลิมเดินเข้าเดินออกจากบาร์ได้อย่างคล่องแคล่ว เขาไม่ใช่คนตาบอด อย่างแน่นอน แม้เขาจะมีตาลูกแก้วที่ตาขวา แต่ตาซ้ายต้องไม่ใช่ตาลูกแก้วเป็นแน่ เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกัดตาซ้ายของเขาได้ โจจึงตัดสินใจรับพนันกับบุญเฉลิมอีก บุญเฉลิมจัด การถอดฟันปลอมของตนออกมาแล้วเอาฟันปลอมไปกัดตาข้างซ้าย โจต้องเสียพนันให้กับ บุญเฉลิมอีกครั้งหนึ่ง

บุญเฉลิมสั่งเหล้าแล้วไปนั่งดื่มอยู่พักใหญ่ เขาเดินกลับมาหาโจบาร์เทนเดอร์ บุญเฉลิม : นี่โจ ผมพนันกับคุณ 2,000 บาท ว่าผมสามารถฉี่ใส่แก้วเหล้าที่วางห่างออกไปถึง 7 เมตรได้ ผมให้คุณเป็นคนเอาแก้วไปวางเอง แล้วผมจะยืนอยู่ที่ตรงนี้

โจบาร์เทนเดอร์คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องได้เงินคืนแน่ แถมยังจะมีกำไรอีก 500 บาทด้วย จึงรับพนันกับบุญเฉลิมเป็นครั้งที่สาม

โจหยิบแก้วเหล้าใบหนึ่งวัดระยะ 7 เมตรห่างจากที่บุญเฉลิมยืนอยู่พอดี แล้ววางลงบนพื้น ถอย กลับมาคอยดูบุญเฉลิม บุญเฉลิมพยายามฉี่เท่าไรก็ไม่ถึงแก้วเหล้าที่โจวางไว้ ไม่ว่าจะหมุนซ้าย หมุนขวา กระโดด ทำอย่างไรก็ไม่ถึง โจดูท่าทางการฉี่ของบุญเฉลิมอย่างขบขัน หัวร่องอหงาย เมื่อการฉี่สิ้นสุด บุญเฉลิมก็จ่ายเงินให้โจ 2,000 บาทตามที่พนันไว้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มระรื่น โจสงสัยว่าบุญเฉลิมเสียพนันแล้วทำไมช่างมีความสุขเหลือเกิน

โจ : บอกผมหน่อยว่าทำไมคุณแพ้พนันผมแล้ว ดูคุณมีความสุขเหลือเกิน

บุญเฉลิม : คุณเห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านโน้นไหม? ผมพนันกับเขา 5,000 บาท ว่าผมสามารถ ฉี่ในร้านคุณได้โดยที่คุณจะยืนดูอย่างชอบอกชอบใจ

 


เรื่องที่ 58
รู้ได้ยังไง

 สายจิต ไปหาซื้อคันเบ็ดกับรอกตกปลาที่ห้างแพ็กโกร แต่เนื่องจากสายจิตไม่ค่อยรู้เรื่องคันเบ็ดและรอก ว่าอย่างไหนดีหรือไม่ดีสักเท่าไรนัก จึงคว้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้ามาชุดหนึ่ง เมื่อเดินมาจ่ายเงินที่แคชเชียร์ สายจิตเห็นผู้ช่วยผู้จัดการใส่สูทสรวมแว่นตาดำคอยช่วยเหลือลูกค้าอยู่ สายจิตจึงถามผู้ช่วยผู้จัดการ

สายจิต : ขอโทษค่ะ คุณพอจะแนะนำเรื่องคันเบ็ดกับรอกให้ดิฉันหน่อยได้ไหมคะ? ดิฉันหยิบมาชุด หนึ่งไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร?

ผู้ช่วยฯ : คุณผู้หญิงครับ ผมเป็นคนตาบอดแต่ผมมีประสาทสัมผัสที่ดีมาก หากคุณวางคันเบ็ดและรอก ที่คุณถือมาลงบนเคาน์เตอร์ให้เกิดเสียงกระทบ ผมจะสามารถบอกอะไรๆกับคุณได้

สายจิตไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ก็วางคันเบ็ดและรอกลงบนเคาน์เตอร์

ผู้ช่วยฯ : นี่เป็นเบ็ดที่ดีมาก คันเบ็ดเป็นก้านกราไฟท์ยาว 1.5 เมตร รอกยี่ห้อเซปโก้ รุ่น 202 น้ำหนัก ทดสอบ 5 กิโลกรัม เป็นรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมมาก ราคาชุดละ 600 บาทครับ

รู้ได้ยังไง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง สายจิตทึ่งในความสามารถของผู้ช่วยผู้จัดการคนนี้มาก จึงตกลงซื้อคัน เบ็ดและรอกชุดนั้น ขณะที่กำลังจ่ายเงินอยู่นั้น สายจิตเกิดตดขึ้นมาแม้จะไม่มีเสียงแต่ก็มีกลิ่นเหม็นมาก ตอนแรกสายจิตรู้สึกขวยเขินแต่แล้วก็ใจชื้น เพราะคิดว่า ผู้ช่วยฯคงไม่คิดว่าเราเป็นคนตด เนื่องจากผู้ช่วย ไม่มีทางรู้ว่าบริเวณหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์นั้นมีลูกค้ายืนอยู่กี่คน แต่แล้วเสียงเครื่องคิดเงินก็ดังขึ้น

ผู้ช่วยฯ : ทั้งหมด 675 บาทครับ

สายจิต : เดี๋ยวก่อนคุณ เมื่อก่อนหน้านี้คุณบอกดิฉันว่าเบ็ดชุดนี้ราคา 600 บาท เท่านั้นนี่คะ ทำไม ตอนนี้ถึงเป็น 675 ไปได้

ผู้ช่วย : ถูกต้องครับคุณผู้หญิง คันเบ็ดกับรอกราคาชุดละ 600 บาท ส่วนปลาเหยื่อหมักทวีกลิ่น ราคา 75 บาทครับ

(หมายเหตุ : เวลาใช้เหยื่อตกปลา ถ้าเอาเหยื่อไปหมักให้เน่าเหม็นเสียก่อน เหยื่อนั้นจะดึงดูดให้ปลากินเหยื่อดีขึ้นกว่าเหยื่อสด)

 


เรื่องที่ 59
มุขดี

ที่บาร์สายฟ้า บุญถม บาร์เทนเดอร์บริการลูกค้าที่เนืองแน่นจนมือเป็นระวิง แต่ มองเห็นขี้เมาคน หนึ่งที่นั่งดื่มเบียร์อยู่หน้าเคาน์เตอร์เป็นชั่วโมงแล้วกำลังจะลุก

บุญถม : ขอเก็บค่าเบียร์ 5 แก้ว 300 บาท

ขี้เมา 1 : ผมจ่ายแล้ว จำไม่ได้เหรอ

บุญถม : อ้อ ! ขอโทษ จ่ายแล้วหรือ? โอเค โอเค ขอบคุณมากนะครับวันหน้ามาอุดหนุนกันใหม่

เมื่อขี้เมาเดินออกจากบาร์ก็พอดีสวนกับเพื่อนขี้เมาอีกคนหนึ่งจึงเล่าให้เพื่อนขี้เมาคนนั้นฟังว่า ในบาร์มีคนเยอะมากค่อนข้างสับสนอลหม่านจนขนาดบาร์เทนเดอร์จำไม่ได้ว่าใครจ่ายเงินแล้ว หรือยัง เพื่อนขี้เมาจึงเข้าไปในบาร์แล้วสั่งเบียร์แก้วหนึ่ง ถึงเวลาจ่ายเงิน

บุญถม : ค่าเบียร์หนึ่งแก้ว 60 บาท

เพื่อนขี้เมาใช้มุขที่ได้ยินมาเมื่อสักครู่

ขี้เมา 2 : ผมจ่ายแล้ว จำไม่ได้หรือไง?

บุญถม : หรือครับ เอ้อ ! ขออภัย ขอบคุณที่มาอุดหนุน วันหน้ามาใหม่นะครับ

ขี้เมาคนที่สองก็เดินออกจากบาร์ไป ที่ด้านนอกเขาเจอเพื่อนขี้เมาอีกคนหนึ่งจึงบอกกับเพื่อนขี้เมา อีกคนหนึ่งนั้นว่าถ้าอยากดื่มเหล้าฟรีให้ใช้มุขเหมือนกับที่ขี้เมาคนแรก และตนได้เคยใช้มาแล้ว รับรองได้เลย ขี้เมาคนที่สามเดินเข้าไปในบาร์แล้วสั่งเบียร์ดื่มไปสองแก้ว ถึงเวลาที่จะกลับ บุญถมไม่ได้เรียกเก็บเงินอย่างที่เคย แต่กลับพูดกับขี้เมาคนที่สามว่า

บุญถม : เมื่อสักครู่มีขี้เมาสองคนเข้ามาดื่มเบียร์ ถึงเวลาจ่ายเงินไม่ยอมจ่าย กลับอ้างว่าได้จ่ายแล้ว ผมอภัยให้ ทีนี้ละก็ ฮื่ม ! ถ้าใครมาใช้มุขนี้กับผมอีกไม่ได้แล้ว ขืนมาใช้กับผมสิ ผมจะตะบันให้ หน้าหงายไปเลย

ขี้เมา 3 : นี่ 200 ทอนให้ผม 80 เร็วๆหน่อย ผมมีธุระด่วนต้องรีบไป

 


เรื่องที่ 60
ผมจะใช้วิธีที่แถวบ้านผมเขาทำกัน

บุญแม้น เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี วันหนึ่งบุญแม้นถอยรถฟอร์จูนเนอร์ป้ายแดง ออกมาใหม่ ระหว่างทางที่จะกลับบ้าน บุญแม้นได้แวะดื่มเบียร์แก้วหนึ่งที่บาร์ของบุญถม หลังจากดื่มโดยใช้เวลาเพียง 10 นาฑีเท่านั้น พอออกมาปรากฏว่ารถฟอร์จูนเนอร์ป้ายแดง ของตนที่จอดไว้หน้าบาร์ได้อัตรธานหายไป บุญแม้นโกรธมากเดินกลับเข้ามาในบาร์ แล้ว ตะโกนด้วยเสียงอันดัง

บุญแม้น : ใครในนี้ขโมยรถผมไป

พร้อมกันนั้น เขาเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ต ทุกคนในบาร์เงียบ เนื่องจากบาร์แห่งนี้ มักมีประเพณีหยอกล้อลูกค้ารายใหม่ด้วยวิธีการแปลกๆเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง

บุญแม้น : ผมขอเตือนให้เอามาคืนเสียดีๆ ถ้าไม่เช่นนั้นผมจะใช้วิธีที่แถวบ้านผมเขา ทำกัน ผมไม่อยากใช้วิธีนั้นที่นี่ ผมจะนั่งกินเบียร์รออยู่ที่นี่อีกสองแก้ว ให้เวลาเอารถมาคืนผม

บางคนในบาร์เริ่มทยอยเดินออกจากบาร์อย่างเงียบๆ เพราะเสียงที่ดังของบุญแม้นเหมือน เสียงของนักเลง และดูท่าทางเอาจริง

เมื่อตะโกนเสร็จบุญแม้นก็มานั่งดื่มเบียร์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากดื่มเบียร์หมด ไปสองแก้วตามที่บอกแล้ว บุญแม้นเดินออกไปนอกบาร์ ปรากฎว่ารถฟอร์จูนเนอร์ป้าย แดงของบุญแม้นกลับมาจอดอยู่ที่เดิมเป็นที่อัศจรรย์ บุญถมรู้สึกทึ่งมาก แสดงว่าคำขู่ของ บุญแม้นนี้ช่างได้ผลอะไรเช่นนี้

บุญถม : ก่อนคุณจะไป คุณช่วยบอกผมหน่อยซิว่า เวลารถหายแล้วไม่ได้คืน วิธีที่แถว บ้านคุณเขาทำกันนั้น มันเป็นอย่างไร?

บุญแม้น : แถวบ้านผมหรือ? เขาก็เดินกลับบ้านกันนะซิ

 


เรื่องที่ 61
อย่ามาว่าผมนะ

บุญเที่ยง เป็นคนตาบอด เวลาจะไปไหนมาไหนเขาจะมีสุนัขคอยนำทางไปเสมอ สุนัขตัวนี้อยู่ กับบุญเที่ยงมาหลายปีและมันฉลาดและแสนรู้ อีกทั้งยังซื่อสัตย์กับเจ้าของยิ่งกว่าสุนัขตัวอื่นๆ มันได้ทำหน้าที่นำทางของมันอย่างครบถ้วนแทบไม่มีที่ติ

วันหนึ่งบุญเที่ยงต้องข้ามถนนแถวอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตอนนั้นจราจรหนาแน่นมากเจ้าพนัก งานตำรวจกำลังไล่รถให้ไปเร็วๆเพื่อที่จะระบายรถ ไฟที่ทางม้าลายก็ยังแดงอยู่ แต่เจ้าสุนัขนำ ทางกลับพาบุญเที่ยงข้ามถนนโดยมิพักต้องรอไฟเขียว เนื่องจากมันเห็นหมาสาวที่มันได้เคยรู้จัก อยู่ฟากถนนอีกฝั่ง รถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วต้องเบรกกันอย่างกระทันหัน เสียงยางล้อรถเสียด สีกับผิวถนนดังเอี๊ยดอ๊าด บางคนบีบแตรดังลั่น เลื่อนกระจกรถลงมา ยื่นศรีษะออกไปตะโกนด่า บุญเที่ยงด้วยความโกรธแค้น แต่บุญเที่ยงกับสุนัขนำทางก็ข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งได้อย่างปลอดภัย ท่ามกลางการถอนหายใจอย่างโล่งอกของประชาชนที่ยืนอยู่แถวนั้น

เมื่อข้ามถนนแล้วบุญเที่ยงยื่นขนมคุกกี้หนึ่งชิ้นให้สุนัขนำทาง ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์อยู่โดย ตลอดรู้สึกแปลกใจต่อการกระทำของบุญเที่ยง

ประชาชน : คุณนี่พิลึกมาก สุนัขตัวนี้เกือบพาคุณไปตายด้วยอุบัติเหตุ คุณยังมีหน้าให้รางวัลแก่มัน ด้วยขนมคุกกี้อีกหรือ?

บุญเที่ยง : ผมไม่ได้ให้รางวัลแก่มัน

ประชาชน : ที่ยื่นขนมคุกกี้ให้มันกินเมื่อสักครู่นี้ ไม่เรียกว่าให้รางวัลแล้วจะเรียกว่าอะไร

บุญเที่ยง : อย่ามาว่าผมนะ ! ที่ผมให้ขนมคุกกี้แก่มันนั้น ก็เพื่อผมจะได้รู้ว่าหัวของมันอยู่ที่ไหน ผมจะได้เตะก้นมันถูกยังงัย

 


เรื่องที่ 62
เครื่องวิเคราะห์ปัสสาวะ

ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน บุญมั่น บอกกับ บุญชุบ เพื่อนร่วมงานว่า ตอนเย็นเลิกงานแล้วจะ แวะไปหาหมอที่โรงพยาบาลเนื่องจากว่าเขามีอาการเจ็บข้อศอกขวามากจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้

บุญชุบ : นี่ บุญมั่น คุณไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก ที่ร้านขายยาข้างบริษัทเรามีเครื่องวิเคราะห์ ปัสสาวะด้วยคอมพิวเตอร์มันทันสมัยมากเลยนะ คุณนำตัวอย่างปัสสาวะของคุณใส่เข้าไปในเครื่อง แค่ครึ่งนาฑีมันจะวิเคราะห์เสร็จพร้อมด้วยรายงานอย่างละเอียด คุณเสียค่าวิเคราะห์แค่ 100 บาท เท่านั้น ถูกกว่าไปหาหมอตั้งเยอะแถมยังประหยัดเวลาด้วย

บุญมั่นเห็นดีด้วย 100 บาทเท่านั้นน่าทดลองดู หลังจากเลิกงานแล้วบุญมั่นไปที่เครื่องวิเคราะห์ปัสสาวะ ในร้านขายยา หยอดเงินไป 100 บาท ปรากฎมีแสงวูบวาบที่คอมพิวเตอร์พร้อมข้อความให้ใส่ตัวอย่าง ปัสสาวะ บุญมั่นเทตัวอย่างปัสสาวะที่เตรียมมาลงในกระบอกตรงตัวเครื่อง เพียงครึ่งนาฑีเท่านั้นก็มีราย งานพิมพ์ออกมาอ่านได้ดังนี้

" เอ็นข้อศอกขวาของคุณอักเสบอย่างรุนแรง หมั่นแช่น้ำอุ่น หลีกเลี่ยงการใช้งานหนัก สองสัปดาห์จะหายเป็นปกติ "

บุญมั่นทึ่งในความสามารถของเครื่องวิเคราะห์นี้มาก เมื่อกลับบ้านไปแล้วจึงคิดว่าน่าจะลองดีกับเครื่อง วิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเตรียมตัวอย่างสำหรับวิเคราะห์ใหม่ โดยแทนที่จะใช้ปัสสาวะของใครสัก คน บุญมั่นดันทลึ่งเอาปัสสาวะของหมา กับแมวที่บ้านผสมกัน ยิ่งกว่านั้นเพื่อทดสอบว่าเครื่องนี้วิเคราะห์ ได้กว้างขวางแค่ไหนจึงผสมน้ำประปา และน้ำอสุจิของตนเองลงไปด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนจะเข้าทำงาน บุญมั่นแวะที่ร้านขายยา หยอดเงิน 100 บาทที่เครื่องวิเคราะห์ แสงไฟ วูบวาบสว่างขึ้นพร้อมคำสั่งให้เทตัวอย่างปัสสาวะลงในกระบอก บุญมั่นปฎิบัติตาม เพียงครึ่งนาฑีก็มีราย งานผลวิเคราะห์อ่านได้ดังนี้

" 1 น้ำประปาที่บ้านคุณกระด้างเกินไป ดื่มบ่อยๆแล้วจะเป็นนิ่วในไต แก้ไขโดยกรองผ่านเครื่องกรองน้ำ AWF 2 หมาที่บ้านของคุณมีพยาธิวงแหวน พาไปหาสัตวแพทย์ด่วน 3 แมวที่บ้านของคุณตั้งท้องได้หนึ่งเดือนแล้ว มันจะคลอดลูก 4 ตัว เตรียมหาที่อยู่ให้มันด้วย 4 คุณควรหยุดช่วยตัวเองลงชั่วคราว มิฉะนั้นข้อศอกของคุณจะไม่มีวันหาย "

 


เรื่องที่ 63
เรื่องอย่างนี้คุณกล้าเรียกคนมาช่วยหรือ?

 บุญเนื่อง อายุ 65 ปี แต่งงานกับสาวอายุคราวหลานมาหลายปีแล้ว ยังไม่มีลูกสักที บุญเนื่องไปพบหมอ เพื่อตรวจดูสภาพร่างกาย

หมอ : เอาขวดนี้กลับบ้านไป ใส่น้ำอสุจิแล้วนำกลับมาให้ผมพรุ่งนี้ ผมจะส่งตัวอย่างนี้ไปวิเคราะห์ที่ ห้องแล็บฯ เพื่อดูจำนวนสเปิร์ม

บุญเนื่องนำขวดใส่ตัวอย่างกลับไป วันรุ่งขึ้นบุญเนื่องมาพบหมออีกครั้งหนึ่งพร้อมขวดใส่ตัวอย่างน้ำอสุจิ แต่ปรากฎว่าขวดนั้นว่างเปล่าสภาพเหมือนกับตอนเอาไปเมื่อวานนี้ไม่มีผิด

หมอ : เอ๊ะ ! เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่ใส่ตัวอย่างน้ำอสุจิมาด้วยล่ะ?

บุญเนื่อง : อ้า..! มันเป็นอย่างนี้ครับ คือว่า...เมื่อเช้านี้ผมพยายามแล้ว ตอนแรกผมใช้มือขวามันไม่ได้ผล ผมก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้าย มันก็เหมือนเดิม ผมเรียกให้ภรรยาผมมาช่วย ตอนแรกเธอใช้มือขวาก็ไม่ได้เรื่อง เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายก็เหมือนเดิมอีก แม้เธอจะใช้ปากของเธอมาช่วยก็ไม่สำเร็จ ผมจึงให้คุณผู้หญิงข้างบ้าน มาช่วยผมอีก เธอก็ยินดี เธอใช้มือทั้งสองของเธออย่างเต็มที่ มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้ผล ในที่สุดเธอก็ใช้ปาก ของเธอ พยายามอยู่ตั้งนานจนอ่อนใจไม่สำเร็จ พวกเราเลยยอมแพ้

หมอ : หา ! คุณว่าอะไรนะ? เรื่องอย่างนี้คุณกล้าเรียกเพื่อนบ้านมาช่วยได้อย่างไร?

บุญเนื่อง : ก็มันจำเป็นนี่ครับหมอ พวกเราสามีภรรยาช่วยกันจนหมดปัญญาแล้ว จึงได้ขอให้เขามาช่วย ก็ฝาขวดมันแน่นอย่างนี้เปิดเท่าไรก็ไม่ออก ผมเลยไม่สามารถใส่น้ำอสุจิมาให้หมอได้ไงครับ

 


เรื่องที่ 64
เรื่องที่พิสูจน์ได้

 บนเที่ยวบินที่ เอสเอส 143 ของสายการบิน ศรีโสภณแอร์ไลน์ ที่บินจากกรุงเทพถึงศรีโสภณ มีผู้โดยสาร 340 คน ผู้โดยสารพอใจที่เครื่องบินออกตรงเวลา หลังจากที่เครื่องบินบินขึ้นแล้ว ประมาณ 10 นาฑี ก็มีเสียงพูดกับผู้โดยสาร

กัปตัน : สวัสดีครับท่านผู้โดยสาร ผมกัปตันบุญส่งพร้อมด้วยลูกเรือและสายการบินศรีโสภณ แอร์ไลน์ ยินดีต้อนรับทุกท่านบนเครื่องแอร์บัส 310 ZX ซึ่งจะนำท่านสู่เมืองศรีโสภณ โดยจะ ใช้เวลาบินอีก 35 นาฑี นับจากนี้ไป ขณะนี้ เราบินอยู่ที่ระดับความสูง 15,000 ฟีท หรือประมาณ 5 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง และบินอยู่เหนือบริเวณจังหวัดนครนายก ตลอดเส้นทาง อากาศแจ่มใส มีทัศนวิสัยที่ดีมาก อุณหภูมิที่ศรีโสภณ 25 องศาเซลเซียสหรือ 77 องศาฟาเรนไฮต์ หวังว่าท่านผู้โดยสารคงจะได้รับความสะดวกสบา.. เฮ้ย ! ฉิบห..ยแล้ว

เสียงเงียบไปพักหนึ่ง ผู้โดยสารทั้ง 340 คนบนเครื่องนั่งนิ่ง ได้แต่หันมองหน้ากันและกันโดย ไม่มีเสียงพูดใดๆ แต่แล้วกัปตันก็พูดขึ้น

กัปตัน : ขออภัยท่านผู้โดยสาร ไม่ต้องตกใจครับ เมื่อสักครู่นี้พนักงานบริการนำกาแฟมาเสิร์ฟ เผอิญเครื่องตกหลุมอากาศเล็กน้อย กาแฟเลยกระฉอกใส่กางเกงผม ตรงเป้ากางเกงพอดี คราบ กาแฟยังเลอะอยู่เลยครับ พิสูจน์ได้

กัปตันบุญส่งยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงของผู้โดยสารชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังตะโกนด้วยเสียง อันดังได้ยินทั่วกัน

ผู้โดยสาร : ของคุณเลอะที่เป้ากางเกงน่ะเรื่องเล็ก ของผมสิ เลอะก้นกางเกงหมดเลย

 


เรื่องที่ 65
ระบบอัตโนมัติ

บริษัทการแอร์บินทวาย ได้ซื้อเครื่องบินโดยสารลำใหม่จากบริษัทโปวิ่งแห่งประเทศสหรัฐ อเมริกา เครื่องบินนี้เป็นรุ่น MN 888 ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นล่าสุดของโปวิ่ง ใช้เทคโนโลยีที่ทัน สมัยที่สุดในโลก และสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 680 ที่นั่ง บริษัทโปวิ่งภาคภูมิใจใน เครื่องรุ่นนี้เป็นอย่างมาก เพราะมันเหนือกว่า CX 370 ของแอร์บัส และเหนือกว่าเครื่อง บินคองคอร์ด รุ่น T 700

บริษัทการบินทวายก็มีความภาคภูมิใจในเครื่องบินตัวใหม่นึ้ด้วยเช่นเดียวกัน จึงอยากโชว์ สมรรถนะของเครื่องโดยจัดเที่ยวบินพิเศษซึ่งเป็นการบินเที่ยวปฐมฤกษ์ไปเมืองบาร์เซโลน่า บริษัทได้เชิญแขกผู้มีเกียรติ 680 ท่านตามจำนวนที่นั่ง ประกอบด้วยรัฐมนตรี สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา นักธุรกิจชั้นนำ และบรรดาไฮโซที่ชอบช้อปปิ้งทั้งหลาย

เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นจากสนามบิน เพียงไม่ถึง 10 นาฑีเครื่องก็สามารถไต่ระดับถึงความ สูง 33,000 ฟีทเหนือระดับน้ำทะเลทันที จากนั้น ก็มีเสียงลำโพงดังขึ้น

" สวัสดีครับท่านผู้โดยสาร บริษัทการบินทวายยินดีต้อนรับท่านบนเครื่องโปวิ่ง MN888 เที่ยวบินปฐมฤกษ์ที่ TV 644 ซึ่งจะนำท่าน สู่เมืองบาร์เซโลน่า โดยจะใช้เวลาบินเพียง 7 ชั่วโมงเท่านั้น ตลอดเส้นทางจะมีอากาศแปร ปรวนเป็นระยะๆ จึงขอให้ท่านผู้โดยสารรัดเข็มขัดที่นั่งตลอดเวลา เครื่องบินนี้มีระบบนำวิถี และควบคุมการบินโดยอัตโนมัติ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้นักบินซึ่งมักง่วงนอนเพราะเที่ยว ดึกเป็นประจำ ระบบนำวิถีและควบคุมอัตโนมัตินี้ได้รับการพัฒนาจากกองทัพอากาศสหรัฐ อเมริกาที่มีลิขสิทธิ์เฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีระบบสำรองฉุกเฉินในการควบคุมเครื่องบินโดย จะไม่มีวันเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เกิด..ความ...ผิด...พลาด....ขึ้น....ได้ เกิด......ความ........ผิด.........พลาด....... " (เงียบ)

 


เรื่องที่ 66
ความหวังของนักวิ่ง

 บุญสม สมุห์บัญชีธนาคารสุโขทัยราชธานี นอกจากจะไม่ค่อยชอบออกกำลังกายแล้วกลับเป็นคนที่ชอบ ดื่ม กิน เที่ยว เมื่อมีปัญหาเรื่องสุขภาพและน้ำหนักเกิน บุญสมเลยไปสมัครเป็นสมาชิกสถานออกกำลังกาย เวอร์จิเนียสลิม โดยยอมจ้าง8i^ฝึกส่วนตัวเพื่อจะได้เห็นผลรวดเร็ว

เช้าวันแรก เสียงกริ่งประตูดังขึ้นเวลา 06.00 น.ตามที่นัดหมาย บุญสมอยู่ในชุดวิ่งออกมาเปิดประตู เขาต้องตกตลึงเพราะครูฝึกส่วนตัวของเขาเป็นสาวสวย ตัดผมสั้น ดวงตาโตมีประกาย รูปร่างสูงโปร่ง เอวคอดสะโพกกลมกลึงและมีท่อนขาที่เรียวงาม เธอนุ่งกางเกงขาสั้นรัดรูป

ครูฝึก : สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นครูฝึกส่วนตัวของคุณ ตามตารางแล้วอาทิตย์แรกเราต้องวิ่งวันละ 45 นาฑี แต่เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ ดิฉันอยากเสนอว่าถ้าคุณวิ่งไล่จับดิฉันทัน ดิฉันจะยอมเป็นของคุณ

บุญสมยินดีรับข้อเสนอนี้ด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามวิ่งไล่ครูฝึกอย่างไม่ลดละ แม้ว่าเขาจะเหนื่อยแทบ ขาดใจก็ตาม ด้วยความหวังว่าเขาคงต้องได้ครูฝึกคนนี้แน่นอน เช้าวันรุ่งขึ้นครูฝึกมากดกริ่งเวลา 06.00 น. แม้ว่าบุญสมจะปวดเมื่อยจนแทบจะเดินกะโผลกกะเผลก แต่เขาก็แข็งใจออกไปวิ่งติดต่อกันทุกวัน

สัปดาห์หนึ่งผ่านไป ตามตารางต้องเพิ่มเวลาวิ่งเป็นวันละ 1 ชั่วโมง เช่นเคย แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยเพียงใด บุญสมก็พยายามวิ่งไล่จับครูฝึก โดยบุญสมสังเกตุว่าตนเองวิ่งเร็วขึ้นมากจนกระทั่งวันหนึ่ง ก่อนจะจบการวิ่ง บุญสมวิ่งไล่จี้ครูฝึกไปติดๆขนาดเกือบจะเอื้อมมือไปแตะตัวครูฝึกได้อยู่แล้ว แต่บุญสมก็คิดว่าเอาไว้วันพรุ่งนี้ดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเป็นวันเผด็จศึกเพราะเป็นวันเสาร์ไม่ต้องไปทำงานและมีเวลามาก คืนนั้นบุญสมเข้านอนแต่หัวค่ำ ตลอดทั้งคืนเขาคิดถึงแต่ครูฝึกสาว จินตนาการถึงรูปร่างที่สวยงาม และโอกาสที่ดีของเขา

เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงกริ่งดังขึ้นเวลา 06.00 น. เหมือนทุกวัน บุญสมอยู่ในชุดวิ่งที่เขาซื้อมาใหม่ตั้งแต่เย็นวาน เดินไปเปิดประตูด้วยใจระทึก คิดในใจว่าครูฝึกคงอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นรัดรูปเช่นเคย แต่พอเขาเปิดประตู ปรากฏว่าเขาเห็นผู้หญิงรูปร่างท้วมและสูงใหญ่ วัยกลางคนหนักราว 95 กิโลกรัม เธอนอกจากจะมีกล้ามเป็นมัดๆแล้วที่ใบหน้าของเธอยังมีหนวดและเคราอีกต่างหาก

ผู้หญิง : สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นครูฝึกส่วนตัวคนใหม่ของคุณ คุณพร้อมวิ่งแล้วใช่ไหมคะ? ดิฉันอยากเสนอว่า ถ้าดิฉันวิ่งไล่จับคุณทันละก็ คุณต้องเป็นของดิฉันนะคะ

 


เรื่องที่ 67
ไดอารี่ที่โรงยิมฯ

บุญมา ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักการออกกำลังกาย เมื่อพบว่ามีปัญหาสุขภาพและน้ำหนักเกินจึงไปสมัครออกกำลังกาย ที่ยูโทเปียเฮลธ์แคร์ เขาเลือกโปรแกรมเร่งรัด 7 วันๆละสองชั่วโมงโดยมีครูฝึกส่วนตัว ครูฝึกของบุญมาคือสายแก้วสาวอายุ 20 สายแก้วเป็นคนที่สวยมาก ตัดผมสั้นนัยตาโต ใบหน้ารูปไข่ฟันสวยเป็นระเบียบ ผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง เอวคอดสะโพกกลมกลึง แขนขาเรียวงามสมส่วน บุญมารู้สึกชอบสายแก้วขึ้นมาทันที

วันที่1 บุญมาตื่นแต่เช้ามืด มันลำบากมากที่จะลุกจากเตียง แต่ว่าสายแก้วนัดไว้ 06.00 น.จะสายไม่ได้ เมื่อไปถึงเห็นสายแก้วรออยู่ แล้ว เธอยิ้มเห็นฟันขาวเป็นประกายเข้ามาบอกให้บุญมาขึ้นบนเครื่องวิ่งสายพาน สิบนาฑีให้หลังเธอจับชีพจรบุญมารู้สึกว่าจะ เต้นเร็วเกินกว่าคนปกติมาก จะไม่เร็วได้อย่างไร ก็สายแก้วเธอใส่เสื้อผ้ารัดรูปทำให้หัวใจของบุญมาเต้นมากกว่าปกติอย่างน้อยยี่สิบ ครั้ง หลังจากวิ่ง 40นาฑี สายแก้วให้ซิทอัพ 100 ครั้ง ยกดัมเบล บาร์เบล และเครื่องเล่นอื่น อยู่ใกล้กับสายแก้วอะไรๆก็ทำได้ทั้งนั้น

วันที่2 ตื่นแต่เช้า ตอนลุกจากเตียงมันช่างทรมาณเหลือเกิน กล้ามเนื้อทุกส่วนมันยอกไปหมด อ้อยอิ่งได้เพียงพักเดียวคิดถึงสายแก้ว เลยต้องกระวีกระวาดไปโรงยิมตามเวลา สายแก้วรออยู่แล้วเธอสดใสและร่าเริง วันนี้เธอให้วิ่งสายพานด้วยความเร็วสูงขึ้น 40 นาฑี เช่นเคย ซิทอัพ 150 ครั้ง เธอให้ยกบาร์เบลโดยเพิ่มน้ำหนักมากเหลือเกิน ขาบุญมาถึงกับแกว่งเลยทีเดียว แต่เพื่อสายแก้วแล้ว ทำได้

วันที่3 ตื่นขึ้นมาเนื้อตัวปวดเมื่อยอย่างสาหัส โดยเฉพาะแขนแทบยกไม่ได้ เวลาแปลงฟันอยากเอาแปลงสีฟันเหน็บไว้ข้างฝา แล้วใช้ปากเคลื่อนไหวไปมาแทน เวลาขับรถก็อยากให้มีระบบควบคุมด้วยเรดาร์ จะได้ไม่ต้องหมุนพวงมาลัย สายแก้วให้วิ่งสายพานแต่บุญมาขอเปลี่ยนเป็นสเตปเปอร์แทน วันนี้สายแก้วชอบต่อว่าที่บุญมาร้องโอยๆด้วยความเจ็บปวด เขาบอกว่ารบกวนสมาธิคนอื่น เธอมักจะบอกบุญมาว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะทำให้อายุยืนยาว เขาต้องอดทน

วันที่4 ไม่อยากลุกออกจากเตียงจริงๆ ถึงแม้สายแก้วจะรออยู่ เธออาจจะโกรธที่บุญมาไปสาย แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ อวัยวะทุกส่วน แทบจะหลุดแยกออกเป็นชิ้นๆอยู่แล้ว กว่าบุญมาจะตุหรัดตุเหร่มาถึงโรงยิมได้ก็สายไปแล้วครึ่งชั่วโมง สายแก้วให้วิ่งสายพาน ซิทอัพก็พอทนได้แม้มันจะปวดอย่างบรรยายไม่ถูกก็ตาม แต่พอจะให้ยกบาร์เบลอีก บุญมาไม่ยอมยกเสียแล้ว เขาต้องหนีไปซ่อนตัวที่ห้องล็อกเกอร์รูม สายแก้วให้ครูฝึกชายไปดึงตัวบุญมาออกมา แล้วให้บุญมาวิดพื้น 100 ทีแทน

วันที่5 บุญมาเริ่มรู้สึกเกลียดสายแก้วขึ้นมาแล้ว วันนี้บุญมานอกจากจะมาสายมากแล้วยังไม่ยอมวิ่งสายพานอีกเพราะมันปวดขา จนก้าวขาไม่ออก เขาไม่ยอมเล่นสเตปเปอร์ และไม่ยอมยกบาร์เบลเป็นอันขาด เพราะขืนยกมันก็จะต้องหลุดมือลงมาเป็นแน่ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อผู้ยกมันเองแล้วยังอาจพลาดไปถูกคนอื่นได้ สายแก้วพยายามตามใจจึงให้เพิ่มการซิทอัพ สลับกับ การวิดพื้นแทนตลอดเวลาที่เหลืออยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง

วันที่6 บุญมาไม่ออกจากบ้านแล้ว สายแก้วโทรศัพท์มาตามก็ไม่รับสาย ฝากข้อความก็ไม่โทรกลับ ไม่อยากเห็นหน้าสายแก้วอีกต่อไป ลาก่อนสายแก้ว ชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก ขาติหน้าก็อย่าได้เจอ เขานั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านทั้งวันเพราะขยับไปไหนก็ไม่ได้

วันที่7 จบเสียที โปรแกรมการออกกำลังกาย มันเหมือนการยกภูเขาออกจากอก จะมีครูฝึกที่สวยกว่าสายแก้วร้อยเท่าก็ไม่สน จริงๆ

 


เรื่องที่ 68
กรรมของขี้ยา

 บุญชิด เป็นเจ้าของร้านขายพรมปูพื้นอยู่สำเพ็ง นอกจากที่ร้านจะมีพรมหลากหลายทั้งลวดลาย และสีสรรแล้ว ยังมีราคาที่ยุติธรรมอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น บุญชิดเองก็เป็นช่างปูพรมที่มีฝีมือดีมาก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบุญชิดจึงมีงานรอคิวอยู่มากมาย

วันหนึ่งคุณนายสายไขมาซื้อพรมและจ้างให้บุญชิดไปปูให้ด้วย บุญชิดเห็นคุณนายสายไขเป็น ลูกค้ารายใหญ่จึงแซงคิวไปปูให้ทันที ที่ห้องโถงใหญ่เนื้อที่ไม่น้อยกว่า 200 ตารางเมตร ต้อง ใช้เวลาปูอยู่หลายชั่วโมง บุญชิดเป็นคนติดบุหรี่ ระหว่างที่ปูพรมไปบุญชิดต้องหลบออกมาสูบ บุหรี่ทุกๆ 10 นาฑี

ในที่สุดการปูพรมห้องโถงใหญ่ก็แล้วเสร็จ ก่อนที่จะทำการเก็บกวาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย บุญชิด ก็ออกมาเพื่อจะสูบบุหรี่อีก ปรากฎว่าบุหรี่ซองเก่าบุญชิดเพิ่งสูบหมดเมื่อ 10 นาฑีก่อนนี้ ส่วนบุหรี่ ซองใหม่ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้วยกันนั้นบุญชิดหาไม่เจอ บุญชิดเดินงุ่นง่านหาอยู่ข้างนอกพัก ใหญ่จึงเดินเข้ามาในห้องโถงเผื่อจะทำหล่นอยู่แถวนั้น บุญชิดมองเห็นพรมกลางห้องมีโหนกนูน ขึ้นมาก็แน่ใจว่าบุหรี่ซองนั้นคงหล่นอยู่ที่นั่นก่อนจะถูกพรมปูทับ ครั้นจะรื้อพรมออกเพื่อเอาบุหรี่ ก็ต้องเสียเวลาอีกหลายชั่วโมง งานปูพรมยังมีคิวอีกยาว แค่บุหรี่เพียงซองเดียว บุญชิดตัดสินใจ ทิ้งบุหรี่ซองนั้น แต่เพื่อไม่ให้เห็นโหนกนูนที่พรมเหนือซองบุหรี่ บุญชิดจึงใช้ฆ้อนทุบโหนกนูน ให้แบนราบลง

ระหว่างที่บุญชิดเดินงุ่นง่านหาบุหรี่อยู่ข้างนอกห้องโถง ไม่ได้พ้นสายตาของคุณนายสายไข คุณนายสายไขรู้ว่าบุญชิดกำลังหาอะไรอยู่จึงเดินเข้ามาในห้องโถงซึ่งบุญชิดทุบโหนกนูนที่พรม เสร็จพอดี คุณนายส่งซองบุหรี่ให้บุญชิด

สายไข : ฉันเก็บบุหรี่ซองนี้ได้ตรงทางเดินจากห้องอาหาร เข้าใจว่าเป็นของคุณที่กำลังหาอยู่ ใช่ไหม? ส่วนฉันก็กำลังหาหนูแฮมส์เตอร์ของฉัน มันหนีออกมาจากกรงเมื่อกว่าชั่วโมงมาแล้ว คุณเห็นมันหรือเปล่า?

บุญชิด : เอ้อ....มัน....มัน.... ไม่เห็นครับ

 


เรื่องที่ 69
อาบแดด

สายบัว มีปัญหาเรื่องผิวหนัง หมอแนะนำให้สัมผัสแสงแดดอ่อนๆยามเช้าทุกๆวัน เพราะนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาของผิวหนังแล้ว มันยังมีประโยชน์ในการเพิ่มวิตามินดีให้ร่างกายอีกด้วย สายบัวไม่เคยขาดการอาบแดดในยามเช้าเลย

ตอนอยู่บ้านสายบัวจะเปลือยกายอาบแดด เนื่องจากอยู่คนเดียวและที่บ้านมีบริเวณกว้างขวางและมีรั้วรอบขอบชิด เพื่อที่ร่างกายจะได้สัมผัสแสงแดดทุกส่วน

วันหนึ่ง สายบัวเดินทางไปตากอากาศที่หัวหิน โดยเข้าพักที่โรงแรมระดับหกดาวแห่งหนึ่ง ตอนเช้าวันแรกสายบัวใส่ชุดว่ายน้ำ ขึ้นไปอาบแดดบนดาดฟ้าโรงแรม ปรากฎว่าที่ดาดฟ้านั้นเงียบสงบ ไม่มีผู้คนเดินขึ้นไปเลย ดังนั้นในเช้าวันที่สอง สายบัวจึงตัดสินใจเปลือยกายอาบแดดอย่างที่เคยทำเมื่ออยู่ที่บ้าน ด้วยคิดว่าไม่มีใครขึ้นมาบนดาดฟ้า โรงแรมประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งดาดฟ้าของโรงแรมแห่งนี้อยู่สูงที่สุดในหัวหิน ไม่มีตึกใดสูงเท่า

สักครู่ใหญ่ต่อมา สายบัวได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดมาที่ดาดฟ้า ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่เนื่องจากสายบัวนอนคว่ำหน้าอยู่พอดี สายบัวจึงรีบดึงผ้าเช็ดตัวขึ้นมาปิดก้นเอาไว้ ผู้ที่ขึ้นมานั้นคือผู้ช่วยผู้จัดการโรงแรมนั่นเอง

ผู้ช่วยฯ : ขอโทษครับคุณผู้หญิง โรงแรมของเราไม่ขัดข้องที่คุณผู้หญิงจะนอนอาบแดดอยู่บนชั้นดาดฟ้านี้ เพียงแต่ขอให้ คุณผู้หญิงใส่ชุดที่ใส่เมื่อเช้าวานนี้จะเหมาะสมกว่าครับ

สายบัว : ทำไมเหรอ? มันจะต่างอะไรในเมื่อที่นี่ก็ไม่มีใครเห็นฉันอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น ฉันเองก็มีผ้าเช็ดตัวคลุมอยู่นี่ยังไง

ผู้ช่วยฯ : คือว่า....อ้า....มันก็ไม่เชิงไม่มีใครเห็นหรอกครับ เผอิญที่ที่คุณผู้หญิงนอนคว่ำหน้าอาบแดดอยู่นั้น มันเป็นหลังคากระจก ซึ่งใต้หลังคานั้นมันเป็นห้องอาหารของโรงแรมน่ะซิครับ

 


เรื่องที่ 70
คนหัวไว

 บุญอยู่ เป็นเด็กขายผักอยู่ที่ตลาดสามย่าน วันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมาขอซื้อผัก ผู้ชาย : ขอซื้อกะหล่ำปลีครึ่งหัว

บุญอยู่ : ขอโทษครับ เราขายทั้งหัวไม่แบ่งครึ่งขายครับ ผู้ชาย : ผมอยู่ตัวคนเดียว ซื้อไปทั้งหัวผมกินไม่หมดก็เน่าเสียเปล่าๆ ขอซื้อครึ่งหัวแหละ บุญอยู่ : งั้นผมต้องถามเถ้าแก่ก่อน

บุญอยู่เดินไปหาเถ้าแก่ที่กำลังจัดผักอยู่อีกด้านหนึ่ง

บุญอยู่ : เถ้าแก่ครับ มีไอ้หนุ่มงี่เง่าคนหนึ่งมาขอซื้อกะหล่ำปลีครึ่งหัว ขณะกำลังจะพูดต่อ บุญอยู่เหลือบเห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังเขาพอดี

บุญอยู่ : เผอิญคุณผู้ชายคนนี้ แกก็จะขอซื้อกะหล่ำปลีเพียงครึ่งหัวเช่นเดียวกัน

เมื่อขายกะหล่ำปลีครึ่งหัวให้ชายคนนั้นแล้ว เถ้าแก่ซึ่งเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นรู้สึกชื่น ชอบบุญอยู่มากที่เป็นคนหัวไวสามารถเอาตัวรอดได้

เถ้าแก่ : เกือบไปแล้วไหมล่ะ พูดจาไม่ระมัดระวัง นี่ดีนะที่มีไหวพริบกลับตัวได้ทัน คุณ เป็นคนที่ไหน?

บุญอยู่ : ผมหรือครับ?ผมเป็นคนสุรินทร์

เถ้าแก่ : จริงหรือนี่ แล้วทำไมจากสุรินทร์มาเสียล่ะ

บุญอยู่ : ที่สุรินทร์มีแต่คนกินสุรา ไม่ว่าจะแก่เฒ่าสาวหนุ่มกินกันไม่มีเว้น ส่วนผมไม่ชอบกิน

เถ้าแก่ : อ้าว ! ภรรยาผมก็เป็นคนสุรินทร์และกินสุราด้วยเช่นเดียวกัน

บุญอยู่ : อ๋อ คนสุรินทร์ที่กินสุรามันเป็นเรื่องปกติมากเลยครับ คนไม่กินสุราอย่างผมนี่สิ

เขาเรียกว่าหมาสุรินทร์ครับ

 


เรื่องที่ 71
แล้วไงต่อ?

บุญเอก อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งใกล้หัวหิน สายๆบุญเอกก็จะออกไปจับปลาด้วยเรือลำเล็กๆของเขาเป็นประจำทุกวัน เช้าวันหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาเที่ยวแถวชายทะเลนั้น เขาเห็นปลากุเลาขนาดตัวละหนึ่งกิโลอยู่ในเรือของบุญเอก 8-9 ตัว

ชายหนุ่ม : ปลาเหล่านี้ใช้เวลาจับนานเท่าไร? บุญเอก : ไม่นาน ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ชายหนุ่ม : ชั่วโมงหนึ่ง? แสดงว่าแถวนี้ปลาชุมมากละซี แล้วทำไมไม่ใช้เวลาจับปลานานกว่านี้ บุญเอก : นานกว่านี้? จับทำไม? แค่นี้ก็พอเลี้ยงครอบครัวอยู่แล้ว ชายหนุ่ม : อ้าว ! แล้วคุณใช้เวลาวันๆทำอะไรล่ะ?

บุญเอก : ผมก็นอนตื่นสายๆ ออกไปจับปลาประเดี๋ยวหนึ่ง กลับมาเล่นกับพวกลูกๆ หลังอาหารแล้ว บ่ายๆนอนพักผ่อนเล่นกับภรรยาตอนเย็นๆก็ออกไปกินเบียร์ในตลาดและเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ

ชายหนุ่ม : ผมเป็นนักธุรกิจจบทางด้านการตลาด ผมสามารถช่วยคุณได้นะ เริ่มต้นคุณก็ใช้เวลา จับปลาให้นานขึ้นทุกวัน ไม่ช้าคุณก็จะมีเงินซื้อเรือลำใหญ่แล้วคุณก็จะจับปลาได้มากขึ้นอีก ต่อจาก นั้นคุณก็จะมีเรือสองลำ ภรรยาคุณก็จะช่วยจับปลาด้วย ไม่นานคุณจะมีเงินซื้อเรือหลายๆลำ แล้ว ทีนี้ก็จ้างลูกจ้างมาช่วยจับปลา ได้ปลามามากมาย คุณก็ไม่ต้องไปขายผ่านคนกลาง เพราะคุณสามารถ ขายตรงเข้าโรงงานได้เลย ต่อไปคุณก็สามารถตั้งโรงงานปลากระป๋องของคุณเอง วางตลาดและ กระจายสินค้าเอง คุณจะขยับขยายไปอยู่ที่หัวหิน หรือไม่ก็ประจวบคีรีขันธ์ หรือไปอยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากธุรกิจของคุณขยายตัวมาก

บุญเอก : แต่ว่า....แล้วมันจะใช้เวลานานสักเท่าไรล่ะครับ? ชายหนุ่ม : ก็ประมาณสัก 15 ปี บุญเอก : 15 ปี? แล้วไงต่อ? ชายหนุ่ม : แล้วคุณก็จะนำหุ้นคุณเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขายหุ้นไอพีโอ(หุ้นขายประ ชาชนเป็นครั้งแรก) นำเงินไปขยายกิจการ ไปจดทะเบียนที่เคย์แมนไอร์แลนด์ แล้วจะมีคนสนใจมา ซื้อหุ้นคุณมากมาย คุณไม่ต้องสนใจหรอกในที่สุดพวกมาเลเซียก็จะมาขอซื้อหุ้นทั้งหมดในราคาสูงๆ คุณขายมันทิ้งแล้วคุณจะมีเงินหลายพันล้านบาท

บุญเอก : เงินหลายพันล้านบาท? แล้วไงต่อ?

ชายหนุ่ม : แล้วคุณก็เกษียณตัวเอง ย้ายไปใช้ชีวิตสบายๆอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงที่ชายทะเลไหนสัก แห่ง คุณจะได้นอนตื่นสายๆ ออกไปจับปลาประเดี๋ยวหนึ่ง กลับมาเล่นกับพวกลูกๆ หลังอาหารแล้ว บ่ายๆนอนพักผ่อนเล่นกับภรรยา ตอนเย็นๆก็ออกไปกินเบียร์ในตลาดและเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ยังงัยล่ะ

 


เรื่องที่ 72
ของขวัญให้แฟน

 บุญแต้ม รู้ว่าแฟนที่ตนกำลังจีบอยู่นั้นจะไปเที่ยวยุโรป จึงได้ชวนน้องสาวของตนไปช่วยซื้อ ของขวัญหลังจากปรึกษากันแล้วเห็นว่าที่ยุโรปอากาศยังหนาวอยู่จึงควรซื้อถุงมือหนังสีขาว คู่หนึ่งให้แฟน ขณะเดียวกันน้องสาวของตนก็ขอซื้อถุงน่องคู่หนึ่งเป็นของขวัญวันเกิดเพื่อน

พนักงานขายจัดแจงห่อของขวัญสองห่อแต่เผอิญสลับกัน ของน้องสาวกลับเป็นถุงมือหนัง ส่วนของแฟนกลายเป็นถุงน่อง บุญแต้มไม่ได้ตรวจสอบก่อนจึงเขียนโน้ตพร้อมกล่องถุงน่อง ให้แฟนดังนี้

ผมรู้ว่าคุณอาจไม่ค่อยคุ้นเคยที่จะใส่มัน ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวคุณละก็ผมคงซื้อคู่ที่ยาวกว่า นี้และมีกระดุมให้คุณเป็นแน่ แต่น้องสาวคุณชอบใส่แบบสั้นทำให้ถอดได้ง่ายดี

คู่นี้มันเป็นสีขาวจึงค่อนข้างรักษายากนิดหน่อย แต่พนักงานขายเขาให้ผมจับดูคู่ที่เขาใส่อยู่ มันเป็นสีขาวเหมือนกัน เขาบอกว่าเขาใส่มันมาแล้วสามอาทิตย์ยังไม่ค่อยเปื้อนเลย ผมให้เขา ทดลองใส่คู่ของคุณดู อยากจะบอกว่ามันสวยมาก ความจริงแล้วผมอยากไปใส่ให้คุณด้วยตัว ผมเองด้วยซ้ำไป ผมคงจะต้องตื่นเต้นมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะใส่มันด้วยตัวเอง ผมก็หวังว่าคุณคงไม่ยอมให้มือใครได้สัมผัสมัน ก่อนที่เราจะได้พบกันเร็วๆนี้นะครับ

ตอนคุณถอดเก็บ อย่าลืมเป่าให้แห้งด้วย เพราะมันมักจะมีความชื้นตามธรรมชาติซึ่งคุณก็รู้ดี ไม่เช่นนั้นมันอาจทำให้เกิดเชื้อราและมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้

ผมอยากให้คุณใส่มันในการพบกันของเราคราวหน้า ผมจะได้ยกมันขึ้นจุมพิศดังที่ผมเคยใฝ่ฝันเอาไว้

ป.ล. แฟชั่นล่าสุดเขานิยมพับมันลงมาหน่อยหนึ่งเพื่อที่จะได้โชว์ขนด้วย

 


เรื่องที่ 73
สิ่งที่ต้องสำแดง

 ป้าสายหยุด อยู่ตัวคนเดียวเพราะบรรดาลูกๆหลานๆต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด แกจึงเลี้ยงสุนัขและแมวเอาไว้เป็นเพื่อน

วันหนึ่งป้าสายหยุดไปซื้อของที่ห้างแพ็กโกร ตอนจ่ายเงินแคชเชียร์เห็นอาหารแมวห้ากระป๋อง จึงบอกกับป้าสายหยุดว่า นโยบายของห้างแพ็กโกรนั้น ลูกค้าต้องสำแดงให้เห็นประจักษ์ว่ามีแมวใน ครอบครองจึงจะอนุญาตให้ซื้ออาหารแมวได้ เนื่องจากทุกวันนี้คนแก่จำนวนมากมักซื้ออาหารแมว ไปรับประทานซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพ ป้าสายหยุดจึงจำเป็นต้องกลับบ้านไปอุ้มแมวมาแสดง แคชเชียร์จึงยอมขายให้

วันรุ่งขึ้น ป้าสายหยุดมาที่ร้านแพ็กโกรอีกเพื่อซื้ออาหารสุนัขแปดกระป๋อง ซึ่งก็เช่นเดียวกับวันก่อน แคชเชียร์บอกให้ป้าสายหยุดสำแดงให้เห็นประจักษ์ว่ามีสุนัขในครอบครองก่อน จึงจะขายอาหารสุนัขให้ ป้าสายหยุดจึงจำเป็นต้องกลับไปบ้านเพื่อนำสุนัขมาให้แคชเชียร์ดูอีก แล้วแคชเชียร์ก็ขายให้

สองวันต่อมาป้าสายหยุดมาที่ห้างแพ็กโกรพร้อมกับนำกล่องเล็กๆใบหนึ่งมาด้วย กล่องใบนี้เจาะรูเล็กๆ ที่ฝาด้านบน เมื่อพบกับแคชเชียร์คนเดิม ป้าสายหยุดบอกให้แคชเชียร์เอานิ้วแหย่เข้าไปในรูบนฝากล่อง

ตอนแรกแคชเชียร์ไม่กล้าเพราะกลัวว่าในกล่องจะมีงูเงี้ยว ตะขาบ แมงป่อง หรือสัตว์อันตรายอื่นๆ เมื่อป้าสายหยุดรับรองแข็งขันว่าในกล่องนั้นไม่มีสัตว์ที่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน แคชเชียร์จึงเอานิ้วของตนแหย่เข้าไปในรูบนฝากล่อง เมื่อชักนิ้วออกมา

แคชเชียร์ : นี่มันอึนี่

ป้าสายหยุด : ใช่แล้ว เพราะวันนี้ฉันต้องการมาซื้อกระดาษเช็ดก้นสามม้วน

 


เรื่องที่ 74
มาจากไหน?

 บุญฉลอง ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ บุญฉลองไปล่า นกเป็ดน้ำ เมื่อล่าได้สามตัวเป็นที่พอใจแล้ว บุญเฉลิมนำมันใส่ถุงและกำลังจะกลับบ้าน

เจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ที่เข้มงวดมากคนหนึ่งเดินเข้ามาหาบุญฉลองเพื่อขอค้นดูว่าในถุงนั้นมีอะไร เขาจับเป็ดขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วเอานิ้วของเขาแหย่เข้าไปในก้นเป็ด ดึงนิ้วออกมาดมๆดู เจ้าหน้าที่ฯ : นี่เป็นเป็ดจากรัฐวอชิงตัน คุณมีใบอนุญาตล่าสัตว์ของรัฐวอชิงตันหรือไม่?

บุญฉลองควักใบอนุญาตจากกระเป๋าส่งให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดู เขาพอใจ แล้วเขาก็จับเป็ดตัวที่สองออกจากถุง เอานิ้วแหย่เข้าไปในก้นเป็ด ดึงออกมาและดมๆดู เจ้าหน้าที่ฯ : นี่เป็นเป็ดจากรัฐไอดาโฮ คุณมีใบอนุญาตล่าสัตว์ของรัฐไอดาโฮหรือไม่?

บุญฉลองควักใบอนุญาตของรัฐไอดาโฮส่งให้เจ้าหน้าที่ เขาจับเป็ดตัวที่สามออกจากถุง ใช้นิ้วแหย่ก้นเป็ด ดึงนิ้วขึ้นมาดมเช่นเดียวกับตัวก่อนก่อน เจ้าหน้าที่ฯ : นี่เป็นเป็ดจากรัฐโอเรกอน คุณมีใบอนุญาตล่าสัตว์ของรัฐโอเรกอนไหม?

บุญฉลองส่งใบอนุญาตของรัฐโอเรกอนให้เจ้าหน้าที่อีก เจ้าหน้าที่ทึ่งมากที่บุญฉลองมีใบอนุญาต ตามที่เขาเรียกหาทุกแห่ง เจ้าหน้าที่ : คุณมีใบอนุญาตจากทุกแห่งเลย ผมอยากรู้ว่าคุณมาจากไหน?

บุญฉลองถอดกางเกงของเขาออก หันกันไปทางเจ้าหน้าที่

บุญฉลอง : คุณเชี่ยวชาญเรื่องกลิ่นมาก ทีนี้ลองผมดูหน่อยแล้วคุณช่วยบอกผมว่า ผมมาจากไหน?

 


เรื่องที่ 75
ทำสาว

ก่อนจะถึงวันเกิด สายปองไปคลีนิคศัลยกรรมเพื่อผ่าตัดดึงหน้า และเสริมหน้าอกเฉกเช่นสาวไฮโซนิยมกัน แม้จะจ่ายเงินไปถึง 60,000 บาท แต่สายปองก็ภูมิใจกับผลของมันเป็นอย่างยิ่ง

วันหนึ่ง สายปองไปร้านเสื้อผ้า ระหว่างที่ลองเสื้อผ้าอยู่ คนขายก็เอาแต่ชมสายปองไม่ขาดปาก หลังจากเลือกซื้อชุดที่ถูกใจได้แล้ว ก่อนจะกลับสายปองอยากทดลองดูว่าคนขายเสื้อผ้าจะมองเธออย่างไร สายปอง : นี่คุณ อย่าหาว่าอย่างโง้นอย่างงี้นะ ฉันอยากให้เธอทายดูซิว่าฉันอายุเท่าไร?

คนขาย : ฉันทายว่า 32 ปี สายปอง : ไม่ใช่ ฉันอายุ 47 ปี

แล้วสายปองก็เดินจากไปด้วยใจเบิกบาน คิดในใจว่าการผ่าตัดดึงหน้านั้นมันแสนจะคุ้ม เราดูอ่อนกว่าวัยตั้ง 15 ปีทีเดียว ระหว่างทางกลับบ้านสายปองแวะซื้อแฮมเบอร์เกอร์กินเพราะหิวมาก ถึงคิวจะยาวแต่เพียงประเดี๋ยว เดียวก็ถึงคิวสายปอง ขณะที่รอแฮมเบอร์เกอร์ สายปองก็อดที่จะถามแคชเชียร์ไม่ได้ว่าตนอายุเท่าไหร่

แคชเชียร์ : ฉันคิดว่า 29 ปีนะ สายปอง : ผิด ไม่ใช่ ฉันอายุ 47 ปีต่างหาก

สายปองมีความสุขเหลือเกิน ใครๆก็ดูว่าเธออายุอ่อนกว่าวัยมาก เด็กคนนี้ดูเธออ่อนไปถึงเกือบยี่สิบปี ระหว่างที่รอรถไฟใต้ดินอยู่นั้นสายปองเห็นผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งกำลังรอรถไฟใต้ดินอยู่เช่นเดียวกัน เธอจึงลองให้ชายคนนั้นทายอายุของเธอ

ผู้ชาย : ผมอายุ 70 ปีแล้ว สายตามันฝ้าฟางเห็นอะไรก็ไม่ค่อยชัด สมัยผมเป็นหนุ่มผมจับหน้าอกผู้หญิง คนไหน ผมจะทายอายุถูกทุกคนไม่เคยพลาด

ที่สถานีรถไฟขณะนั้นไม่มีคน สายปองคิดว่าไม่เห็นจะเป็นไร หน้าอกเราเสริมมาแล้วให้เขาจับหน้าอกนิดเดียว เขาทายอายุเราไม่ถูกอย่างแน่นอน ดังนั้นสายปองจึงให้ชายคนนั้นจับหน้าอก

ผู้ชาย : คุณอายุ 47 ปี

สายปองสะดุ้ง เอ๊ะ การผ่าตัดเสริมหน้าอกนี้ไม่ช่วยหรืออย่างไร หรือว่าเขาชำนาญจริงๆอยากรู้ สายปอง : คุณนี้ยอดจริงๆเลย ทายถูกเผงเลย ช่วยบอกหน่อยซิว่าคุณรู้ได้อย่างไร?

ผู้ชาย : ก็ผมเข้าแถวต่อจากคุณตอนที่ซื้อแฮมเบอร์เกอร์งัย

 


เรื่องที่ 76
กระสุนใคร?

บุญชิด ไปตรวจร่างกายประจำปีในวันเกิดปีที่ 75 ระหว่างที่หมอกำลังตรวจอยู่นั้น บุญชิด จะคุยโตถึงว่าเขาโชคดีมีภรรยาสาวอายุเพิ่ง 18 ปี เธอเป็นคนสวยน่ารัก ผมยาวหยักศก ผิวขาวใบหน้ารูปไข่ นัยตากลมโตเป็นประกาย รูปร่างสูงโปร่ง เอวคอด สะโพกกลมกลึง แขนขาเรียวงามได้สัดส่วนและเอาใจเก่งมาก บรรดาหนุ่มๆชอบมาจีบเธอเสมอเพราะคิดว่า เธอยังโสด แต่พอรู้ว่าเธอแต่งงานแล้วหนุ่มๆก็ต้องผิดหวังไปตามๆกัน ยิ่งกว่านั้นพวกเขา แสดงความอิจฉาคนอย่างเขาอย่างเห็นได้ชัด

เดือนที่แล้วเธอไปตรวจร่างกาย จึงทราบว่าขณะนี้เธอกำลังมีท้องอ่อนๆ อีกไม่นานคงจะให้ กำเนิดลูกน้อยแก่เขา เขาภูมิใจจริงๆ

หมอตรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด รวมทั้งการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำอสุจิด้วย แล้วมองหน้าเขา

หมอ : ผมจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาชอบล่าสัตว์มาก เขาไม่เคยพลาดฤดู ล่าสัตว์เลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาไปตั้งแคมป์ในป่าเมืองกาญจนบุรี เช้าวันหนึ่งลูกหาบบอกเขาว่า เห็นกระจงตัวหนึ่งเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวที่คั้งแคมป์ ด้วยความรีบร้อนเพื่อนผมคว้าร่มคันหนึ่ง ที่วางอยู่โดยสำคัญผิดคิดว่าเป็นปืนคู่กาย แล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอกจริงดังที่ลูกหาบบอก เขาเห็น กระจงตัวหนึ่งเดินกินหญ้าอยู่บริเวณนั้น กระจงเองเห็นเพื่อนผมก็ตกใจรีบกระโจนหนีทันที ไม่รอช้า เพื่อนผมยกร่มขึ้นเล็งไปที่กระจงแล้วบีบด้ามร่ม เปรี้ยง !!! เสียงปืนดังขึนหนึ่งนัด ทุกคนแถวนั้นรวมถึงเพื่อนผมด้วย มองเห็นกระจงตัวที่ว่าล้มลงขาดใจตายทันที

บุญชิด : มันเป็นไปไม่ได้หรอก ร่มมันจะมีกระสุนได้อย่างไร มันคงต้องเป็นกระสุนจากปืนที่ คนอื่นเป็นคนยิงแน่ๆเลย

หมอ : ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ

 


เรื่องที่ 77
เมียนางแบบ

 บุญถวาย เป็นนักธุรกิจอาวุโส ตลอด 81 ฝนที่ผ่านมาบุญถวายได้ลงทุนในธุรกิจหลายด้าน เช่นธนาคาร บริษัทรับเหมาก่อสร้าง หมู่บ้านจัดสรร นอกจากนั้น เขายังเป็นเจ้าของสัมปทาน อีกหลายอย่าง เช่น ดาวเทียม โทรศัพท์ รวมทั้งโทรทัศน์และวิทยู เขาแต่งงานกับนางแบบสาว หุ่นเซ็กซี่อายุย่าง 25 คนหนึ่ง หลังจากแต่งงานแล้ว บุญถวายได้พาภรรยาสาวไปฮันนิมูนที่ หมู่เกาะมัลดีฟซึ่งหลายคนถือว่าที่นั่นคือสวรรค์บนดิน

เมื่อกลับจากฮันนิมูนมาบุญถวายเกิดอาการของโรคหัวใจต้องถูกส่งเข้าห้องไอซียูด่วน นางแบบ สาวมานั่งเฝ้าบุญถวายอย่างใกล้ชิดทุกวัน เมื่อบุญถวายรู้สึกตัวจึงบอกแก่นางแบบสาวว่า

บุญถวาย : ที่รัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมได้ให้ทนายความทำ พินัยกรรมเพื่อแบ่งสมบัติให้คุณ ประกอบด้วย เงินสด 100 ล้านบาท รายได้จากบริษัทฯปีละ 5 ล้านบาทตลอดชีพ ที่ดินไร่องุ่นที่เขาใหญ่ 1,000 ไร่ บ้านพักตากอากาศริมทะเลที่ชะอำ และบ้านพักตากอากาศที่หาดจอมเทียน แมนชั่นสุดหรูที่สุขุมวิท ตลอดจนรถเบนซ์สปอร์ต และ รถพอร์ชคันที่เราเคยขับไปเที่ยวกันจำได้ไหม นอกจากนี้ยังมีต่างหูเพชร แหวนเพชร จี้เพชร พร้อมสร้อยคอทองคำขาวที่คุณเคยดูไว้จากร้านมองต์แฟร์นั่นยังงัย เห็นไหม? คุณไม่จำเป็น ต้องกังวลอะไรเลย ผมได้จัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ตามที่ได้สัญญาไว้

นางแบบ : คุณป๋าขา ตั้งแต่หนูเกิดมา ยังไม่เคยมีใครดีกับหนูถึงขนาดนี้ มีคุณป๋าคนเดียว ที่ดีกับหนูมาโดยตลอด หนูรู้ดี หนูไม่มีวันลืมคุณป๋าได้แน่นอน หนูรักคุณป๋าจนหมดหัวใจ หนูอยากให้คุณป๋าอยู่กับหนูนานๆ แต่ถ้าคุณป๋าต้องจากไป ชีวิตของหนูก็ไร้ความหมาย จะหาใครมาเทียบกับคุณป๋าเพียงเสี้ยวหนึ่งยังไม่ได้เลย ถ้ามีอะไรที่หนูจะทำให้คุณป๋าได้ ตอนนี้ขอให้คุณป๋าบอกหนูมาเลยค่ะ

บุญถวาย : อืม์ ขอบใจ สิ่งแรกที่คุณควรทำคือ เลิกเอานิ้วกดสายอ็อกซิเจนที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ ได้ไหม ? ผมหายใจไม่ออก

 


เรื่องที่ 78
ถอดเสื้อผ้าฉัน

สายสมร กับสามีจะไปงานเลี้ยงในเย็นวันหนึ่ง เขาบอกกับบุญชายพนักงานหนุ่มคนรับใช้ ในบ้านว่า พวกเขาจะต้องไปงานเลี้ยงสำคัญ โดยพวกเขาอาจต้องอยู่ในงานนาน และจะ กลับบ้านค่อนข้างดึก เพราะฉะนั้นบุญชายจะไปไหนหรือทำอะไรส่วนตัวก็ได้ตามใจ ไม่ ต้องอยู่รอพวกเขา และเมื่อเขาออกจากบ้านแล้วให้ปิดไฟฟ้าให้หมด

สายสมรอยู่ที่งานเลี้ยงประมาณชั่วโมงครึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อ สามีเอาแต่คุยเรื่องซ้ำซากที่สายสมร ได้ยินมานับร้อยครั้งจึงบอกกับสามีว่าจะขอกลับก่อนเพื่อจะได้ไปเขียนงานที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ ส่วนสามีนั้นขออยู่ในงานต่ออีกสักสามชั่วโมงเนื่องจากหุ้นส่วนคนสำคัญของเขายังอยู่ในงาน

เมื่อสายสมรกลับถึงบ้าน แม้ไฟจะปิดแต่เธอได้ยินเสียงจากเครื่องรับโทรทัศน์ เธอค่อยๆย่องเข้าไป เห็นบุญชายนั่งดูโทรทัศน์อยู่คนเดียวอย่างสบาย เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกให้บุญชายเดินเข้า มาหาอย่างช้าๆ

สายสมรกระซิบที่ข้างหูบุญชาย สายสมร : ถอดกระโปรงฉันออกซิ

สายสมร : แล้วทีนี้ ถอดเสื้อฉันออก

สายสมร : อืม์......ดี.......ทีนี้..ค่อยๆถอดชุดชั้นในฉันออกด้วย

บุญชายปฏิบัติตามคำสั่งแต่โดยดี แล้วสายสมรก็จ้องตาบุญชายซึ่งพยายามก้มหน้าและหลบสายตา ของสายสมร

สายสมร : นี่ถ้าฉันจับได้ว่าแกเอาเสื้อผ้าของฉันมาใส่อีกเพียงครั้งเดียว ฉันจะไล่แกออกทันที

 


เรื่องที่ 79
พ่อพันธุ์

 บุญชื่น เจ้าของฟาร์มวัวแถวหนองจอกมีวัวตัวเมียอยู่ในฟาร์มตั้งห้าสิบกว่าตัว เขาคิดว่าถ้า มีวัวพ่อพันธุ์สักตัวหนึ่งเขาก็จะสามารถขยายพันธุ์วัวของเขาได้มาก แต่เนื่องจากวัวพ่อพันธุ์ มีราคาถึงสองล้านบาท บุญชื่นจึงไปขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อซื้อวัวพ่อพันธุ์ตัวนั้น

วันหนึ่ง ผู้จัดการธนาคารไปเยี่ยมบุญชื่นเพื่อติดตามผลงาน บุญชื่นท่าทางเหนื่อยอ่อนหน้า บอกบุญไม่รับบอกแก่ผู้จัดการว่าวัวพ่อพันธุ์ราคาสองล้านบาทตัวนี้ วันวันเอาแต่กินหญ้า ไม่สนใจวัวตัวเมียในฟาร์มซึ่งมีอยู่กว่าห้าสิบตัวแม้แต่ตัวเดียว จะพาวัวตัวเมียมาอยู่ใกล้อย่าง ไรก็ไม่สน ผู้จัดการได้ฟังแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงหากวัวพ่อพันธุ์ไม่ทำหน้าที่ขยายพันธุ์แล้วเห็นที เงินที่ปล่อยกู้อาจจะเป็นปัญหาได้ จึงบอกกับบุญชื่นว่าเขาจะส่งสัตวแพทย์มาดูให้

หนึ่งเดือนต่อมา ผู้จัดการออกมาเยี่ยมบุญชื่นอีก บุญชื่นท่าทางมีความสุข กระฉับกระเฉง

ผู้จัดการ : สัตวแพทย์ได้มาดูวัวพ่อพันธุ์หรือเปล่า?

บุญชื่น : มาครับ มา ยอดเยี่ยมเลยครับ วัวพ่อพันธุ์มันจัดการวัวตัวเมียห้าสิบกว่าตัวในฟาร์ม ผมท้องหมดเลยครับยิ่งกว่านั้น มันแหกรั้วไปไล่ผสมพันธุ์กับวัวตัวเมียของฟาร์มที่อยู่ติดกันอีกด้วย

ผู้จัดการรู้สึกตื่นเต้นมาก ทำไมมันมหัศจรรย์อย่างนี้ อยากรู้เหลือเกินสัตวแพทย์คนนี้ทำอย่างไร

ผู้จัดการ : คุณบุญชื่นพอทราบไหมว่าสัตวแพทย์เขาทำอะไรกับวัวพ่อพันธุ์ตัวนี้?

บุญชื่น : ผมไม่เห็นเขาทำอะไรนี่ครับ นอกจากให้มันกินยา

ผู้จัดการ : ให้มันกินยาหรือ? ยาอะไร? บอกหน่อยยาอะไร? มีขายตามร้านขายยาไหม?

บุญชื่น : ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยาอะไร แต่ที่รู้แน่ๆคือรสมันแปลกๆดี มันคล้ายยาอมยินตันเลย

 


เรื่องที่ 80
บุพเพสันนิวาส

 สายสม ขับรถยนต์มาตามถนนสองเลน บังเอิญเกิดอุบัติเหตุประสานงากับรถยนต์ที่สวนมา ตรงเส้นแบ่งกลางพอดี สายสมออกมาจากรถในสภาพที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ส่วนสภาพรถยนต์เสียหายยับเยิน สักครู่เดียวคู่กรณีที่เป็นชายหนุ่มก็ออกมาจากรถที่พังยับ เยินเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ สายสมเดินไปหาชายหนุ่ม

สายสม : แปลกจริงๆ รถเราชนกันพังยับเยินแต่เราทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย สงสัยจะเป็น พรหมลิขิตให้เรามาเจอกัน

ชายหนุ่ม : จริงด้วย ผมว่าอาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสด้วยซ้ำ ผมว่าผมโชคดีนะที่มาเจอคนสวย อย่างคุณโดยไม่คาดฝัน

สายสมกับชายหนุ่มเดินไปดูความเสียหายของรถชายหนุ่ม สายสมสังเกตุเห็นในช่องเก็บของ มีขวดเหล้าขวดหนึ่งไม่ได้รับความเสียหาย จึงหยิบขวดเหล้านั้นออกมา เปิดจุกออกแล้วชูขึ้น

สายสม : นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่แสดงว่าฟ้าอยากให้เราสองคนสนิทสนมกันเป็นแน่ เพราะ รถยนต์พังยับเยินอย่างนี้ แต่เหล้าขวดนี้ไม่แตกเลย เราน่าจะมาดื่มฉลองมิตรภาพของเราสัก หน่อยดีไหม บังเอิญเราไม่มีแก้ว เรามาดื่มจากขวดกันเลยดีกว่า คุณดื่มครึ่งขวดฉันดื่มครึ่งขวด

สายสมส่งขวดเหล้าให้ชายหนุ่มซึ่งรับมาดื่มด้วยไมตรีจิต หลังจากดื่มได้ครึ่งขวดแล้วชายหนุ่มก็ ส่งขวดที่มีเหล้าเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งให้แก่สายสม เธอรับขวดคืนมา ปิดจุกขวดแล้วส่งคืนให้ชายหนุ่ม

ชายหนุ่ม : อ้าว ! ทำไมไม่ดื่มล่ะครับ

สายสม : ไม่หรอก ขอบคุณ ฉันจะนั่งรอตำรวจอยู่ที่นี่ เขากำลังมาแล้ว

 


เรื่องที่ 81
เมนูเด็ด

 บุญเอื้อ ไปท่องเที่ยวประเทศสเปญ เย็นวันหนึ่งเขาไปหาอาหารอร่อยรับประทาน มีร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นร้านมิชลิน 3 ดาวอยู่ใกล้สนามสู้วัวกระทิง และช่วงนั้นก็เป็นฤดูสู้วัวประจำปีพอดี เมื่อบุญเอื้อไปถึง พนักงานเสิร์ฟเข้ามาแนะนำ เมนูอาหารพิเศษประจำวันของร้านนั้นซึ่งบุญเอื้อเองก็อยากลองชิมอยู่เหมือนกัน

เมื่อพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ ในจานนั้นประกอบด้วยข้าวโพด ผักเคียง และเนื้อก้อนกลมๆสองลูก บุญเอื้อ : จานนี้เรียกอะไร? พนักงาน : เราเรียกว่าโคโจลส์ ครับ

บุญเอื้อ : โคโจลส์ ? มันคืออะไร? พนักงาน : อ๋อ มันคือลูกอัณฑะครับ ลูกอัณฑะของวัวกระทิงน่ะครับ

บุญเอื้อรู้สึกคอตีบตันขึ้นมาทันที แต่เมื่อพนักงานได้อธิบายถึงความมีชื่อเสียงของเมนูนี้เนื่องจากมันอร่อยมาก ประกอบกับ บุญเอื้อเป็นคนชอบลองเมนูแปลกๆอยู่แล้วจึงได้ชิมอาหารจานนั้น หลังจากได้ชิมแล้วบุญเอื้อรู้สึกว่ามันอร่อยมากอย่างที่บอก จริงๆ วันรุ่งขึ้น บุญเอื้อได้กลับไปที่ร้านอาหารเดิม ด้วยติดใจในรสชาติของอาหารจากร้านนั้นจึงได้สั่งเมนูพิเศษประจำวันอีก ตอนพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ ในจานประกอบด้วยข้าวโพดปริมาณสองเท่า ผักเคียงปริมาณสองเท่า เนื้อก้อนกลมๆ ขนาดเล็กสองลูก

บุญเอื้อ : จานนี้เรียกว่าอะไร? พนักงาน : มันคือโคโจลส์ ครับ

บุญเอื้อ : เฮ้ย ไม่ใช่ เมื่อวานผมมากินโคโจลส์มันไม่ใช่อย่างนี้นี่นา นี่ก้อนเนื้อมันเล็กกว่าของเมื่อวานเยอะเลย

พนักงาน : ถูกต้องครับ ที่สนามสู้วัวแห่งนี้ ส่วนมากวัวกระทิงจะแพ้แก่มาธาดอร์เราก็จะได้อัณฑะวัว แต่ว่าวันนี้วัวมันชนะน่ะครับ

 


เรื่องที่ 82
ตาฉันหรือตาใคร ?

บุญสะท้อน เป็นเซลส์แมนจอมเจ้าชู้ ถึงแม้จะแต่งงานแล้วกับสาวสวยเจ้าของกิจการร้านสะดวกซื้อแล้วก็ตาม เพียงระยะแรกที่แต่งงานใหม่ๆเขาทำท่าเหมือนจะกลับตัวเป็นคนดี แต่พอแต่งงานได้เพียงสามเดือน สันดานเดิมก็กลับมาปรากฏภรรยาก็ได้แต่อดทนอยู่เงียบๆ และหวังว่าวันหนึ่งบุญสะท้อนจะรู้สำนึก ไม่ว่าบุญสะท้อนจะไปเที่ยวดึกดื่นอย่างไร ก็ไม่เคยมีปากมีเสียง และไม่เคยปริปากด่าว่าบุญสะท้อนแม้แต่น้อย

ปลายเดือนที่แล้ว หลังจากเงินเดือนออก บุญสะท้อนหายไปตั้งแต่คืนวันศุกร์จนกระทั่งถึงคืนวันอาทิตย์ เมี่อบุญสะท้อนกลับมาถึงบ้านในสภาพที่อิดโรย เงินเดือนที่รับมาวันก่อนถูกใช้จนเกลี้ยงไม่มีเหลือ ภรรยาสุดที่จะทนต่อไปได้อีกแล้ว

ภรรยา : คุณเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบอะไรเลย แถมยังเป็นคนเห็นแก่ตัวมากที่สุด ฉันไม่น่าต้องมาแต่งงานกับคนอย่างคุณเลย ฉันไม่เคยเห็นใครแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว นี่ถ้าเป็นฉันบ้างล่ะ ถ้าคุณไม่เห็นฉันสัก สองสามวันคุณจะว่าอย่างไร?

บุญสะท้อน : ไม่เห็นคุณหรือ? ไม่มีปัญหาอะไรนี่

ภรรยาของบุญสะท้อนไม่พูดอะไรต่อไปอีก

วันจันทร์ผ่านไป บุญสะท้อนไม่เห็นภรรยาของเขา เขาตัดสินใจอยู่ที่บ้านตลอดเวลาไม่ไปไหน วันอังคารก็แล้วเขายังไม่เห็นภรรยาเขาอีก จึงนั่งๆนอนๆอยู่ที่บ้าน วันพุธก็เช่นเคย เขาไม่ยอมไปทำงาน หวังว่าเขาจะได้เห็นภรรยาของเขา จนกระทั่ง

วันพฤหัสบดี เมื่ออาการบวมที่ตาข้างหนึ่งเริ่มทุเลาลงเขาจึงสามารถมองเห็นภรรยาเขาได้ลางๆผ่านหางตาซ้ายของเขา

 


เรื่องที่ 83
พยานวัตถุ ?

สายศรี ไปพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์กับสามีที่เขื่อนโปงลาง สามีชอบตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะช่วงเช้ามืดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ส่วนสายศรีนั้นชอบอ่านหนังสือ ไม่ว่าสามีจะชวนให้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์แทนการนั่งจับเจ่าอยู่ในบ้านเพียงใด สายศรีก็ไม่ยอมไป

เช้าวันอาทิตย์หลังจากกลับจากตกปลาแล้ว สามีกลับขึ้นมานอนพักผ่อนที่บ้านพัก ทิ้งเรือที่เช่าพร้อมอุปกรณ์ตกปลาไว้ที่ริมตลิ่ง สายศรีเห็นว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่มาพักผ่อน ไหนๆก็มาแล้วน่าจะไปดูทิวทัศน์ สูดอากาศ แถมยังไปลอยเรืออ่านหนังสือ น่าจะได้บรรยากาศอีกแบบ หล่อนจึงพายเรือห่างฝั่งออกไปพอสมควร จอดเรือแล้วทิ้งสมอจากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือคนเดียวอย่างดูดดื่ม ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่เขื่อนพายเรือเข้ามาเทียบเรือของสายศรี

เจ้าหน้าที่ : คุณมาทำอะไรในเขตหวงห้ามนี่ ? รู้ไหมจับปลาในเขตหวงห้ามผิดกฏหมายร้ายแรง

สายศรี : ฉันมาอ่านหนังสือ ไม่ได้มาจับปลาคุณก็เห็นๆอยู่ไม่ใช่หรือ?

เจ้าหน้าที่ : แต่คุณมีอุปกรณ์ตกปลาอยู่ในเรือ มันเป็นพยานวัตถุชัดเจน เวลาถูกจับทุกคนก็จะหาเหตูผลแก้ตัวไปต่างต่างนานา ผมต้องปรับคุณ 1,000 บาท ตามกฏหมายแล้วล่ะ

สายศรี : ถ้าคุณปรับฉัน 1,000 บาท ฉันจะแจ้งความว่าคุณข่มขืนกระทำชำเราฉัน

เจ้าหน้าที่ : เฮ้ย ! นี่ผมไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวคุณเลยนะ จะมากล่าวหาผมลอยๆอย่างนี้ได้อย่างไร?

สายศรี : มันก็จริง แต่ว่าคุณก็มีอุปกรณ์ ซึ่งเป็นพยานวัตถุชัดแจ้งเหมือนกันนี่นา

 


เรื่องที่ 84
สามีสุดที่รัก

บ่ายวันหนึ่งที่ล็อกเกอร์รูมของสนามกอล์ฟพาร์กินฉัน นักกอล์ฟหลายคนกำลังอาบน้ำ บางคนกำลังแต่งตัว ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ มือถือที่วางอยู่บนม้านั่งดังขึ้น บุญคนึง คว้าโทรศัพท์นั้นขึ้นมารับ

บุญคนึง : ฮัลโหล

ผู้หญิง : ที่รัก ฉันเอง เธอยังอยู่ที่คลับเฮาส์ใช่ไหม?

บุญคนึง : ใช่

ผู้หญิง : ฉันมาอยู่ที่ศูนย์การค้าเพ็ญตางอน ฉันเห็นชุดราตรีชุดหนึ่งเหมาะใส่ไปงานเลี้ยงพรุ่งนี้ ฉันซื้อได้ไหม? บุญคนึง : ราคาเท่าไร

ผู้หญิง : 25,999 บาท บุญคนึง : โอเค ถ้าคุณชอบมันก็ซื้อเลย

ผู้หญิง : อ้อ อีกอย่าง สักครู่นี้เห็นนาฬิกาปาเต๊กรุ่นที่เราดูที่สิงคโปร์จำได้ไหม? ที่นี่ก็มีขายไม่แพงเลย มันราคาแค่ 279,800 บาท เท่านั้น ฉันจะซื้อมาใส่แทนเรือนเก่าที่ซื้อเมื่อปีที่แล้วได้ไหม? บุญคนึง : ได้ ได้ แต่ให้เอาสายหนังนะ จะได้ดูมีรสนิยม

ผู้หญิง : ที่รัก เรื่องสุดท้าย จำร้านเพชรของยายสายสุพรรณที่ชั้นสองได้ไหม? เขาเอาต่างหูเพชรสีชมพู เม็ดละ 5 กะรัตมาให้ดู เขาบอกว่าเป็นของเจ้าหญิงแขก จึงเก็บไว้ให้ฉันเท่านั้น ฉันเห็นว่าในบัญชีธนาคารคุณมีเงินเหลืออยู่เลยคิดอยากซื้อไว้ บุญคนึง : แล้วเขาเรียกเท่าไหร่?

ผู้หญิง : เขาบอกว่าขอ 6,000,000 บาทเท่านั้น ฉันว่ามันถูกมากนะ บุญคนึง : ต่อเขาหน่อยก็แล้วกัน อ้อ ! แล้วอย่าลืมขอใบรับรองเพชรมาด้วยนะ

ผู้หญิง : ขอบคุณมาก แค่นี้นะ แล้วเจอกัน บ๊ายบาย บุญคนึง : โอเค บ๊ายบาย

หลังจากบุญคนึงวางสายแล้ว เขาก็มองหาเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้น เมื่อไม่เห็นมีใครเขาจึงวางโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นไว้บนม้านั่ง ตามเดิม แล้วเขาก็หิ้วกระเป๋าเดินออกจากล็อกเกอร์รูมไป

 


เรื่องที่ 85
ขับช้าๆ

บุญชม เป็นเจ้าของฟาร์มที่อยู่ติดกับทางหลวงแผ่นดิน ไม่กี่ปีมานี้มีการพัฒนาถนนเพื่อรองรับจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รถยนต์ ในถนนสายนั้นมักจะวิ่งด้วยความเร็วสูง ไก่ที่บุญชมเลี้ยงไว้จะถูกรถยนต์ทับตายวันละ 5-6 ตัว สร้างความเดือดร้อนแก่บุญชมมาก

บุญชมสุดจะทนต่อไปได้ วันหนึ่งบุญชมโทรศัพท์ไปแจ้งนายช่างแขวงการทางให้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่เช่นนั้นเขาคงต้อง หมดเนื้อหมดตัวอย่างแน่นอน

นายช่างแขวงการทางเอาป้ายไปปักไว้สองข้างทางมีข้อความว่า " ขับช้าๆ เขตชุมชน "

หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง สถานะการณ์ไม่ดีขึ้น บุญชมโทรไปหานายช่างแขวงการทางอีก บอกว่าป้ายนั้นใช้ไม่ได้ คนขับรถก็ยังคงขับรถ ด้วยความเร็วสูงอยู่เช่นเดิม ไก่ของเขาก็ยังถูกรถทับตายในจำนวนเท่าที่เคยเป็น

นายช่างแขวงการทางเอาป้ายใหม่มาเปลี่ยนให้โดยมีข้อความว่า " ขับช้าๆ นักเรียนข้ามถนน "

อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา บุญชมพยายามโทรหานายช่างแขวงการทางอีก เนื่องจากป้ายที่เอาไปเปลี่ยนให้ใหม่ก็ยังไม่ได้ผล กว่าจะติดต่อนายช่างแขวงได้ก็อีกหลายวันผ่านไป นายช่างแขวงเองก็จนปัญญา บุญชมจึงขออนุญาตทำป้ายไปติดเอง นายช่างแขวงไม่อยากรับโทรศัพท์ของบุญชมบ่อยๆ จึงตัดความรำคาญโดยยอมอนุญาตให้บุญชมทำป้ายไปติดของเขาเองได้

หนึ่งเดือนก็แล้ว ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากบุญชมอีก นายช่างแขวงอดแปลกใจไม่ได้จึงเป็นฝ่ายโทรไปหาบุญชมเอง

นายช่าง : สวัสดีคุณบุญชม เป็นอย่างไรบ้าง? หมู่นี้เงียบหายไปเลยนะ ไม่ทราบว่าป้ายที่คุณทำไปติดนั้นช่วยอะไรได้บ้างไหม?

บุญชม : สวัสดีครับนายช่าง ป้ายนี้หรือครับ? อ๋อ มันใช้ได้ผลมากเลยครับ รถยนต์มาถึงบริเวณนี้จะชลอความเร็วทุกคัน ไก่ของผมไม่เคยตายอีกเลยแม้แต่ตัวเดียว เอ้อ ! ขอโทษครับผมมีธุระต้องรีบไปทำ ไว้วันหน้าคุยกันใหม่นะครับ

หลังจากบุญชมวางโทรศัพท์แล้ว นายช่างยังติดใจ สงสัยว่าบุญชมทำป้ายอะไรเผื่อจะได้นำมาใช้ในพื้นที่อี่นๆที่มีปัญหาอย่างนี้ นายช่างจึงขับรถไปที่ฟาร์มของบุญชม เขาเห็นป้ายที่บุญชมเขียนบนไม้อัดแผ่นใหญ่ด้วยสีน้ำมันมีข้อความว่า

" ขับช้าๆ กำลังถ่ายทำโฆษณาชุดว่ายน้ำ "

 


เรื่องที่ 86
บุษบาอลวน

ที่ ร้านดอกไม้สายสุวรรณ จะมีคนนิยมมาสั่งดอกไม้ไปงานต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานเปิดร้าน งานรับปริญญา งานบวช งานเลื่อนตำแหน่ง งานเกษียณอายุ งานวันเกิด งานแต่งงาน และงานอื่นๆตลอดจนงานศพ

ทุกคนที่มาสั่งดอกไม้มักจะเตรียมการ์ดอวยพรมาเอง วันหนึ่ง มีการสั่งดอกไม้มากเป็นพิเศษจนจัดแทบไม่ทัน และมีคนมารับ ดอกไม้ที่สั่งทำไว้พร้อมๆกันหกคน คนแรกนำไปงานศพ คนที่สองนำไปงานเปิดภัตตาคาร คนที่สามนำไปเยี่ยมคนไข้ คนที่สี่นำไปงานเปิดป้ายร้านเพชรทอง คนที่ห้าให้ข้าราชการผู้ใหญ่ถูกยกฟ้องคดีทุจริต คนที่หกนำไปดอนเมือง เพื่อส่งให้นักเรียนสาวที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อยังประเทศอินเดีย

ด้วยความฉุกละหุก เด็กในร้านซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่จัดแจงส่งดอกไม้ให้คนมารับพร้อมกับหยิบการ์แนบไปหนึ่งใบ ปรากฏว่า หยิบการ์ดติดดอกไม้สลับกัน คนมารับก็ไม่ได้ตรวจสอบก่อนที่จะนำไปส่ง

ดอกไม้ที่ไปงานเปิดภัตตาคาร จึงมีการ์ดที่เขียนข้อความว่า " ขอให้มันเงียบๆ และคนทั่วไปไม่ติดใจ"

ดอกไม้ที่ไปส่งข้าราชการถูกยกฟ้อง มีการ์ดที่เขียนข้อความว่า " ขอให้มันดังทั่วทิศ เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย "

ดอกไม้ที่ไปงานเปิดร้านเพชรทอง มีการ์ดที่เขียนข้อความว่า " ขอให้หายวันหายคืน "

ดอกไม้ที่ไปส่งคนไข้ในโรงพยาบาล มีการ์ดที่เขียนข้อความว่า " ขอแสดงความเสียใจที่ต้องจากไป "

ดอกไม้ที่ไปงานศพ มีการ์ดที่เขียนข้อความว่า " ดีใจจัง ขอให้ไปดี "

ดอกไม้ที่ไปส่งให้นักเรียนสาวที่จะเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย มีการ์ดที่เขียนข้อความว่า " ขอให้ได้แขกเยอะๆ "

 


เรื่องที่ 87
อยาก......อ้วกกก !!!

สายหทัย เป็นสาวสังคมที่ค่อนข้างเปรี้ยว คืนวันหนึ่งเธอเข้าไปนั่งดื่มอยู่ในบาร์คนเดียว ขณะนั้นคนในบาร์ไม่ค่อยมี เธอนั่งมองบาร์เทนเดอร์หนุ่มหน้าเข้มที่มีหนวดเคราด้วยสายตาที่เย้ายวน บาร์เทนเดอร์หนุ่มเองก็ค่อนข้างสนใจในตัวเธอ เช่นเดียวกัน เมื่อมองกันไปมาสักพักหนึ่งบาร์เทนเดอร์ก็เดินเข้าไปหาเธอ สายหทัยกระดิกนิ้วให้บาร์เทนเดอร์เข้ามาใกล้ๆอีก เธอกระซิบด้วยเสียงเบาๆที่ข้างหู

สายหทัย : คุณเป็นเจ้าของบาร์หรือเปล่า?

ขณะที่ถามไปสายหทัยก็เอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของบาร์เทนเดอร์ เธอใช้นิ้วสางผมและเคราของเขา เขาชอบมาก เขาตอบ สายหทัยด้วยเสียงกระเส่า

บาร์เทนเดอร์ : เปล่าครับ ผมไม่ใช่

สายหทัยยังคงลูบไล้ใบหน้าและหนวดเคราของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาเองก็รู้สึกดีมากเริ่มเคลิบเคลิ้มกับรสสัมผัส

สายหทัย : คุณไปตามเจ้าของมาหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา

บาร์เทนเดอร์ : ตอนนี้ยังไม่สะดวกครับ

สายหทัยใช้นิ้วลูบที่หนวดและบริเวณริมฝีปากของบาร์เทนเดอร์ เขายิ่งรู้สึกร้อนรุ่ม

สายหทัย : อย่างนั้นก็ฝากบอกเขาหน่อย.......

ขณะที่สายหทัยกำลังพูดอยู่นั้น เธอเอานิ้วของเธอสองนิ้วสอดเข้าไปในปากของบาร์เทนเดอร์ เขาตอบสนอง ด้วยการดูดนิ้วของเธออย่างมีความสุข

...............ช่วยบอกเขาด้วยว่า......ในห้องน้ำหญิงกระดาษชำระหมด และน้ำก็ไม่ไหลด้วย

 


เรื่องที่ 88
กัลบก

บุญทัน ไปตัดผมที่ร้านลมโชยเกษา ในร้านมีลูกค้าหลายคนแต่ละคนก็มีปัญหาปรึกษาช่างตัดผมของตนกันทั้งนั้น บางคนมีปัญหาเรื่องผมหงอก บางคนมีปัญหาเรื่องผมร่วง บางคนมีปัญหาเรื่องรังแค บางคนมีปัญหาเรื่องเหาเป็นต้น

สำหรับบุญทันมีปัญหาไม่เหมือนใคร เนื่องจากบุญทันเป็นคนแก้มตอบเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถโกนหนวดเครา ของเขาได้อย่างหมดจดเกลี้ยงเกราเหมือนคนทั่วๆไปได้ ตอนแรกๆบุญทันก็ไม่รู้ว่าจะไปปรึกษาใคร จนกระทั่งวันที่มา ตัดผมแล้วช่างตัดผมคุยถึงเรื่องโกนหนวดพอดี

บุญทัน : นี่ช่าง ผมมีปัญหาเรื่องโกนหนวดเคราไม่ได้เกลี้ยงเกราเพราะแก้มผมมันตอบ จะแก้ไขอย่างไร ?

ช่าง : อ๋อ ไม่ยาก ผมมีตัวช่วย

ช่างตัดผมเปิดลิ้นชักข้างๆโต๊ะตัดผม เขาควานหาของอยู่พักหนึ่งแล้วก็หยิบของที่มีลักษณะกลมๆทำจากไม้ขึ้นมา แล้วบอกให้บุญทันอมไว้ระหว่างแก้มกับเหงือกของตน แม้มันจะดูสีคล้ำๆไปหน่อยแต่บุญทันก็ทำตามที่ช่างตัดผมบอก แก้มที่ตอบนั้นก็โปนออกมา จากนั้นช่างตัดผมก็จัดแจงโกนหนวดเคราของบุญทันอย่างคล่องแคล่ว เขาโกนได้อย่างหมดจด อย่างที่บุญทันไม่เคยทำได้มาก่อน

บุญทันพอใจมาก เขาพูดกับช่างตัดผมด้วยเสียงที่อู้อี้ๆ

บุญทัน : นี่ช่าง ถ้าเกิดกำลังโกนหนวดเคราอยู่นี้ ผมบังเอิญกลืนไอ้ลูกกลมๆลงไปในท้องแล้วจะทำยังงัย?

ช่าง : อืม์ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณก็กลับบ้านไปก่อน พรุ่งนี้คุณค่อยเอามาคืนผม เพราะลูกค้าคนอื่นๆของผมเขาก็ทำอยู่บ่อยๆ

 


เรื่องที่ 89
ชื่อนั้นสำคัญไฉน

บุญเฉลย เป็นคนช่างสังเกตุ วันหนึ่ง บุญเฉลยไปเดินเล่นแถวเยาวราช เขาเห็นร้านรวงต่างๆมากมาย ถ้าเป็นร้านทองก็มีชื่อ เป็นภาษาจีน เช่น เซ่งเฮงหลี ตั้งกิมเฮง ตั้งโต๊ะกัง เป็นต้น ถ้าเป็นร้านอาหารก็มีชื่อเป็นภาษาจีน เช่น จินหม่าโหลว ห้อยเทียนเหลา เกาตงหยี จูหม่ายลี่ หรือร้านขายของอื่นๆก็ล้วนแต่มีชื่อร้านเป็นภาษาจีนแทบทั้งสิ้น

เขาเดินมาสะดุดที่ร้านซัดรีดร้านหนึ่ง ชื่อร้านเป็นป้ายเก่าๆอ่านว่า " เซมากูเตะ " เขาแปลกใจมากเพราะเคยเห็นแต่ ซินไฉฮั้ว อึ้งกิมกี่ ฉี่เฉียงเฉียง หรือไม่ก็ คี่ค่างเตียง เป็นต้น เขาไม่เคยเห็นญี่ปุ่นมาเปิดร้านซักรีดในเมืองไทยเลย

บุญเฉลยคิดในใจว่า ญี่ปุ่นจะมาเปิดร้านซักรีดในย่านคนจีนได้อย่างไร จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน แล้วเขาก็ถาม คนจีนสูงอายุคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์

บุญเฉลย : ร้านนี้มีชื่อเซมากูเตะได้อย่างไร ?

คนจีน : มันเป็นชื่อของเจ้าของร้าน

บุญเฉลย : เจ้าของร้านคือใคร ? แล้วเขาอยู่ที่ไหน ?

คนจีน : ผมเอง

บุญเฉลย : อ้าว ! คุณเป็นคนญี่ปุ่นหรือ ? ดูคุณน่าจะเป็นคนจีนนี่นา ทำไมจึงมีชื่อเป็นญี่ปุ่น ?

คนจีน : อ๋อ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือว่า ตอนที่ผมอพยพมาเมืองไทย ผมจะต้องไปแจ้งชื่อกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ขณะที่ยืนเข้าแถวเพื่อแจ้งชื่ออยู่นั้น มีชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งยืนอยู่หน้าผม เจ้าหน้าที่ถามเขาว่าเขาชื่ออะไร เขาแจ้งกับ เจ้าหน้าที่ว่า " ผมชื่อเซมากูเตะ " เจ้าหน้าที่จดชื่อเขาแล้วปล่อยเขาไปได้ พอถึงผม เจ้าหน้าที่ถามผมว่าชื่ออะไร

ผมตอบเจ้าหน้าที่ว่า " ผมชื่อ หมัวกัง " เขาจดชื่อแล้วปล่อยผมเข้าเมืองมาได้

 


เรื่องที่ 90
คุณแม่หรือคุณลูก

ที่ห้างแพ็กโกร คุณแม่เข็นรถใส่ของโดยมีลูกสาวตัวน้อยนั่งอยู่ในรถนั้นด้วย คุณแม่เข็นผ่านเข้าไปในส่วนที่ขายขนม คุกกี้ ปรากฏว่าลูกสาวร้องอยากได้ขนมคุกกี้ คุณแม่ไม่ยอมให้ซื้อ ลูกสาวก็ร้องไห้งอแงเสียงดังลั่นห้าง

คุณแม่ : สายรุ้ง อย่าอารมณ์เสีย อีกไม่นานหรอกใกล้เสร็จแล้ว

คุณแม่เข็นรถผ่านเข้าไปในส่วนของลูกอม ลูกสาวก็ร้องอยากได้ลูกอมอีก แต่คุณแม่ก็ไม่ให้ซื้อเช่นเคย ลูกสาวแหกปาก ร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม

คุณแม่ : นี่ สายรุ้ง ไม่ต้องส่งเสียงนะ ใจเย็นๆ เหลืออีกสองช่องเท่านั้นก็จะไปจ่ายเงินแล้ว

เมื่อคุณแม่เข็นรถไปที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน ลูกสาวเห็นหมากฝรั่งก็อยากได้ คุณแม่ปฏิเสธไม่ยอมให้ซื้อตามเคย ทีนี้ลูกสาวก็ ระเบิดเสียงร้องดังสนั่นห้าง

คุณแม่ : สายรุ้ง กำลังจ่ายเงินแล้ว อีกไม่เกินห้านาฑีก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวก็จะได้กลับบ้านไปนอนหลับเสียที

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น หาได้พ้นสายตาของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเดินซื้อของอยู่ในห้างด้วยเช่นเดียวกันไม่ เขาอดรนทนไม่ได้ จึงเดินเข้ามาคุยกับคุณแม่

ผู้ชาย : สงสารหนูน้อยสายรุ้งจังเลย ทำไมคุณถึงใจแข็งจัง ถ้าเป็นผมผมจะยอมให้คุณหนูสายรุ้งอย่างน้อยสักอย่าง

คุณแม่ : คุณเข้าใจผิดแล้ว สายรุ้งน่ะชื่อของฉัน ลูกสาวฉันชื่อ สายยู

 


เรื่องที่ 91
ฟางเส้นสุดท้าย ??

บุญปัน กับ สายธาร แต่งงานกันมาแล้วหลายปี ชีวิตการแต่งงานไม่เคยราบรื่นเลยเพราะมีเรื่องระหองระแหงอยู่เป็น ประจำไม่เคยขาด แต่คนทั้งสองก็ใช้ความอดทนมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง ทั้งคู่เห็นว่าจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว อย่างไรเสียคงจะต้องหย่าขาดจากกันแน่นอน ก่อนจะถึงจุดนั้นคิดว่าน่าจะมีฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นความหวัง ดังนั้น บุญปันและสายธารจึงไปปรึกษาจิตแพทย์

จิตแพทย์ : อืม์... เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนนะ ไหนคุณบุญปันบอกผมหน่อยซิว่า มันเป็นยังไงมายังไงกัน ?

บุญปันนั่งก้มหน้าก้มตา ถอนหายใจ ยังไม่ทันได้ตอบคำถามของหมอเลย สายธารกลับเป็นฝ่ายตอบหมอเสียเอง ด้วยคำพูดที่รัวเร็วจนลิ้นแทบพันกัน

สายธาร : คุณหมอ เขาเป็นคนไม่เอาไหนเลย หัวดื้อเป็นที่สุด บอกอะไรนอกจากจะไม่เชื่อแล้วยังทำในสิ่งตรงกัน ข้ามเหมือนเป็นการประชดประชัน.................................................................................................... ...............................................................................................................................................

สายธารบรรยายความชั่วร้ายของบุญปันอย่างละเอียดลออ 5 นาทีผ่านไป 10 นาทีก็แล้ว ในที่สุดหลังจากที่พูดไปถึง 15นาที จิตแพทย์เดินไปจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของสายธาร ยกให้เธอยืนขึ้นแล้วเขาก็จูบปากของสายธารอย่างดูดดื่ม อยู่พักหนึ่ง ท่ามกลางความตกตลึงของบุญปัน หลังจากจูบเสร็จ สายธารนั่งลงเงียบไม่ปริปากพูดอะไรต่ออีก

จิตแพทย์ : คุณบุญปัน ภรรยาคุณต้องการแบบนี้อย่างน้อยอาทิตย์ละสามครั้งนะ อย่าลืม

บุญปัน : จริงหรือครับหมอ ? เอ้อ ผมสะดวกที่จะพาเธอมาได้ทุก จันทร์ พุธ ศุกร์ ครับ

 


เรื่องที่ 92
วิธีหาเงิน ?

ในงานแสดงบริษัทจดทะเบียนเพื่อนักลงทุนที่ศูนย์ประชุมไตรเทค ชายหนุ่มคนหนึ่งแวะชมบูธของบริษัท บุญบังเอิญเฮ้าส์ซึ่งเป็น บริษัทที่มีธุรกิจเกียวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในประเทศ ในบูธมีการแสดงความเป็นมาและการเจิญเติบโตของบริษัท บุญบังเอิญเจ้าของบริษัทเป็นผู้บรรยายและตอบคำถามของผู้ชมด้วยตนเอง

ชายหนุ่ม : บริษัทของท่านใหญ่โตมีทรัพย์สินมากมาย ท่านเริ่มต้นธุรกิจของท่านอย่างไร?

บุญบังเอิญยกมือขึ้นจัดเสื้อนอกให้เข้าที่ กระแอมนิดหนึ่งพร้อมกับยืดอกขึ้นแล้วเริ่มอธิบาย

บุญบังเอิญ : อืม์ คือว่า...ต้องนับย้อนไปปี พ.ศ.2500 ตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่สองเลิกมาได้ไม่นานนัก ประเทศยังมีสภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำอยู่ รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักทำมาหากินด้วยการค้าขาย ร้านก๋วยเตี๋ยวผุดขึ้นมามากมายเหมือนดอกเห็ด ผมตอนนั้นถังแตกไม่มีทุนรอนจะไปค้าขายอย่างเขาเพราะมีเงินติดกระเป๋าเพียง 20 สตางค์เท่านั้น ผมตัดสินใจเอาเงิน 20 สตางค์นั้นไปซื้อมะพร้าวอ่อนมาลูกหนึ่ง ผมใช้เวลาค่อนวันปอกเปลือกให้สวยงามดูน่ากิน ผมขายมะพร้าวใบนั้นได้เงิน 40 สตางค์ วันรุ่งขึ้นผมไปซื้อมะพร้าวสองใบ นำมาปอกเปลือกแล้วขายไปได้เงิน 80 สตางค์ ผมทำอย่างเดิมอีกเรื่อยๆ จนถึงสิ้นเดือน ผมก็มีเงินตั้ง 140 บาท

ชายหนุ่ม : โอ้โห ท่านมีวิธีหาเงินที่ยอดเยี่ยมมาก ท่านคงต้องใช้ความอดทนมากเลยนะครับ แล้วท่านก็ขายมะพร้าวจนกระทั่ง รวยมาก สามารถตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือครับเนี่ย ?

บุญบ้งเอิญ : อ๋อ เปล่าหรอก ผมขายมะพร้าวอยู่ เพียง 2-3 เดือน เท่านั้นผมก็เลิก เพราะผมแต่งงาน

ชายหนุ่ม : อ้าว ! แล้วถ้าอย่างนั้นท่านได้เงินมาจากไหนเพื่อทำทุนล่ะทีนี้ ?

บุญบังเอิญ : หลังจากนั้นอีกหลายปี พ่อภรรยาผมเสีย เราได้รับมรดกจากท่านมาเป็นเงิน 10 ล้านบาท และที่ดินอีก 20 ไร่

 


เรื่องที่ 93
ปัญหาไม่เคยหมด

บุญต่อ พนักงานธนาคารแห่งหนึ่งไปพบจิตแพทย์ด้วยใบหน้าเศร้าๆ

บุญต่อ : หมอครับ ช่วยผมหน่อยครับหมอ

จิตแพทย์ : คุณมีปัญหาอะไร ?

บุญต่อ : คือว่า...ผมเพิ่งจะอายุ 35 ปี ผมไม่มีโชคเรื่องผู้หญิงเลย ไม่ว่าผมจะใช้ความพยายามมากเพียงไร ก็จีบใครไม่ได้ พอจะมีผู้หญิงมาสนใจหน่อยยังไม่ทันไรเธอก็ตีจากทุกทีไป

จิตแพทย์ : ปัญหามีแค่นี้หรือ? โธ่ ! เรื่องนี้ง่ายมากหมอเจอมาเยอะแล้ว ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณเป็นคนขาดความมั่นใจในตนเอง มันแก้ไขได้ เอาอย่างนี้นะ ตอนเช้าๆเมื่อคุณตื่นนอนแล้วเข้าห้องน้ำ ส่องกระจกแล้วพูดกับตัวเองอย่างมั่นอกมั่นใจว่า คุณเป็นคนบมีคลิกดีมากนะ คุณเป็นคนร่าเริงแจ่มใส คุณเป็นคนใจกว้างและมีมนุษยสัมพันธ์ดี คุณเป็นคนมีเสน่ห์มากนะ ให้ทำอย่างนี้ทุกวันสักหนึ่งเดือน แล้วกลับมาหาหมอใหม่ หมอรับรองว่าได้ผลแน่นอน

บุญต่อเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกที่ดีมาก คิดว่าปัญหานี้น่าจะหมดไปได้ เพราะจิตแพทย์ให้ความมั่นใจแก่เขา หนึ่งเดือนผ่านไป บุญต่อมาพบจิตแพทย์ตามที่นัดหมายไว้ แต่บุญต่อมีใบหน้าที่หมองคล้ำและซึมเศร้ายิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก

จิตแพทย์ : สวัสดีคุณบุญต่อ ดูท่าทางไม่ค่อยสบาย ได้ปฏิบัติอย่างที่หมอแนะนำหรือเปล่า?

บุญต่อ : ผมปฏิบัติทุกวันไม่เคยขาด

จิตแพทย์ : แล้วมันไม่ได้ผลเลยหรือ?

บุญต่อ : มันได้ผลดีมากครับหมอ ในเดือนที่ผ่านมาผมมีผู้หญิงสวยๆมาติดผมหลายคน ในชีวิตนี้ยังไม่เคยโชคดีอย่างนี้มาก่อน

จิตแพทย์ : อ้าว ! ถ้าอย่างนั้นคุณมีปัญหาอะไรล่ะ?

บุญต่อ : ผมไม่มีปัญหาครับ แต่เมียผมซิครับมีปัญหา

 


เรื่องที่ 94
สู้แถวบ้านผมไม่ได้

บุญเพาะ เป็นคนจังหวัดปราจีณบุรี เขาชอบคุยโว วันหนึ่งเขานั่งรถไฟมาถึงหัวลำโพงแล้วเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปทำธุระแถว สะพานตากสินระหว่างทาง รถแท็กซี่วิ่งขึ้นสะพานไทย-ญี่ปุ่น เขาเหลือบเห็นโบสถ์ของวัดหัวลำโพงอยู่ทางขวามือ สวยงามมาก

บุญเพาะ : นั่นวัดอะไร?

แท็กซี่ : วัดหัวลำโพง

บุญเพาะ : วัดหัวลำโพง? ใช้เวลาสร้างนานเท่าไร?

แท็กซี่ : ผมว่าสัก 2-3 ปีเห็นจะได้

บุญเพาะ : สู้แถวบ้านผมไม่ได้ ที่นั่นเราสร้างโบสถ์ใหญ่กว่านี้สี่เท่าแต่ใช้เวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้น

แล้วรถแท็กซี่ก็วิ่งไปข้างๆสะพานลอยไทย-เบลเยี่ยม เพื่อเตรียมตัวเลี้ยวขวาเข้าถนนสาทรใต้ บุญเพาะ ชี้ไปที่สะพานแล้วถามแท็กซี่

บุญเพาะ : นี่สะพานอะไร?

แท็กซี่ : สะพานไทย-เบลเยี่ยม

บุญเพาะ : สะพานไทย-เบลเยี่ยม? ใช้เวลาสร้างนานเท่าไร?

แท็กซี่ : ผมว่า 6 เดือนเห็นจะได้

บุญเพาะ : สู้แถวบ้านผมไม่ได้ ที่นั่นเราสร้างสะพานด้วยคอนกรีต กว้างกว่านี้สองเท่า ยาวกว่านี้สี่เท่าใช้เวลา 2 เดือนเอง

เมื่อผ่านสี่แยกนราธิวาสราชนครินทร์ บุญเพาะเห็นตึกเอ็มไพรอยู่หัวมุมถนนด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นตึกที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

บุญเพาะ : นั่นตึกอะไร?

แท็กซี่ : เอ๊ะ ! ตึกนี้หรือ? เออ...ผมไม่รู้สิ เมื่อวานผมผ่านมาแถวนี้ ยังเห็นเป็นที่ว่างๆ อยู่นี่นา

 


เรื่องที่ 95
มีของที่ต้องจำนอง

บุญเติบ เป็นชาวสวนแถวจันทบุรี เมื่อก่อนเขาและเพื่อนชาวสวนจะขายผลไม้ของพวกเขาผ่านพ่อค้าคนกลาง เขาสังเกตุว่า บรรดาพ่อค้าคนกลางต่างก็ร่ำรวยในเวลาเพียงไม่กี่ปี ส่วนพวกเขานั้นก็ยังมีฐานะยากจนอยู่เช่นเดิม บุญเติบก็คิดอยากเป็น พ่อค้าคนกลางกับเขาบ้าง แต่ติดขัดที่ไม่มีทุนรอน

วันหนึ่ง บุญเติบไปธนาคารเพื่อขอกู้เงิน 100,000 บาท

ผู้จัดการ : จะขอกู้เงินไปทำอะไร ?

บุญเติบ : ไปรับซื้อผลไม้จากชาวสวนเพื่อนำไปขายในกรุงเทพ

ผู้จัดการ : คุณมีอะไรที่จะเอามาจำนองค้ำประกันเงินกู้ได้บ้าง ?

บุญเติบ : จำนอง ? จำนองคืออะไร ?

ผู้จัดการ : จำนองคือการเอาทรัพย์สินที่มีค่ามาวางเป็นหลักประกัน กรณีที่ไม่สามารถคืนเงินกู้ได้ ธนาคารก็จะได้ยึดหลักประกันนั้น ไม่ทราบว่าคุณมีหลักประกันอะไรบ้าง ? เช่นรถยนต์

บุญเติบ : อ๋อ มีครับมี ผมมีรถอีแต๋นอยู่คันหนึ่งใช้มาสิบกว่าปีแล้ว มันใช้ดีมากเลยและก็ทนมากด้วย

ผู้จัดการ : ไม่พอหรอก คุณมีอย่างอื่นอีกไหม ?

บุญเติบ : มี มี ผมมีควายอีกสองตัว

ผู้จัดการ : มันอายุเท่าไร ?

บุญเติบ : ผมไม่รู้ครับ ผมเลี้ยงมันมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กอยู่เลย มันเชื่องมาก วันๆมันไม่เดินไปไหนมาไหน มันชอบนอนอยู่เฉยๆ

ในที่สุด บุญเติบก็กู้เงินตามที่ต้องการจนได้ สองเดือนต่อมา บุญเติบไปที่ธนาคารอีก แต่ครั้งนี้เขาหิ้วเงินเต็มถุงกระดาษใบใหญ่ เมื่อพบผู้จัดการเขาบอกมาชำระหนี้ ผู้จัดการนับเงินในถุงแล้วได้สามแสนกว่าบาท

ผู้จัดการ : เงินในนี้มีสามแสนกว่าบาท คุณเป็นหนี้ธนาคารหนึ่งแสนบาทกับดอกเบี้ยแค่ 2,500 บาทเท่านั้น แล้วเงินที่เหลือ อีกสองแสนกว่าบาทคุณจะทำอย่างไร ?

บุญเติบ : ผมจะเอากลับบ้านซิครับ

ผู้จัดการ : ทำไมคุณไม่ฝากธนาคารแบบออมทรัพย์ไว้ล่ะ ?

บุญเติบ : ฝากออมทรัพย์ ? ฝากออมทรัพย์คืออะไร ?

ผู้จัดการ : ฝากออมทรัพย์คือเอาเงินไว้ที่ธนาคาร เราดูแลให้คุณ คุณจะมาถอนออกไปเมื่อไรก็ได้ เราให้ดอกเบี้ยด้วย

บุญเติบ : แล้วธนาคารมีอะไรมาจำนองผมบ้างล่ะ ?

 


เรื่องที่ 96
คุณครูคนใหม่

สายแก้ว เพิ่งมาเป็นครูในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง นอกจากเธอจะเป็นคนขยันขันแข็งในการสอนในห้องเรียนแล้ว เธอยังเป็นคนที่ใส่ใจกับพฤติกรรมของนักเรียนทุกๆคนอีกด้วย

วันหนึ่งในช่วงพัก เธอสังเกตุเห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ริมสนามฟุตบอลด้านหนึ่งอย่างเศร้าสร้อยและเดียวดาย ในขณะที่เด็กๆคนอื่นอีกเกือบยี่สิบคนเล่นฟุตบอลกันอยู่ในสนามอีกฟากหนึ่งอย่างสนุกสนาน หลังจากที่ยืนดูเหตุการณ์ อยู่พักใหญ่ เธอจึงตัดสินใจเดินไปหาเด็กหญิงคนนั้น

สายแก้ว : สวัสดีจ๊ะหนู หนูเป็นอะไรหรือเปล่า?

เด็กหญิง : เปล่านี่คะคุณครู หนูสบายดี

สายแก้วแม้เดินจากไปดูความเรียบร้อยด้านอื่นๆ แต่ก็ไม่วายที่จะคอยสังเกตุดูเด็กหญิงคนนั้นเกือบตลอดเวลา อีกเกือบยี่สิบนาทีต่อมา สายแก้วยังเห็นเด็กหญิงคนนั้นยืนอยู่ที่เดิมคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง เธอจึงเดินเข้าไปหาเด็กหญิง คนนั้นอีกครั้งหนึ่ง

สายแก้ว : หนูอยากให้ครูเล่นกับหนูไหม?

เด็กหญิง : ก็ได้นี่คะ

สายแก้ว : อ้อ บอกครูหน่อยได้ไหมว่าทำไมหนูจึงมายืนเดียวดายอยู่ที่นี่? ทำไมไม่ลงไปเล่นกับเพื่อนๆในสนาม?

เด็กหญิงตอบด้วยอารมณ์หงุดหงิด : ก็พวกเขาให้หนูเป็นผู้รักษาประตูนี่คะ

 


เรื่องที่ 97
แม่ยายที่รัก

บุญจรัส เจ้าของฟาร์มม้าแถวเขาใหญ่ได้แต่งงานกับสาวเมืองกรุงเมื่อหกเดือนที่แล้ว สามีภรรยา ช่วยกันดูแลม้าในฟาร์มอย่างมีความสุข

วันหนึ่ง แม่ยายมาจากกรุงเทพเพื่อเยี่ยมลูกสาวและลูกเขย แต่เนื่องจากแม่ยายเป็นคนจู้จี้และเจ้ากี้เจ้าการ แค่มาอยู่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ ทั้งลูกสาวและลูกเขยก็เอือมระอา เพราะแม่ยายจะบอกให้ทำนั่นทำนี่ทั้งๆ ที่ตนไม่มีความรู้ และแม่ยายจะเข้าไปแนะนำการดูแลม้าถึงในคอกเลยทีเดียว

เป็นความโชคร้ายของแม่ยายที่มัวก้มๆ เงยๆ อยู่ในคอกม้าเลยถูกม้าเตะเข้าที่ศรีษะเสียชีวิตทันที แม้ว่าลูกสาวและลูกเขย จะรำคาญแม่ยายมาโดยตลอดแต่ก็อดเศร้าโศกเสียใจไม่ได้

ในวันที่ฝังศพแม่ยาย บุญจรัสจะยืนอยู่ใกล้ๆ หีบศพ ครูใหญ่โรงเรียนประถมซึ่งยืนอยู่ห่างๆ สังเกตุเห็นคนเข้าไปคุย กับบุญจรัส ถ้าคนที่เข้าไปคุยด้วยเป็นผู้หญิง บุญจรัสจะผงกศรีษะพร้อมกับพูดว่า " ครับ...ครับ " ทุกคนไป แต่ถ้าคนที่เข้าไปคุยด้วยเป็นผู้ชาย บุญจรัสก็จะส่ายหน้าแล้วพูดว่า " ไม่....ไม่ " เป็นอย่างนี้ตลอด

หลังจากพิธีฝังศพเรียบร้อยแล้ว ครูใหญ่ก็อดที่จะถามถึงสิ่งที่สงสัยอยู่ไม่ได้

ครูใหญ่ : คุณบุญจรัสช่วยบอกหน่อยว่า ตอนแขกผู้หญิงไปคุยด้วย คุณจะผงกหัวแล้วพูดว่า " ครับ ครับ " ทุกทีไป

บุญจรัส : อ๋อ ผู้หญิงทุกคนมาแสดงความเสียใจและชมว่าแม่ยายผมสวยมาก เรื่องเศร้าอย่างนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับแม่ยายผมเลย

ครูใหญ่ : อ้าว แล้วเวลาพวกผู้ชายมาคุยกับคุณ คุณจะส่ายหน้าแล้วตอบว่า " ไม่ ไม่ " ทุกครั้งไปเหมือนกัน

บุญจรัส : คือว่าพวกผู้ชายจะมาขอยืมม้าตัวนั้น ซึ่งผมบอกว่าให้ยืมไม่ได้ เพราะมีคิวยืมจองยาวไปถึงปีหน้าแล้ว

 


เรื่องที่ 98
ความจริงบางประการที่น่าสนใจ

15/05/2006 08:04 AM

ความจริงแห่งชีวิต ????
ชายฉลาด เจอ หญิงฉลาด ลงเอยด้วย ความฝันอันวาบหวาม
ชายฉลาด เจอ หญิงโง่ ลงเอยด้วย ความสัมพันธ์ทางเพศ
ชายโง่ เจอ หญิงฉลาด ลงเอยด้วย การแต่งงาน
ชายโง่ เจอ หญิงโง่ ลงเอยด้วย การมีท้อง

ความจริงในที่ทำงาน????
เจ้านายฉลาด เจอ ลูกน้องฉลาด ผลลัพธ์ ทำกำไร
เจ้านายฉลาด เจอ ลูกน้องโง่ ผลลัพธ์ เพิ่มผลผลิต
เจ้านายโง่ เจอ ลูกน้องฉลาด ผลลัพธ์ เลื่อนระดับ
เจ้านายโง่ เจอ ลูกน้องโง่ ผลลัพธ์ ทำงานล่วงเวลา

ความจริงในการจับจ่าย??
ผู้ชาย มักจ่าย 200 บาท สำหรับของมูลค่า 100 บาท ที่เขาจำเป็นจะต้องใช้
ผู้หญิง มักจ่าย 100 บาท สำหรับของมูลค่า 200 บาท ที่หล่อนไม่จำเป็นต้องใช้

ความจริงแห่งชีวิตอีก??????
ผู้หญิง มักจะมีความกังวลถึงอนาคตตลอดเวลาจนกระทั่งหล่อนได้สามี
ผู้ชาย มักจะไม่ค่อยกังวลถึงอนาคตเลยจนกระทั่งเขามีภรรยา

ผู้ชายที่ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น จะต้องหาเงินให้ได้มากกว่าการจับจ่ายของภรรยาของเขา

ผู้ชายที่แต่งงานแล้วมักจะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ชายโสด แต่ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจำนวนมากกว่ามากที่คิดอยากตาย

ผู้หญิงแต่งงานก็หวังว่าสามีคงจะเปลี่ยนไป แต่ข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่ เขาก็ยังเป็นแบบเดิมๆ

ผู้ชายแต่งงานก็หวังว่าภรรยาคงจะเหมือนเดิม แต่ข้อเท็จจริงเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


เรื่องที่ 99
ไก่ตัวสุดท้าย

16/05/2006 07:39 AM

บุญจริงไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารดาวจรัส อารามที่หิวจัดเขาจึงสั่งไก่ย่างหนึ่งตัว แต่เนื่องจากลูกค้าแน่นร้าน
อาหารจึงมาช้ามากทำให้เขาเริ่มหงุดหงิด เมื่อพนักงานนำไก่ย่างมาเสิร์ฟ บุญจริงได้กลิ่นหอมของไก่ย่างก็ยิ่งทำให้เกิด
ความหิวมากยิ่งขึ้น ขณะที่เขากำลังจะลงมือกินไก่ย่าง ผู้จัดการร้านก็วิ่งมาที่โต๊ะบุญจริง

ผู้จัดการ : ผมต้องขออภัยท่าน ไก่ย่างตัวนี้เป็นของคุณตำรวจที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป เขาเป็นลูกค้าประจำของเรา เขาจะต้อง
สั่งไก่ย่างทุกครั้งที่มาที่นี่ บังเอิญไก่ย่างตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายของคืนวันนี้ พนักงานของผมเสิร์ฟผิด ผมจึงจำเป็นต้อง
เอามันกลับคืนแล้วนำไปเสิร์ฟให้แก่เขาแทนเสียแล้ว สำหรับท่านเรายินดีเสิร์ฟด้วยเมนูอื่นที่ท่านจะเลือกต่อไป

บุญจริง : เสียใจ ผมไม่ยอมให้เอาคืนไปแน่นอน เมื่อผมสั่งไก่ย่าง พนักงานรับคำสั่งของผม ผมนั่งรอตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง
เมื่อนำมาเสิร์ฟผม ไก่ย่างตัวนี้ก็ต้องเป็นของผมนะซี

ผู้จัดการเดินไปที่โต๊ะตำรวจเพื่อจะแจ้งให้เขาทราบว่าบุญจริงไม่ยอมให้เอาไก่ย่างคืน ตำรวจซึ่งเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่มีกล้ามเป็นมัดๆก็เดินมาหาบุญจริง

ตำรวจ : ฟังนะเพื่อน นี่เป็นไก่ย่างของผม คุณจะกินของผมไม่ได้เป็นอันขาด ดูซิ คุณกำลังจะฉีกขามันออกมา
ผมขอเตือนคุณก่อนนะ หากคุณฉีกขาไก่เมื่อไรผมก็จะฉีกขาคุณเมื่อนั้น ถ้าคุณหักปีกไก่เมื่อไรผมก็จะหักแขนคุณ
เช่นเดียวกัน คุณจะทำอะไรกับไก่ตัวนี้อย่างไรผมก็จะทำกับคุณในทำนองเดียวกันอย่างนั้น

บุญจริงเดือดดาลมากแต่เขาก็พยายามสงบสติอารมณ์เพราะตำรวจคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าบุญจริงมาก เขามองไก่ย่างตัวนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ หลังจากนั่งคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจจับไก่ย่างตัวนั้นขึ้นมาแล้วใช้ลิ้นเลียที่ก้นไก่ตัวนั้น เสร็จแล้วก็วางลงตามเดิม เขาลุกขึ้นหันหลังแล้วโก้งโค้งให้ตำรวจ

บุญจริง : เอ้า ตาคุณแล้ว ทำอย่างที่คุณบอกผมสิ


เรื่องที่ 100
 มันเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ?

17/05/2006 09:31 AM

ที่โรงพยาบาลราชวิถี มีบรรดาคุณแม่มาคลอดลูกจำนวนมาก จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญอย่างไรไม่ทราบได้ มีบรรดา
คุณพ่อที่มานั่งรอฟังผลอยู่หน้าห้องคลอดในขณะนั้นอยู่สี่คน

พยาบาลคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องคลอด ตรงไปหาผู้ชายทั้งสี่
พยาบาล : คุณบุญกนกคนไหนคะ ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้บุตรชายแฝดสอง สุขภาพแข็งแรงดี คุณแม่ปลอดภัย

บุญกนก : จริงเหรอ ผมทำงานอยู่ในโรงงานกระดาษ ดับเบิลเอ ที่ปราจีนบุรี ผมดีใจที่ได้แฝดสองเหมือนเครื่องหมาย AA เลย

อีกพักหนึ่งต่อมา พยาบาลคนเดิมเดินออกมาจากห้องคลอด ตรงมายังกลุ่มผู้ชายกลุ่มเดิม
พยาบาล : คุณบุญขนายคนไหนคะ แสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณได้ลูกสาวแฝดสาม ทุกคนรวมทั้งคุณแม่ปลอดภัย และแข็งแรงดี

บุญขนาย : มันเหลือเชื่อนะ ผมทำงานอยู่บริษัท 3M ผมได้ลูกแฝดสาม แสดงว่าดวงผมสมพงษ์กับบริษัทนี้แน่ๆเลย

สิบห้านาฑีต่อมา พยาบาลเดินออกมาจากห้องคลอดตรงมาหาผู้ชายสองคนที่เหลือ

บุญจรวย : ผมชื่อบุญจรวย คุณพยาบาลอย่าบอกนะว่าผมได้ลูกแฝดสี่ เพราะผมทำงานอยู่โรงแรมโฟร์ซีซัน

พยาบาล : ต้องขอแสดงความยินดี คุณบุญจรวย คุณได้ลูกชายแฝดสี่จริงๆ ทุกคนแข็งแรงปลอดภัยรวมทั้งคุณแม่ด้วย

ขณะนั้น บุญเฉลา ชายคนที่สี่เป็นลมพับไป ทุกคนตกใจช่วยกันปฐมพยาบาลจนบุญเฉลาฟื้นได้สติ
พยาบาล : คุณบุญเฉลาไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม? สงสัยจะเครียดเพราะนั่งรอฟังผลอยู่นานละซี

บุญเฉลา : เปล่าครับ ผมเครียดเพราะผมทำงานอยู่ที่ 7-11 น่ะซีครับ