จากบทความของ David Brown ใน The Washington Post ............... พัฒนพงศ์....แปล
คนที่ "อ้วน"
จะมีรูปร่างเหมือน ๆ กัน
ก็คือ อ้วน พุงพลุ้ย
น้ำหนักเกิน
(เคยเห็นคนอ้วนพุงเรียบหรือเปล่าล่ะ)
แต่คนที่ "รูปร่างดี"
จะมีหลายแบบ
ดูจากตัวอย่างที่ซิดนีย์
ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมคนหุ่นดีจากทั่วโลกเมื่อเร็ว
ๆ นี้ก็ได้
บรรดาคนหุ่นดีเหล่านั้น
ต่างก็มีดีไปคนละแบบ
หุ่นของนักกีฬายกน้ำหนัก
ก็ต่างไปจากหุ่นของนักว่ายน้ำ
แม้แต่นักวิ่งด้วยกัน
นักวิ่งระยะสั้น
กับนักวิ่งระยะยาว
รูปร่างก็ไม่เหมือนกัน
ทั้งนี้
เพราะนักกีฬาแต่ละประเภท
จะต้องมีรูปร่างเหมาะกับกีฬาที่ตนเองเล่น
นักกีฬาจะมีรูปร่างอย่างไร
ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมเป็นสำคัญ
โดยปกติ
การฝึกซ้อมแบ่งกว้าง ๆ
ออกเป็นสองประเภท คือ แบบ Resistance
Training
กับ Endurance Training
Resistance Training คือ
การฝึกซ้อมที่ต้องสู้กับความต้านทาน
เป็นต้นว่า
ยกน้ำน้ำ กระโดดสูง
กระโดดไกล
และนักวิ่งระยะสั้น เป็นต้น
ส่วน Endurance Training คือ
การฝึกซ้อมที่ต้องอาศัยความอดทนเป็นหลัก
เป็นต้นว่า นักวิ่งระยะไกล
และบทความนี้
ก็จะพูดถึงความมหัศจรรย์ของการฝึกซ้อมแบบ
Endurance Training
ซึ่งรวมหมายถึงการวิ่งของพวกเราชาวนักวิ่งเพื่อสุขภาพทั้งหลายด้วย
Training แบบนี้
จะทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ไม่ว่า
จะเป็นอวัยวะหลาย ๆ อย่าง
ระบบในร่างกาย
และที่สำคัญคือ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับเซลล์ในร่าง
ๆ นับพัน ๆ ล้านเซลล์
เหตุที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง
ก็เพื่อให้มีตอบสนองด้านกายภาพดีขึ้น
ถ้าเปรียบพลังงานของร่างกายเป็นระบบเศรษฐกิจ
โมเลกุลที่เรียกกันว่า adenosine
triphosphate หรือ ATP จะเปรียบเสมือน "เงินตรา"
ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ
ถ้าระบบเศรษฐกิจขาดเงินตรา
ระบบเศรษฐกิจก็ไม่ทำงาน
เช่นกัน ถ้าร่างกายขาด ATP
ร่างกายก็จะไม่ทำงาน เพราะ
ATP
เป็นตัวทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหว
ทำให้เกิดปฏิกริยาด้านเคมี
และยังทำหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อใหม่
ๆ
และขจัดเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพ
ไม่ว่าจะมีอ๊อกซิเจนช่วยเสริมสร้างหรือไม่
ร่างกายก็จะทำการผลิต ATP
อย่างต่อเนื่อง
แต่ถ้ามีอ๊อกซิเจนช่วยอีกแรง
ร่างกายก็จะผลิต ATP ได้มากกว่า
เวลาเรา train หรือ ฝึกซ้อม
ร่างกายจะรับอ๊อกซิเจนได้มากขึ้น
ก็จะสร้าง ATP
ได้มากขึ้น
แรงขับเคลื่อนร่างกายและระบบต่าง
ๆ ก็จะดีขึ้น
และนี่คือผลดีประการแรกจากการ
"วิ่ง"
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า
การออกกำลังกาย
โดยเฉพาะการวิ่ง จะทำให้ ปอด
ขยายตัวขึ้น
เพราะปอดมีหน้าที่ในการนำอ๊อกซิเจนเข้าออกจากร่างกาย
แต่จริง ๆ
แล้วปอดเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวที่แทบจะไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงอะไรเลย
เวลาเราต้องการอ๊อกซิเจนเข้าร่างกายมากขึ้น
ก็แค่หายใจลึกขึ้น
และถี่ขึ้น
ไม่เกี่ยวกับขนาดของปอด
เชื่อหรือไม่ว่า
พวกนักวิ่งทน เห็นผอม ๆ
เกร็ง ๆ แบบนั้น
มีปริมาณเลือดมากกว่าคนปกติเยอะ
บางคนอาจมีปริมาณเลือดมากกว่าคนปกติถึง
70%
เหตุผลหนึ่งก็คือ
การฝึกซ้อมวิ่งนั้น
จะทำให้ปริมาณเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น
และจำนวนฮีโมโกลบิน
ซึ่งเป็นสารประกอบในการบรรทุกอ๊อกซิเจนไปยังส่วนต่าง
ๆ
ของร่างกาย
ในเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
เรียกว่า
เพิ่มสองเด้ง เลยทีเดียว
ที่สำคัญกว่านั้น คือ
สัดส่วนที่เป็นน้ำในเลือดจะเพิ่มมากขึ้นด้วย
ทำให้เลือดมีความเหนียวข้นลดลง
และเจือจางมากขึ้น
เมื่อเลือดมีความเหนียวข้นลดลง
การหมุนเวียนของเลือดก็ดีขึ้น
เพราะเวลาวิ่ง
หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติถึงสองเท่าหรือมากกว่า
จึงสูบฉีดเลือดมากขึ้น
ถ้าเลือดเหนียวเกินไป
ก็จะสูบฉีดลำบาก
นอกจากนั้น การวิ่ง
ก็ยังทำให้ "เครือข่าย"
ของการหมุนเวียนโลหิตขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย
และจะมีจำนวนเส้นเลือดเพิ่มขึ้นด้วย
ผลดีประการสุดท้ายเกี่ยวกับเลือด
คือ
เมื่อเลือดมีส่วนที่เป็นน้ำมากขึ้น
ก็มีประสิทธิภาพในการปรับอุณหภูมิให้กับร่างกายได้ดีขึ้น
โดยน้ำจากเลือดจะช่วยระบายความร้อนออกจากกล้ามเนื้อที่กำลังทำงานได้ดีขึ้น
และน้ำจากเลือดก็ยังไปกลั่นเป็นเหงื่อเพิ่มขึ้น
ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายได้อีกทางหนึ่ง
ที่มหัศจรรย์เพิ่มขึ้นก็คือ
การซ้อมวิ่งจะทำให้หัวใจ "ใหญ่"
ขึ้น
หัองหัวใจจะขยายตัวกว้างขึ้น
สามารถบรรจุเลือดได้เพิ่มขึ้น
กล้ามเนื้อหัวใจก็จะแข็งแรงขึ้น
ทำให้หัวใจสามารถเต้นได้แรงขึ้น
และสูบฉีดเลือดได้แรงขึ้นด้วย
จากการศึกษาพบว่า
นักกีฬาทั้งซ้อมแบบ Resistnace-train
กับ แบบ Endurance-train
ต่างก็มีหัวใจใหญ่ขึ้น
แต่เมื่อเทียบกับขนาดของร่างกายแล้ว
นักกีฬาประเภทหลังจะมีขนาดของหัวใจเพิ่มขึ้นในสัดส่วนมากกว่า
กล้ามเนื้อจะรับอ๊อกซิเจนจากเลือด
ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าฉงน
อ๊อกซิเจนจะเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อโดยมีเลือดเป็นผู้นำส่งผ่านผนังของเส้นเลือด
และผ่านเยื่อบุเซลล์กล้ามเนื้อเข้า
ไปด้านในซึ่งเป็นส่วนที่ต้องทำงาน
ขบวนที่อ๊อกซิเจนเคลื่อนที่ออกจากเลือดเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อเป็นขบวนการที่กินเว
ลา
แต่เราสามารถทำให้ขบวนการนี้ใช้เวลาน้อยลง
ก็โดยการทำให้ระยะทางที่อ๊อกซิเจนต้องเดินทางสั้นลง
ผลงานที่จัดได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดจการการวิ่ง
ก็คือ
การช่วยให้เซลล์กล้ามเนื้อสร้างรูเล็ก
ๆ
สำหรับรับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้น
ทำให้อ๊อกซิเจนสามารถเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อได้ง่ายขึ้น
เพราะเข้ารูไหนก็ได้
เมื่ออ๊อกซิเจนสามารถเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
ก็จะไปสร้าง
mitochodria ให้มากขึ้น ไอ้เจ้า
mitochodria นั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ
โรงไฟฟ้าในร่างกายนั่นเอง
คือ
เป็นแหล่งผลิตพลังงานให้กับร่างกาย
โดยทั่วไปการวิ่ง
จะทำให้ร่างกายมี mitochondria
เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 20% ถึง 100%
ทีเดียว
สรุปผลดีจากการวิ่งก็คือ
สมองจะสั่งการได้ดีขึ้น
ในการส่งสัญญาณให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนทำงาน
หัวใจจะขยายตัวขึ้น
ระบบเส้นเลือดขยายตัวขึ้น
ต่อมต่าง ๆ
จะมีประสิทธิภาพในการผลิตฮอร์โมนที่สำคัญต่อร่างกาย
ไม่ว่า
จะเป็นฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต
หรือ ฮอร์โมนต้านทานโรค
กล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้น
มีเอ็นไซม์ในการสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น
เลือดมีปริมาณมากขึ้น
มีฮีโมโกลบินในการนำพาอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้น
เห็นความมหัศจรรย์ของการวิ่งหรือยังล่ะ