% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_aengmjai_bygrit.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %>
ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 7มี.ค.49<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>
แง้มใจ
โดย กฤตย์ ทองคง
ถ้าการลงแรง ลงพลังความเหนื่อยยากเพื่อฝึกฝนวิ่งลงไปจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อเราได้รับคุณค่าและประโยชน์สูงสุดตอบแทน การทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดกับความข้อนี้ มิใช่เป็นเพียงสิ่งที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ในบางลักษณะที่ควานหาลงเบื้องลึกถึงนามธรรมเบื้องหลังอาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ด้วย
ถ้าการบรรลุเป้าหมายวิ่งต้องลงแรงและลงพลังด้วยความเหนื่อยยากอย่างที่กล่าว ดังนั้นเมื่อใครก็ตามบรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว ย่อมสมควรที่จะต้องชื่นชมกับสิ่งที่ได้มาอย่างมากและเนิ่นนานเพียงพอให้คุ้มค่ากับพลังชีวิตที่ได้ทุ่มเทลงไป
ถ้าจะว่าจำเพาะถ้วยรางวัลจากงานวิ่ง แชมป์แต่ละคนย่อมมีระดับเนิ่นนานในการชื่นชมแตกต่างกันหลายองศาเมื่อได้รับถ้วยรางวัลหลังการแข่งขัน
การชื่นชมกับชัยชนะ ไม่ว่ารูปธรรมอย่างถ้วยรางวัลหรือนามธรรมอย่างความภาคภูมิใจ มันก็ไม่นานเกินสองสามวันหรอกครับ ก่อนที่นักวิ่งผู้นั้นจะเริ่มเงยหน้าแสวงหาเป้าหมายชัยชนะในสนามอื่นๆอีกต่อไป
อนิจจา..มันช่างเป็นเวลาชื่นชมที่แสนสั้น และราคาก็แสนแพงเหลือเกิน
ความเปล่าเปลืองพลังชีวิตมิได้อยู่ในรูปการต้องทุ่มโถมโหมฝึกซ้อมแต่เพียงประการเดียว แต่อาจจะอยู่ที่ความไม่สามารถรรู้จักเคล็ดลับที่จะพลิกฟื้นความสำเร็จที่เคยทำได้ให้มาชื่นชมอีกครั้งและอีกครั้งในมุมมองใหม่ๆ เท่ากับเป็นการยืดช่วงเวลาแห่งความปิติสุขให้เนิ่นนานออกไปและอาศัยเทคนิคและกลวิธีต่างๆเพื่อปลุกเร้าจิตวิญญาณให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างแยบคาย จะเป็นเสมือนที่เราได้ใช้จ่ายในสิ่งสิ่งเดียวแต่ได้ประโยชน์สูงสุด , คุ้มค่าที่สุด
มีแชมป์บางคนตอบคำถามเพื่อนนักวิ่งด้วยกันที่อยากรู้เมื่อได้ถ้วยแล้วเอาไปทำอะไร ว่า เอาไปวางไว้ แล้วไม่ว่าจะวางบนชั้นโชว์เทิดทูนหรือขอบบันไดบ้านตามเงื่อนไขที่จำกัดทางภูมิศาสตร์ของแต่ละรายแล้ว เราก็แทบจะไม่ได้โอกาสจับมันเลยอีกนานมากๆ จนฝุ่นจับหนาเตอะ มันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ถ้วยรางวัลมันเป็นเครื่องชูใจให้เราได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น พรุ่งนี้ก็ลืมแล้ว
ดูๆไปชีวิตพวกเรานักวิ่งจะเหมือนกับครรลองที่ถูกสาปให้เป็นชีวิตที่ อยู่ระหว่าง กันเกือบทุกคน (อยากจะเอาคำว่า เกือบ ออกไป) ก็ใช่หรือไม่เล่าว่า โลกย่อมต้องมีคนที่วิ่งได้ช้ากว่าคุณอยู่เสมอไม่ว่าคุณจะสังกัดนักวิ่งกลุ่ม A , B , C , หรือ D แม้ใครก็ตามที่สามารถวิ่งได้เร็วมากแล้ว ก็อาจจะยังแพ้พิทักษ์ แต่ข้างหน้าพิทักษ์ก็อาจมีบุญชู แต่อย่านึกว่าน้องชูจะเร็วที่สุดแล้ว เหนือเมฆก็คือฟ้า สุดขอบฟ้ายังมีดาว เราย่อมเจอญี่ปุ่นเจอเคนย่าขึ้นไปไม่รู้จบ
และแม้ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นนักวิ่งยอดบ๊วยที่สุดของสนามก็มักจะพบว่าตัวเขาเข้าใจผิดเสมอในภายหลัง ด้วยว่าย่อมมีผู้ที่ช้ากว่าเขาอยู่จนได้ ที่แม้จะไปถามไถ่ผู้คนเหล่านั้นที่วิ่งได้ช้ามากแล้ว ก็จะได้รับคำตอบว่า ยังครับ..มีคนที่ช้ากว่าผมอีก
ดังนั้นชีวิตของพวกเราเกือบทั้งหมด ล้วนแต่เป็นชีวิต ระหว่าง เกือบทั้งสิ้น คือ ระหว่างผู้ที่เร็วที่สุดกับผู้ที่ช้าที่สุดอยู่ดี
แต่ท่ามกลางที่เราเหมือนกันคือเป็น ระหว่าง อยู่นั้น เราเกือบทุกคน ไม่เคยรู้สึกอิ่มพอเพียงกับความสำเร็จ ที่จะยินยอมชื่นชมกับปัจจุบันขณะเนิ่นนานนัก จำต้องทุรนออกแหวกว่ายในกระแสธารฝึกกันอย่างแสนเหนื่อยยากกันต่อไป
แล้วเราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ที่สำเร็จสูงสุดสูงกว่าจินตนาการไว้นั้น มันคืออะไร ?
บ่อยครั้งที่ผู้เขียนมองไม่เห็นฝั่งฝัน เป้าหมายที่เคยเซ็ทจนชัดเจนแล้ว จู่ๆก็กลับพร่ามัว เหมือนม่านฝนที่ตกหนักหนาเม็ดมืดทึบในคืนข้างแรม ที่ให้ค่าไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าเราจะแหวกว่ายไปทางซ้ายหรือขวา หน้าหรือหลัง
สภาพจิตใจของหมู่ชนนักวิ่งที่นิยมไล่ล่าความสำเร็จ ยิ่งได้ถ้วยมาก ยิ่งดี ดูเหมือนถ้วยรางวัลที่เต็มบ้านแล้วจนไม่รู้จะเอาถ้วยใบใหม่ในสัปดาห์นี้ไปวางไว้ที่ไหน แต่ก็ดูจะยังไม่อิ่ม เราใช้ความใฝ่ฝันกันเปลืองเหลือเกิน เราไม่ได้เพียงแต่ฟุ่มเฟือยในความสำเร็จและฟุ่มเฟือยถ้วยรางวัลกันเท่านั้น แต่เราปราศจากทักษะในการพลิกแพลงชื่นชมกับสิ่งที่เรามีให้มากอย่างพอเพียง
จำเพาะฐานคติ ยิ่งมาก ยิ่งดี มิได้เป็นความเชื่อของพวกแชมป์เท่านั้น พวกเรานักวิ่งกลุ่ม C และ D ด้วยมิใช่หรือที่ออกล่าเหรียญรางวัลกัน และพวกเราบางคนอีกใช่ไหมที่ออกล่าล่าจำนวนสนามมาราธอนสะสมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่แล้วเราได้กลับมาใคร่ครวญดูบ้างหรือไม่ว่า ไอ้ที่เราทำกันอยู่นั้นมันเข้าท่าไหม เหมาะสมหรือไม่ เราเลือกทำเช่นนี้เพียงเพราะรับฐานความคิด ยิ่งมาก-ยิ่งดี โดยอัตโนมัติว่ามันเป็นหนทางสำเร็จรูปที่แพคใส่ซองมาจากโลกตะวันตก หรือว่าเราได้ตรองแล้วว่า มัน ดีสำหรับฉันจริง กันแน่
จำเดิม ความ ยิ่งมาก ยิ่งดี ไม่เคยมีในพจนานุกรมของคนไทยมาก่อน มุมมองโลภจริตเยี่ยงนี้เพิ่งมาตั้งมั่นในจิตใจคนไทยเมื่อไม่นานมานี้เอง หลังจากที่เราเริ่มคบค้ากับฝรั่งยุคอาณานิคมเป็นต้นมา และจากที่มาของความคิดด้านฝรั่งก็มาจากฐานคิดทางจริยศาสตร์จากฝ่ายโปรแตสแทนส์นั่นเอง แล้วเราก็รับมรดกความคิดนี้มาจากฝรั่งอีกทอด อย่างปราศจากการคิดไตร่ตรองตรวจสอบ ไม่มีใครตั้งคำถามให้ลึกลงไปกว่าปรากฏการณ์ ยิ่งมาก ยิ่งดี ว่ามันได้ทำอะไรจริงๆมาสู่พวกเราบ้าง นี่ยิ่งไม่ต้องไปคาดหวังคำตอบเสียด้วยซ้ำ
แนวคิดจากฝรั่งที่มักจะปลาบปลื้มนิยมวัตถุที่เป็นแม่แบบให้ชนชั้นกลางไทยปัจจุบันนี้ ก็มิได้ชื่นชมความคิด ยิ่งมาก ยิ่งดี โดยตัวของมันเองนัก เมื่อคิดเทียบกับมันในฐานะเป็นตัวแทนต่างหาก เฉกเช่นที่ทรัพย์ มักจะเป็นตัวแทนอำนาจ , ชัยชนะและความสำเร็จ (ที่ผ่านการนิยามใหม่ๆให้สอดรับกับบริโภคนิยม)
เช่นเดียวกัน เรานักวิ่ง ก็รับฐานคติ ยิ่งมาก ยิ่งดี มาจากฝรั่งกันอย่างเซื่องๆ ยิ่งได้ถ้วยมากยิ่งดี ยิ่งได้ซองหนายิ่งดี ยิ่งสะสมเหรียญวิ่งได้มากยิ่งดี ยิ่งได้สะสมเหรียญมาราธอนนอกล้วนๆ ยิ่งเจ๋งกว่า แล้วแต่ว่าใครจะมีปัญญาแค่ไหน ใครมากก็เดินกันผึ่งผาย รูจมูกบานด้วยความภาคภูมิใจ !? เราต้องทำการบ้านของตัวเองโดยดิ่งลึกลงไปในโลกของจิตใจว่า เราไม่ได้เป็นอย่างนี้แน่นอน ในขณะที่เรารับฐานคติ ยิ่งมาก-ยิ่งดี ไว้ โดยที่ต้องสำเหนียกไว้เสมอว่า ก็เพราะ More is Better นี่มิใช่หรือที่เราซ้อมกันจนบาดเจ็บกันไปทั้งเมืองอย่างทุกวันนี้
ก็เพราะฐานคติจากฝรั่งอย่างนี้ที่บังคับให้เราจำต้องครอบครองทรัพย์นั้นไว้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาชื่นชมกับทรัพย์นั้นทีหลัง เราปราศจากความสามารถที่จะชื่นชมถ้าความสำเร็จนั้นมิได้มาจากตัวของเราเอง เมื่อเราอยากได้ความสำเร็จใด สิ่งแรกที่เราคิดก็คือ เราต้องต้อนมันเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของเราให้ได้เสียก่อน และเราก็ไม่เคยนึกถึงสิ่งที่อยู่นอกขอบเขต เราปฏิบัติกับสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตอย่างเฉยเมยตายด้าน เกือบจะคล้ายๆศัตรู ทั้งๆที่มันไม่ใช่ ความปิติสุขของเธอที่ได้ถ้วยรางวัล มันก็เป็นเฉพาะปิติสุขของเธอ ไม่ใช่ของฉัน ถ้าฉันอยากได้ฉันก็ต้องออกไล่ล่าฝันของฉันเอง
ใช่หรือไม่ว่า ชีวิตเราถูกสาปให้เหนื่อยยากกับการฝึกปรือวิ่งอย่างหนัก ด้วยฐานคติที่เราเลือกจะเชื่ออย่างฝรั่ง ตามโมเดล ยิ่งมาก ยิ่งดี และจำเพาะเจาะจงชื่นชมความสำเร็จที่ตัวเองเท่านั้น
จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะแง้มประตูใจ ยอมรับสิ่งที่มีอยู่นอกอาณาเขตว่ามันไม่ใช่ของผู้อื่นเท่านั้นหากแต่เป็นของเราด้วย ด้วยการผ่อนคลายความยึดมั่นถือมั่นมานะทิฐิถือดี และปลดปล่อยสายลมแห่งอิสรภาพโบกพัดเอาความชื่นฉ่ำใจจากดอกไม้ป่านานาพันธุ์ไกลโพ้นเข้ามาหอมเย็นในอาณาจักรชีวิตจิตวิญญาณของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องดวงดาวของผู้อื่น เป็นเรื่องนามธรรม มันก็เป็นเสมือนเปลวเทียนที่ถูกส่งต่อโดยแท่งเทียนกับแท่งเทียนที่ไม่ว่าจะแบ่งปันกันสักกี่ล้านครั้ง ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ลดทอนเปลวเทียนลง หรือเปลี่ยนถ่ายย้ายโอนจากสถานที่จากผู้ให้ไปสู่ผู้รับแต่อย่างใด
ความสามารถมองเห็นมิติใหม่ของความปิติสุขจากความสำเร็จเหล่านี้ มิใช่จะเกิดขึ้นปุบปับเหมือนใจนึก หากแต่ด้วยการฝึกฝนด้วยการพิจารณาไตร่ตรองหลายครั้งหลายเที่ยวจนค่อยๆแจ่มชัดขึ้นทีละน้อยๆเหมือนการฝึกวิ่งเช่นกัน
อันชีวิตเราเกิดมาหนหนึ่ง เราน่าจะสามารถเก็บเกี่ยวหาความสุขจากการชื่นชมในความสำเร็จได้มากกว่าปัจจุบันนี้อีกมากไม่รู้เท่าไร ถ้าเพียงแต่เรารู้จัก ใช้ ความเข้าใจใหม่ และรู้จักฉลาดที่จะเข้ากำกับดูแลการใช้พลังงานและพลังชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายสิ้นเปลืองอย่างใกล้ชิดจนเหนื่อยยาก สูญเสียเวลาไปหลายปีกับสิ่งที่เรียกว่า ความสำเร็จ
แต่การตรงดิ่งเพียงลัดนิ้วมือเดียวถึงความปิติสุขโดยตรง ย่อมเป็นไปได้ ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแปรฐานคติเสียใหม่กับความสำเร็จจากผู้อื่น
เพื่อโลกจะได้เย็นลงกว่านี้
โหดร้ายน้อยลงกว่านี้
และจะได้มีสงครามให้น้อยลงกว่านี้
02:23 น.
11 ก.ย. 2547