น้องใหม่ไฟแรง                               

                      

                        เช้าวันหนึ่ง    ขณะที่ดิฉันเข้ามาเดินเล่น  ที่สวนพฤกษ์ แถวคลองจั่น     ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น

 ได้ยินคุณหมอท่านหนึ่ง       คุยกับเพื่อนนักวิ่งด้วยกันว่า วิ่งวันละ 8-10 กิโลเมตร       ในใจดิฉันคิดว่า 

คุณหมอท่านนั้น      โม้หรือเปล่า                                                                    

                ดิฉันจึงลองวิ่งดูบ้างเพื่ออยากพิสูจน์    คำพูดของคุณหมอ ( ต่อมาจึงรู้ว่าเป็นความจริง และคุณหมอท่านนั้น    

ปัจจุบันก็ยังวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ มาเป็นเวลานานถึง 20 ปี แล้วค่ะ ) ดิฉันจึงเริ่มซ้อมวิ่งอยู่ประมาณ 6 เดือน

 จึงลงแข่งมินิฯ 10 กม.เป็นครั้งแรก ในวันพ่อ ปี 2542 ที่สวนหลวง ร.9 ( ขณะนั้นดิฉันอายุ 36 ปี ) โดยการชักชวนของพี่ ๆ ในชมรม

 (สวนพฤกษ์ 99 ) จึงรับปากเพราะเกรงใจ ทั้งที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลยซักนิดว่า จะวิ่งไหวหรือเปล่า เคยวิ่งวันละ 4-5 กม.เท่านั้น 

                 ก่อนวันแข่งก็กังวลสารพัด กลัวตื่นไม่ไหว กลัวจะวิ่งไม่ไหว พอถึงวันแข่งก็ตื่นเกือบไม่ทัน ตื่น 5.30 น. ตายแล้ว !

 ไปไม่ทันแน่ ๆ รีบแปรงฟัน อาบน้ำ ออกจากบ้าน ซึ่งอยู่ลาดพร้าว 101 ต้องสวมวิญญานนักซิ่ง ซิ่งแหลกถึงสวนหลวง ร.9

 ภายในเวลา 10 นาที รีบวิ่งไปยังจุดสตาร์ททันที แต่ไม่ทันเสียแล้ว ปล่อยตัวนักวิ่งไป 5-6 นาทีแล้ว

                 ดิฉันยืนตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะวิ่งหรือไม่วิ่ง เอาวะ วิ่งก็วิ่ง สมัครแล้วไม่ได้ เดี๋ยวขาดทุน ไหน ๆ ก็มาแล้วนี่

 ก็เลยออกวิ่ง ( ไม่ได้วอร์มอัพ ) วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งไปคนเดียวโดดเดี่ยว ไปตามเส้นทางตามศรชี้ไปเรื่อย ๆ ประมาณ 1 กม.

 ก็วิ่งไปทันนักวิ่งอีกกลุ่มใหญ่ก็เลยเกาะกลุ่มกับเค้าไปเรื่อยๆ ทันประมาณ กม. ที่ 8 เริ่มเหมื่อยน่อง ปวดแขน ก้าวขาแทบไม่ออก

 ไม่ไหวแล้วเดินดีกว่า พอดีเห็นป้าคนหนึ่ง อายุประมาณ 60 ยังวิ่งอยู่จึงเกิดแรงฮึด วิ่งต่อจนถึงเส้นเส้นชัย ด้วยเวลา 1.10 ชม.

 ดีใจมาก เหรียญแรกที่ได้มา คือรางวัล ของความอดทน และเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ คือชนะใจตัวเอง

                หลังจากผ่านการเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ไปได้ระยะหนึ่ง การวิ่งให้ถึงเส้นชัย ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป

 จากที่เคยดีใจมากตอนวิ่งถึงเส้นชัย ในครั้งแรก ๆ    ก็เริ่มไม่ค่อยพอใจกับเวลาที่ทำได้ จึงซ้อมจริงจังมากขึ้น ซ้อมตามตารางบ้าง

 แล้วก็แอบหวังว่าสนามหน้าจะทำเวลาได้ดีกว่านี้อีกนิดนึง      ผลการซ้อมอย่างจริงจัง ทำให้ดิฉันทำเวลาได้ดีขึ้น

และแล้ววันแห่งชัยชนะก็มาถึง  

                วันนั้นคือ วันที่ 23 มกราคม 2543 ในงานวิ่งสู่สหัสวรรษใหม่ที่ จุฬา ฯ สนามที่ 4 ของดิฉัน ดิฉันสามารถคว้าถ้วยอันดับที่ 5 เป็นถ้วยใบแรกในชีวิตดีใจมาก คิดในใจว่า

                 " เรานี่เก่งจริง ๆ น่าจะเริ่มวิ่งล่าถ้วยแข่งกับนักวิ่งแนวหน้าได้แล้ว " อาทิตย์ต่อมาก็ออกวิ่งอีกด้วยใจที่ฮึกเหิม

 หวังเอาถ้วย แต่คราวนี้   "แห้ว ! ค่ะ "   ได้แค่เหรียญ   ไม่เป็นไร    ครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งต่อ ๆ ไปก็ต้องได้

                  วันที่ 20 ก.พ. 42 งานวิ่งเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ที่ ก.ส.ท. ( การสื่อสารแห่งประเทศไทย แถว แจ้งวัฒนะ )

 ดิฉันก็คว้าถ้วยใบที่ 2 ได้สมใจ แต่ถ้วยใบนี้ ทำให้ดิฉันกลัว และไม่กล้าที่จะลงแข่งในสนามเกือบ 5 เดือน ทีเดียว

 ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อเช้าวันที่ 20 ก.พ.42 ที่ ก.ส.ท. อากาศร้อนอบอ้าว นักวิ่งมากันมากมายหลายพันคน รวมทั้งดิฉันและ พี่ๆ

 ในชมรม นักวิ่งพร้อมกันที่จุดสตาร์ท เพื่อรอสัญญานปล่อยตัว........ปั้ง!

                 นักวิ่งแนวหน้าอัด (วิ่ง) กันเต็มที่ ดิฉันวิ่งไปเรื่อย ๆ    พอถึงจุดให้น้ำ ที่ 1 ก็หยุดรับน้ำ แต่ไม่ยอมดื่ม

 เพียงแต่ลูบหน้า ราดตัว ช่วง กม.ที่ 3-6 เส้นทางวิ่งแย่มาก 

 ต้องผ่านซอกตึก ที่กำลังก่อสร้างฝุ่นตลบบางช่วงได้กลิ่นขยะเหม็นหึ่ง  อากาศก็ร้อนอบอ้าว ทำให้เหนื่อยมาก   แต่ยังไหว

 ถึงจุดให้น้ำจุดที่ 3 ก็หยุดรับน้ำ    ใช้น้ำลูบหน้า ราดตัวเพื่อให้สดชื่น   ไม่ยอมดื่มเลย   กลัวดื่มแล้วจุก ประมาณ กม.ที่ 8

 มีนักวิ่งชายคนหนึ่ง  เป็นลม ล้มไปต่อหน้าต่อตา   โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่อยู่บริเวณนั้นช่วยปฐมพยาบาล  

                พอถึง ก. 9 เลยไปหน่อย ถึงช่วงเลี้ยวซ้าย    เข้า ก.ส.ท. เพื่อเข้าสู่เส้นชัย   พอวิ่งถึงช่วงนี้เริ่มรู้สึกไม่ค่อยไหว 

  ตาลาย ตัวเย็นเฉียบ แต่ในใจเฝ้าบอกตัวเองว่าต้องไหว   ต้องสู้    ต้องวิ่งให้ถึงเส้นชัย    อีกนิดเดียว   

 เห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้านี้เอง    ประมาณ 200 เมตร ต้องวิ่งให้ถึง แต่วูบไปแล้ว    ไม่รู้สึกตัวเลย  ? ! ? ! ? ! ? 

                ต่อไปนี้ก็เป็นคำบอกเล่าของพี่ๆในชมรม    ที่เล่าให้ฟัง ว่า กำลังยืนลุ้น    พวกเพื่อน ๆผู้ชายว่า

 จะมีใครวิ่งเข้าเส้นชัยตามกันมาบ้าง    กำลังจ้องมองอยู่  " อ้าว ! นั่น สุ นี่ วิ่งเข้าเส้นชัยมาแล้ว แต่ไหง วิ่งเอียงมาเชียว หน้านี้ซีดเซียว "    จึงบอกให้พี่ผู้หญิงประคองมาปฐมพยาบาล    โชคดี มีคุณหมอ     ในชมรมนี้ด้วย ก็ช่วยกัน

                พี่อีกคนเห็นเขาถือถาดน้ำเปล่าๆเดินผ่านมา         ก็ขอยืมถาดน้ำมาพัด ๆๆๆให้    

  แต่ในมือกำบัตรที่แจ้งให้รู้ว่าติดอันดับได้ถ้วยแน่ๆ    กำไว้ซะแน่นเชียว ทั้ง ๆ ที่วูบไปแล้ว     พูดเพ้อ บัตร บัตร บัตร พี่ๆ ก็งง เอ๊ะ!

 ตัวเองก็กำไว้ไม่ยอมปล่อยมือเลย    ยังจะมาถามหา บัตร อีกทำไมนะ        ตอนหลังถึงรู้ว่า หมายถึง บัตรประชาชน

 จะรีบไปรายงานตัว เพื่อรับถ้วย  ( จำแม่นเหลือเกินนะน้อง)

              ดิฉันมารู้สึกตัว อีกที ก็อยู่ท่ามกลางพี่ๆ ในชมรม มะรุมมะตุ้มปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ เนื้อตัวเหม็นกลิ่นยาหม่อง

 ยาลมสารพัดชนิด ได้ยินพี่ๆ บอกว่า "คุณได้ถ้วยนะ" ยังคิดว่าฝันไป วิ่งมาถึงเส้นชัยได้ยังไงเนี่ย เราเป็นลมไป ก่อนถึงเส้นชัยนี่หน่า

 เป็นไปได้ยังไง พี่ ยังแซวเลยว่า " เป็นลมเลยพัดเข้าเส้นชัย "

                งานนี้ไม่ได้ดีใจเลยที่ได้ถ้วย แต่กลัวมากกลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรหนักหนาหรือเปล่า ทั้งเบลอ ทั้งผะอืดผะอม

 อยากอาเจียน แต่อาเจียนไม่ออก หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย เป็นคั้งแรกในชีวิตที่เป็นลม 

นึกด่าตัวเองว่า    " เราบ้ารึปล่าวเนี่ย มุ่งมั่นมากเกินไป ไม่ห่วงตัวเอง วิ่งแบบนี้เป็นการทำลายสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อสุขภาพ "

                 และสนามนี้ได้ให้ประสบการณ์หลายอย่าง การจะเป็นนักวิ่งแนวหน้าได้นั้น ร่างกายที่ฟิต และใจเต็มร้อยนั้นยังไม่พอ

 ต้องมีความรู้  และ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการวิ่ง  ในทุกเรื่อง เช่น เวลาวิ่งนานๆ ร่างกาย เสียเหงื่อมาก

 ต้องดื่มน้ำทดแทนทุกจุดให้น้ำ แต่ดิฉันไม่ยอมดื่มเพราะความเข้าใจผิดๆ ว่า ดื่มน้ำแล้วจะทำให้จุก ความรู้ขั้น เบสิค อย่างนี้

 ยังไม่รู้แล้วจะเป็นนักวิ่งกับเค้า ได้อย่างไร

                 จากนั้นดิฉันก็พักฟื้น จนเป็นปกติ และเริ่มซ้อมเบาๆ และหาความรู้จากพี่ๆ ที่มากประสบการณ์บ้าง

 หาจากหนังสือเกี่ยวกับการวิ่งบ้าง ช่วงนี้ดิฉันไม่ลงสนามแข่งอีกเลย ขาดความมั่นใจ กลัวว่าจะเป็นลมอีก หยุดไปนานถึง 5 เดือน

 ทีเดียว แต่ยังคงซ้อมวิ่งตามปกติ

               ดิฉันเริ่มลงสนามแข่งอีกครั้งในงานวิ่งเพื่อข้าวสาร ที่สวนรถไฟ เมื่อ วันที่ 17 ก.ค.43 ระยะทาง 5 กม. และอีกหลายงาน

ต่อมาก็คว้าถ้วยรางวัลเป็นใบที่ 3ในงานวิ่งแด่คุณแม่ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 43 ที่สวนรถไฟ ระยะ 10 กม. ได้อีกครั้ง

และเริ่มซ้อมหนักเพื่อลงฮาล์ฟมาราธอนเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ริเวอร์แคว กาญจนบุรี ในวันที่ 17 ก.ย. 43      

              แล้วงานริเวอร์แควฮาล์ฟฯ ก็มาถึง รู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนวิ่งมินิครั้งแรก แม้จะเป็นฮาล์ฟ ครั้งแรก แต่มั่นใจว่าต้องทำได้

 เพราะซ้อมมาดี  และได้รับคำแนะนำจาก พี่ๆที่มีประสบการณ์ ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้มีประโยชน์มาก สำหรับ นักวิ่งมือใหม่ อย่างดิฉัน

 การวิ่งฮาล์ฟครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี ทำเวลา 2.20 ชม. ตอนวิ่งช่วงแรกขึ้นเขา ก็วิ่งช้า ๆ กลัวหมดแรง ผ่านไประยะหนึ่ง

 ก็วิ่งแบบสบาย ๆ ชมวิวข้างทาง ซึ่งสวยงามมาก อากาศบริสุทธิ์ ทำให้เพลิดเพลิน จนลืมเหนื่อย วิ่งถึงเส้นชัยแล้วแรงยังเหลือ

 ไม่มีอาการปวดหรือบาดเจ็บใด ๆ รู้สึกดี และประทับใจกับฮาล์ฟ ครั้งแรก และเริ่มติดใจที่จะวิ่งฮาล์ฟอีก ซึ่งนักวิ่งส่วนใหญ่บอกว่า

 วิ่งฮาล์ฟสนุก ไม่เครียดเหมือนมินิ ดิฉันถามว่า " สนุกยังไง วิ่งไกลกว่า ก็เหนื่อยมากกว่า " คำตอบ คือ " ไม่ลองไม่รู้ "

 มาวันนี้จึงรู้ว่าสนุกกว่า วิ่งมินิจริง ๆ และเป้าหมายต่อไปของดิฉันคือ วิ่งมาราธอนซักครั้ง ในชีวิต มีพี่ๆ นักวิ่งทั้งหลายมักพูดเล่น ๆ

 ว่า " ลองดูแล้วจะรู้ว่า นรกมีจริง " จริงหรือไม่ ดิฉันก็ ต้องขอพิสูจน์ กันหน่อย

 

(  โดย คุณสุวรรณา   จิตรปรีดากร  )